ซิ่วจูเห็นผู้เป็พี่สาวมาถึง ปากเล็กที่เบะขึ้นมาก็เหือดหายไปทันที
“เจินจู กล่าวอะไรกัน เ้ากล่าวกับผู้าุโเช่นนี้หรือ?” หูชิวเซียงเห็นว่าเป็นาง อารมณ์ร้อนยิ่งมากขึ้น
หลี่ซื่ออุ้มซิ่วจูยืนขึ้น นางขยิบตาไปทางเจินจู
เจินจูเบื่อหูชิวเซียงผู้นี้จริงๆ ทุกครั้งพอผ่านไประยะหนึ่งก็จะออกมาแสดงเจตนาทำเื่บางอย่างขึ้น
เมื่อปีที่แล้วก็เป็เช่นนี้ ผู้อพยพวิ่งไปทั่วทางตอนใต้ของอำเภอเจิ้นอัน หมู่บ้านพวกเขาค่อนมาทางใต้ นางใจนพาทั้งครอบครัวหกคนวิ่งมาหลบภัยอยู่หมู่บ้านวั้งหลิน
หลบภัยก็หลบภัยสิ สกุลหูมีอาหารการกินให้พวกเขาไม่กี่คนเพียงพออยู่แล้ว
แต่ส่วนที่ทำให้น่าโมโหก็คือ พวกนางเข้าไปอาศัยอยู่ที่บ้านเก่าสกุลหู แต่กลับวิ่งไปมาถึงที่บ้านของครอบครัวหูทุกวัน ไม่เพียงจ้องจับผิดทุกคนในสกุลหูกับทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ยังใช้ท่าทางอย่างเ้าของบ้านออกคำสั่งกับจ้าวหงยู่และพานเสวี่ยหลันด้วย
หูชิวเซียงและบุตรสาวของนางวิ่งเข้ามาในห้องของเจินจูแล้วลูบคลำเคลื่อนย้ายสิ่งของ วิพากษ์วิจารณ์ผ้าม่านหร่วนเหยียนหลัว ลูบคลำปลอกผ้านวมจวงฮวาจิ่น เสื้อผ้าและเครื่องประดับทุกอย่างล้วนต้องผ่านการลูบคลำ เจินจูเส้นเืตรงขมับเต้นตุบๆ ในตอนนั้นจึงไม่ได้ไว้หน้าพวกนางอีก กระทำการปิดประตูลานบ้านต่อหน้าทันทีไม่ให้พวกนางเข้าอีกต่อไป
หูชิวเซียงและเจี่ยงเสี่ยวเหยี่ยนเกลียดชังนางมากจนกัดฟันกรอด แต่หวังซื่อกลับเข้าข้างเจินจู ตำหนิพวกนางกล่าวว่าให้อาศัยอยู่ที่บ้านเก่าทำตัวดีๆ ห้ามวิ่งสะเปะสะปะไปทั่ว ไม่เช่นนั้นก็ให้พวกนางกลับหมู่บ้านตนเองไป
“ผู้าุโต้องมีท่าทางของผู้าุโ จึงจะควรค่าให้ชนรุ่นน้อยเคารพยำเกรง เป็ผู้าุโไม่เคารพตนเอง [1] ้ายุ่งเื่ของครอบครัวผู้อื่นอย่างข้ามเครื่องเซ่นไหว้ไปเป็พ่อครัว [2] ไม่ว่าเป็ผู้ใดต่างก็ไม่มีทางดีใจได้” เจินจูเดินเข้าไป และยื่นมือไปอุ้มซิ่วจูมาจากหลี่ซื่อ
หูชิวเซียงโมโหจนในอกเกิดความร้อนรุ่ม “เฮ้อ... ข้าหวังดีจริงๆ แต่กลับถูกคิดว่าเป็ผู้มีเจตนาร้ายเสียนี่ คนสกุลหยวนดีตั้งเท่าไร พวกเ้ากลับรังเกียจ ข้าจะดูว่าต่อไปเ้าจะแต่งให้กับคนที่ยอดเยี่ยมแบบไหนกัน”
เมื่อคำพูดกล่าวถึงตรงนี้ เื่ของสกุลหยวนจัดการได้ล้มเหลวอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว หูชิวเซียงจึงทำลายกระปุกและโยนให้แตก [3] ไปเสียเลย ด้วยการทำน้ำเสียงแข็งกระด้างขึ้นมา
“พี่ใหญ่ อย่ากล่าวคำพูดเช่นนี้เลย เจินจูของข้าย่อมมีโชคชะตาของนางเอง ต่อให้สกุลหยวนดีแค่ไหนก็ต้องให้ลูกชอบด้วยถึงจะถูก การแต่งงานไม่ใช่การผูกพยาบาท ไม่เหมาะสมก็ไม่จำเป็ต้องอยู่ร่วมกัน ไม่เช่นนั้นชีวิตความเป็อยู่ในวันข้างหน้าก็จะไม่เป็ดังใจไปด้วย” หาได้ยากที่หลี่ซื่อจะกล่าวกับหูชิวเซียงอย่างเอาจริงเอาจัง
“เชอะ ลูกบ้านไหนบ้างที่ไม่ใช่ทำตามคำสั่งของบิดามารดา มีแค่บุตรสาวอันล้ำค่าของเ้าแล้ว ต้องให้นางพอใจถึงจะแต่งได้ จุ๊ๆ คิดว่าตนเองเป็คุณหนูใหญ่อันแสนล้ำค่าดั่งทองพันชั่งจริงๆ แล้วหรือ ชาวนายากจนขึ้นสู่ที่สูงก็กลายเป็คุณหนูครอบครัวร่ำรวยแล้ว ไม่คิดเลยว่าแม้แต่คนครอบครัวร่ำรวยใหญ่โตในเมืองที่เป็เขตอำเภอก็จะไม่อยู่ในสายตาด้วย” หูชิวเซียงกวาดสายตาผ่านเสื้อผ้าของหลี่ซื่อและบุตรสาว แม้สีสันเรียบง่ายแต่เนื้อผ้าล้วนเป็แพรต่วนลายเรียบชั้นดี เด็กน้อยซิ่วจูที่อ้วนจ้ำม่ำนั่นก็สวมเสื้อแพรต่วนและผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดสีแดงเข้ม ชิ... เด็กสาวผู้หนึ่งล้วนสวมเสื้อผ้าดีปานนี้ ไม่กลัวอายุขัยจะสิ้นลงเพราะมีความสุขมากเกินไปบ้างเลย
เจินจูวางซิ่วจูลงบนพื้น สองมือกอดอกมองไปที่นางอยู่หลายหน
ในที่สุดก็ยิ้มหวานไปทางนางขึ้นฉับพลัน
หูชิวเซียงประหลาดใจทันที ทำไมยัยเด็กน่าตายนี่จู่ๆ ก็ยิ้มให้นางขึ้นมา แต่ไม่แปลกใจเลยที่หยวนเจิ้นเซวียนผู้นั้นจะพอใจในตัวเจินจู ดูใบหน้ายิ้มงดงามดั่งบุปผานี่สิ ภายในสิบลี้แปดหมู่บ้านคงมีไม่กี่คนแล้วที่จะเทียบได้
“ท่านป้า ปีหน้าผิงอันของข้าน่าจะลงสนามสอบบัณฑิตเด็ก ซิ่วฉายหยางกล่าวว่า ผิงอันสติปัญญาเฉลียวฉลาด การสอบบัณฑิตเด็กแค่ยื่นมือไปแตะััก็ได้มาแล้ว หากผ่านการสอบบัณฑิตเด็กได้ ซิ่วฉายย่อมอยู่ไม่ไกล” เจินจูกล่าวอย่างไม่สนใจใยดี “พอผ่านซิ่วฉายไปก็ต้องเตรียมสอบสนามชนบท ที่บ้านใช้ความพยายามอย่างมากในการปลูกฝังพวกเขา หากผิงอันกับผิงซุ่นของสกุลหูเราจะกำเนิดผู้สอบได้ตำแหน่งบัณฑิตระดับท้องถิ่น ได้เป็เ้าขุนมูลนายขึ้นมาสักคนก็ไม่ใช่เื่แปลกอะไรเลย ถึงตอนนั้นประตูใหญ่และลานบ้านของสกุลหูก็ควรเปลี่ยนสักหน่อย เพื่อเตรียมการป้องกันพวกแมวพวกสุนัขเข้ามาอ้างสัมพันธ์เครือญาติ ท่านป้า ท่านว่าเป็จริงเช่นนี้หรือไม่?”
เ้า… เ้าเด็กน่าตายนี่กำลังคุกคามนางอีกแล้ว!
หูชิวเซียงไม่ได้โง่ นางฟังความหมายในคำพูดของเด็กสาวผู้นี้ออก เมื่อ้าอ้าปากโต้แย้ง กลับรู้สึกว่าคำพูดของนางก็มีเหตุผล สกุลหูจัดตั้งโรงเรียนมาสามปีแล้ว หากผิงอันกับผิงซุ่นสอบเข้าได้ เช่นนั้นสกุลหูอันเก่าแก่ก็จะหลุดพ้นจากชาวนายากจนเลื่อนขั้นมาเป็คนในครอบครัวขุนนางได้
นางกลืนน้ำลาย มองเจินจูที่ยืนกอดอกด้วยดวงตาซับซ้อน ยัยเด็กน่าตายนี่ ตอนนี้ล้วนหยิ่งในเกียรติเช่นนี้ หากผิงอันสอบเข้าเป็ซิ่วฉายได้อีก เช่นนั้นดวงตาของนางไม่งอกขึ้นไปถึงบนศีรษะเลยหรือ [4]
“ฮ่าๆ เดิมทีป้าก็แค่หวังดี ในเมื่อครอบครัวพวกเ้าไม่ชื่นชอบ เช่นนั้นข้าตอบปฏิเสธคนเขาไปก็พอแล้ว ข้าแค่เสียดายแทนพวกเ้า บุคลิกรูปลักษณ์และลำดับศักดิ์ในวงศ์ตระกูลเด็กผู้นั้นล้วนยอดเยี่ยม คนที่เทียบกับเขาได้ในอำเภอมีไม่มาก พวกเ้าไม่พิจารณาดูอีกทีหรือ?” หูชิวเซียงยังไม่เลิกคิดอยู่เล็กน้อย แต่น้ำเสียงกลับอ่อนลงไปมากแล้ว
เจินจูแอบมองบนอยู่เงียบๆ ไม่อยากจะให้ความสนใจนางอีก
“พี่ใหญ่ เจินจูของข้ายังเด็ก รอปีหน้าค่อยว่ากันเถอะ” หลี่ซื่อไกล่เกลี่ย
หูชิวเซียงทำได้เพียงเดินจากไปด้วยสีหน้าและอารมณ์เคียดแค้น
“เจินจู เ้าเคยเจอบุตรชายคนเล็กของสกุลหยวนผู้นั้นแล้วหรือ?” หลี่ซื่อถาม
“ท่านแม่ ท่านลืมไปแล้วหรือเ้าคะ ครั้งก่อนที่ไปร่วมงานเลี้ยงส่งตัวเ้าสาวของเจี่ยงเสี่ยวเหยี่ยน ผู้ชายแต่งกายโดดเด่นสีสันงดงามผู้นั้นก็คือบุตรชายคนเล็กของสกุลหยวนไงเ้าคะ” เจินจูนึกถึงดวงตาและกิริยาท่าทางเลี่ยนๆ นั้นขึ้นมาก็รังเกียจเป็อย่างยิ่ง
หลี่ซื่อคิดขึ้นมาได้ฉับพลัน วันนั้นชุดคลุมตัวยาวผ้าดิ้นเงินดิ้นทองสีน้ำเงินสดใสไปทั้งชุด ส่วนบนของเสื้อและปลายกระบอกแขนเสื้อปักลายกล้วยไม้ละเอียดและงดงาม ส่วนเอวคาดสายคาดเอวหยก โดยทำขึ้นจากหยกเนื้อละเอียดสีอ่อน สวมได้หรูหรายิ่งกว่าเ้าบ่าวนัก
“อ่า... เป็คนผู้นั้นนี่เอง” เป็คนท่าทางเอ้อร์ชื่อจู่ [5] ที่โอ้อวดเกินไปจริงๆ ไม่แปลกใจเลยที่เจินจูจะรังเกียจ หลี่ซื่อก็ไม่ชอบเด็กวาจาท่าทางไม่เรียบร้อยและไม่สุขุมอย่างนั้นเช่นกัน
กล่าวขึ้นมาก็ยังคงเป็ยู่เซิงที่ดีที่สุด รูปโฉมงามสง่า อุปนิสัยสุขุม มีความรับผิดชอบแล้วยังรู้จักดูแลคนด้วย เฮ้อ... น่าเสียดาย ตอนนี้เขาอยู่เมืองชายแดนที่ไกลออกไป ไม่รู้เลยว่าตอนนี้เขาจะเป็อย่างไรบ้างนะ? ก่อนปีหน้าจะกลับมาหมู่บ้านวั้งหลินสักรอบได้หรือไม่? หลี่ซื่อชื่นชอบเด็กผู้นั้นนัก หากยู่เซิงกลายมาเป็บุตรเขยของนางได้จะดียิ่ง!
เช้าตรู่วันถัดมา หวงถิงเฉิงติดตามขบวนของหลิ่วฉางผิงเคลื่อนย้ายอิฐและหิน เข้าสูู่เาลึกไปตลอดทาง
“ท่านลุงหลิ่ว ถนนเส้นนี้สร้างขึ้นนานแค่ไหนแล้วหรือขอรับ?” หวงถิงเฉิงนั่งอยู่ขอบด้านหน้าของเกวียน มองผิวถนนที่คดเคี้ยวแต่ราบเรียบแล้วอดที่จะกล่าวออกมาไม่ได้ ด้านข้างของถนนล้วนเป็ต้นไม้ป่าเขาทั้งนั้น ้าสร้างถนนผ่านเข้าไปเส้นนี้คงเสียเวลาไปอย่างมากเลยกระมัง
“ฮ่าๆ ประมาณสองเดือนครึ่งแล้ว” หลิ่วฉางผิงมองผิวถนนอิฐสีฟ้าที่คดเคี้ยวแต่ราบเรียบ บนใบหน้าล้วนเต็มไปด้วยความรู้สึกพึงพอใจต่อตนเอง
ตอนเริ่มแรกเขาสำรวจระยะทางของถนนที่จะสร้างกับเจินจูและผู้าุโหลิง ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ว่าถนนูเาขรุขระเพียงนี้จะสร้างเป็พื้นถนนผิวเรียบให้รถม้าเกวียนวัวผ่านไปได้อย่างไร
ด้วยเหตุนี้เขาในตอนนั้นจึงปฏิเสธไป เพราะคิดว่าภาระกิจลำบากและหนักหนาเกินกว่าความสามารถ เขาจึงไม่กล้ารับเหมาไว้
ทว่าเจินจูกลับกล่าวโน้มน้าวเขา ผู้าุโหลิงก็เคยเห็นถนนตัดผ่านูเามาแล้ว การสร้างถนนไม่ได้เป็ปัญหาอะไร แค่ต้นไม้กับก้อนหินใหญ่มากไปหน่อย พอตัดต้นไม้ทิ้งและขุดย้ายหินออก ถนนก็สร้างขึ้นมาได้แล้ว ไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าได้หรือไม่ได้ แม้ถนนูเาเส้นนี้จะเลี้ยวลดคดเคี้ยวไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้เป็อุปสรรคใหญ่ ค่อยๆ สร้างถนนขึ้นมาทีละ่ทีละตอน ต้องสร้างเสร็จได้แน่
ผู้าุโหลิงเคยกะประมาณเวลาเสร็จสิ้นของการสร้างถนนไว้ โดยประมาณไม่น่าเกินสองเดือนครึ่ง นางให้เวลาสร้างถนนเขาเต็มๆ สามเดือน ทำงานหนึ่งวันคำนวณค่าตอบแทนหนึ่งวัน ขอแค่ไม่ใช่เจตนาถ่วงเวลาเลื่อนออกไปก็เป็พอ
หลิ่วฉางผิงเคยพาคนไปซ่อมแซมสร้างถนนมาแล้ว จึงรู้รายละเอียดของการทำทาง แต่นั่นเป็บนพื้นที่ค่อนข้างราบเรียบ การสร้างถนนข้างเชิงเขาบนที่ขรุขระนี้ เป็ครั้งแรกของเขาเลยจริงๆ
เขาพิจารณาอยู่หนึ่งวัน ในที่สุดก็รับภารกิจสำคัญในการสร้างถนนมา
คัดเลือกชาวบ้านที่เคยติดตามเขาทำงานมาตลอดทั้งหมดสิบห้าคน และเริ่มขุดต้นไม้ย้ายก้อนหินปรับระดับพื้นดินทุกวัน นอกจากวันฝนตกแล้วเวลาอื่นจะทำงานั้แ่ฟ้าสว่างยันฟ้ามืด ตอนเริ่มต้นที่ระยะทางยังใกล้กับหมู่บ้านก็จะกลับบ้านไปทานข้าวกลางวัน พอห่างออกไปไกลแล้วจึงจะเริ่มพกข้าวมาด้วยตนเอง
ค่าตอบแทนของการสร้างถนน สกุลหูให้ทุกคนวันละสิบสามเหวิน ทำเต็มหนึ่งเดือนก็จะได้เงินเดือนเกือบสี่ร้อยเหวินแล้ว แม้งานสร้างถนนจะเหนื่อยไปบ้าง แต่สำหรับชาวบ้านที่คุ้นชินกับการทำงานหนักจึงไม่นับว่าเท่าไร ขอแค่ค่าตอบแทนของทุกเดือนมอบให้ตรงต่อเวลา กำลังใจในการทำงานของพวกเขาล้วนเต็มเปี่ยม
ค่าตอบแทนที่สกุลหูให้แก่หลิ่วฉางผิงคือยี่สิบเหวินต่อหนึ่งวัน หากทำงานเสร็จภายในเวลาที่กำหนด หลังผ่านการตรวจของผู้าุโหลิงแล้ว สกุลหูจะมอบเงินสองเหลียงให้พิเศษถือเป็เงินรางวัลอีกด้วย
ตลอดหลายปีมานี้หลิ่วฉางผิงช่วยสกุลหูทำการก่อสร้างบ้านเรือน ลานบ้าน หรือพื้นถนน งานเล็กใหญ่ล้วนสร้างมาแล้วไม่น้อย สกุลหูให้เงินเดือนและสวัสดิการแก่เขาอย่างดีเสมอมา ด้วยเหตุนี้เขาจึงเต็มใจทำงานให้สกุลหูอยู่เสมอ
ถนนอิฐสีฟ้าหนึ่งเส้นทะลุเข้าไปทางหุบเขา ภายในเวลาสองเดือนครึ่งก็เสร็จตามกำหนด
ในเวลาปกติผู้าุโหลิงไม่มีอะไรทำเขามักจะมาตรวจสอบคุมงาน พอตรวจสอบคุณภาพของผิวถนนอย่างชัดเจนว่าได้มาตรฐานแล้ว เจินจูจะจ่ายเงินรางวัลให้แก่หลิ่วฉางผิงอย่างรวดเร็ว
ทันทีหลังจากนั้น หลิ่วฉางผิงก็เริ่มโครงการใหญ่ในหุบเขา
ในป่าเขาความยากลำบากและอันตรายต่างซุกซ่อนอยู่ทั่ว งูพิษและสัตว์ป่าดุร้ายมีมากมาย
่เวลานั้นตรงกับ่ที่โรงเรียนหยุดหน้าร้อนพอดี เป็เื่ที่ยอดเยี่ยมนัก โรงเรียนวั้งหลินแบ่งเป็ปิดเทอมหน้าหนาวกับปิดเทอมหน้าร้อน การปิดเทอมสอง่ล้วนกำหนดอยู่ที่หนึ่งเดือน
เจินจูจึงเชิญฟางเสิงกับอาชิงมาทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสถานที่ก่อสร้าง
เดือนนั้นทั้งบ้านสกุลหูล้วนเกลื่อนกลาดไปด้วยเนื้อกวางป่าทุกวัน เนื้อแพะป่า เนื้อหมูป่า แม้กระทั่งเนื้อสุนัขป่า... สัตว์ที่ปรากฏอยู่ในหุบเขาเกือบทั้งหมดล้วนปะทะกับฝีมืออำมหิตของฟางเสิงและลูกศิษย์ทั้งสิ้น
บ้านสกุลหูบริโภคอาหารจำพวกเนื้อมากมายเพียงนั้นไม่ไหว จึงนำไปส่งให้สือหลี่เซียงทุกวัน เงินที่สะสมได้ให้ฟางเสิงและลูกศิษย์ตามจำนวนที่ได้รับมา หนังสัตว์แต่ละชนิดอาชิงล้วนทำการแช่ด้วยตัวเองและเก็บสะสมไว้ พอถึง่ฤดูหนาว เขาก็หยิบออกมาใช้เป็ของขวัญ นำไปมอบให้คนไม่กี่ครอบครัวที่สนิทสนมกันดีกับพวกเขา
ฟางเสิงกับอาชิงยังฝึกม้าป่าให้เชื่องสองตัวด้วย เมื่อม้าป่ารูปร่างดูสูงใหญ่ ขาและเท้าแข็งแรงบึกบึนปรากฏออกมาที่หมู่บ้านวั้งหลิน ก็ดึงดูดชาวบ้านให้มารุมล้อมฉับพลัน
คฤหาสน์ [6] ขนาดใหญ่ที่สกุลหูสร้างขึ้น ได้อธิบายต่อคนภายนอกว่าเป็เ้าของร้านหลิวของฝูอันถัง ้าสร้างสถานที่ใหญ่โตโอ่อ่าในชนบทไว้ผ่อนคลายหลบลมร้อนเข้าไปในหุบเขา หุบเขาครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ ครอบครัวสกุลหูเลยสมทบเงินเข้าไปด้วยหนึ่งส่วน
แน่นอนว่าการยืมชื่อเสียงของหลิวผิงเข้ามาอ้าง ย่อมต้องขอเ้าตัวมาแล้ว
หลิวผิงพยักหน้ายินยอมโดยทันที คุณชายของพวกเขาเคยบอกไว้นานแล้วว่าต้องดูแลครอบครัวสกุลหู ขอแค่ไม่ใช่พวกเขาทำเื่เลวร้ายอย่างการทำผิดกฎหมายที่โทษภัยมหันต์ หากสามารถช่วยได้ย่อมช่วยอย่างแน่นอน
แค่หยิบยืมชื่อเสียงไปปลูกคฤหาสน์ในป่า เป็เื่เล็กน้อยเท่านั้นเอง
กำแพงกั้นของหุบเขาก่อสร้างเสร็จสิ้น แล้วสร้างหอคอยเหมือนกำแพงเมืองไว้ตรงทางผ่านทะลุเข้าสู่หุบเขา ก็จะสามารถทำงานอยู่ด้านในได้อย่างปลอดภัยและหมดห่วง
บนที่ราบสูงไม่มีสัตว์ป่าดุร้ายเคลื่อนไหว ชาวบ้านไม่จำเป็ต้องให้พวกเขาปกป้องอีกต่อไป บุรุษในูเาเ่าั้ฝีมือการจับงูและกระต่ายยิ่งสบายอย่างมาก ตราบใดที่พวกเขาไม่พบสุนัขป่า เสือ และเสือดาว อย่างอื่นก็ไม่ได้อันตรายอะไรมากมาย
ณ ตอนนี้ คฤหาสน์ในหุบเขาได้สร้างมาหนึ่งปีกว่าแล้ว โครงสร้างของสิ่งปลูกสร้างโดยรวมก็เสร็จสิ้นสมบูรณ์
ระยะเวลาของโครงการล่าช้า สาเหตุหลักเป็เพราะวัสดุที่ต้องลำเลียงเข้าไปมีขั้นตอนที่ยุ่งยากอย่าง อิฐ กระเบื้อง ดินและหินที่หนักอึ้ง อีกทั้งเส้นทางค่อนข้างไกลมาก หนึ่งวันไปกลับได้ไม่กี่รอบเท่านั้น
ในฤดูหนาวหิมะตกหนักปิดล้อมป่า เป็เวลาเกือบสี่เดือนที่ทำงานไม่ได้ ส่วนในฤดูใบไม้ผลิฝนตกปรอยๆ ติดต่อกันไม่หยุด มักทำงานสองวันหยุดสามวันอยู่บ่อยๆ ด้วยเหตุนี้จึงยืดเวลาล่าช้าออกมาจนถึงปัจจุบัน โครงสร้างหลักจึงได้ทำสำเร็จเรียบร้อยลงได้
“ท่านลุงหลิ่ว บนถนนจะมีสัตว์ดุร้ายโผล่ออกมาหรือไม่ขอรับ?” หวงถิงเฉิงมองป่าไม้เขียวชอุ่มอุดมสมบูรณ์สองข้างทาง รู้สึกกังวลใจอยู่บ้าง
“ฮ่าๆ พวกเราคนมากมายเพียงนี้ ไม่ต้องกลัวไป” หลิ่วฉางผิงหัวเราะเสียงดัง ทำเอาสัตว์ปีกใจนบินออกมาจากบนต้นไม้ข้างทาง
หวงถิงเฉิงตื่นตระหนกทันที
เชิงอรรถ
[1] เป็ผู้าุโไม่เคารพตนเอง (为老不尊) หมายถึง ในฐานะที่เป็ผู้าุโ ตนเองไม่รู้จักเคารพตนเอง และมีอีกหนึ่งประโยคต่อท้ายว่า 为幼不敬 หมายถึง เป็ผู้เยาว์ไม่เลื่อมใส และเมื่อประโยครวมกันจะความหมายว่า ผู้าุโไม่รู้จักเคารพตัวเอง ทำพฤติกรรมไม่ระมัดระวัง ผู้เป็เด็กจึงไม่เลื่อมใสศรัทธา
[2] ข้ามเครื่องเซ่นไหว้ไปเป็พ่อครัว (越俎代庖) หมายถึง การข้ามหน้าข้ามตา หรือล้ำเส้นไปทำงานของผู้อื่นที่อยู่นอกเหนือขอบเขตความรับผิดชอบของตน
[3] ทำลายกระปุกและโยนให้แตก (破罐子破摔) หมายถึง มีข้อบกพร่องหรือผิดพลาดแล้วปล่อยให้เป็ไปตามยถากรรม ไม่แก้ไขให้ถูกต้อง หรือตั้งใจทำให้แย่ลงกว่าเดิม
[4] ดวงตางอกขึ้นไปถึงศีรษะ เป็การอุปมาถึงความเย่อหยิ่ง เชิด ไม่มองคนต่ำกว่า
[5] เอ้อร์ชื่อจู่ หมายถึง เด็กที่นิสัยเสียเลี้ยงดูโดยพ่อแม่ที่ร่ำรวย และเติบโตมาโดยมีคุณค่าทางศีลธรรมหรือทักษะชีวิตประจำวันที่จำเป็เพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย
[6] คฤหาสน์ คือ บ้านในพื้นที่ชนบทขนาดใหญ่ มีทั้งที่อยู่อาศัย สวน พื้นที่เกษตรกรรมรวมอยู่ด้วยกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับเ้าของที่ว่าจะออกแบบอย่างไร
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้