ในชั่วเสี้ยวขณะ หัวสมองของมู่หรงฉือพลันมีความคิดมากมายอัดแน่น ราวกับตั๊กแตนบนกระทะที่มีน้ำมันร้อนๆ จะเป็จะตายก็แค่ชั่วพริบตา
ไอเย็นแผ่ขึ้นมาจากเท้า เพียงพริบตาเดียวก็กระจายไปทั่วทั้งร่าง ความรู้สึกหวาดกลัวผุดขึ้นมาจากจิติญญา
ส่วนความโกรธที่เป็ดั่งลูกไฟอันร้อนแรงกลับพุ่งขึ้นไปยังสมอง ร้อนไปถึงยอดศีรษะ เกิดเป็ความโกรธจัดยามถูกคนมาท้าทาย
ทั้งสองคนมองตากันไปมาเพียงชั่วเวลาสั้นๆ แต่เหมือนยาวนานเป็ปี
“ดึกดื่นค่อนคืน ท่านอ๋องยังไม่กลับจวนอีกหรือ?” มู่หรงฉือพูดเสียงเครียด น้ำเสียงเย็นเยียบ
“ได้ยินว่าองค์รัชทายาทประชวรอีก เปิ่นหวางจึงมาเยี่ยมโดยเฉพาะ” มู่หรงอวี้พูดจาดูดีแต่การกระทำช่างไร้ยางอาย
“เปิ่นกงเพียงป่วยบ้างเป็บางครั้ง ตอนนี้หายแล้ว ขอบคุณท่านอ๋องที่เป็ห่วง ตอนนี้ดึกมากแล้ว เชิญท่านอ๋องกลับไปเถิด” นางออกปากไล่แขก ไม่อยากจะอยู่กับเขาสองคนในสภาพนี้ ยิ่งไม่อยากจะต่อปากต่อคำกับเขาในสภาพที่ไม่เหมาะสมเช่นนี้
โชคดีที่ตอนอาบน้ำเมื่อครู่ไม่ได้ปล่อยผมลง ไม่อย่างนั้นตอนนี้คงพูดกันยากแล้ว
เหมือนเขาจะฟังความหมายในคำพูดของนางไม่เข้าใจ ถึงได้สะบัดปลายแขนเสื้อขึ้นแล้วนั่งลงด้วยท่าทางสบายๆ “หลายวันมานี้ในวังเกิดเื่มากมาย เตี้ยนเซี่ยเองก็สนใจการสอบสวนด้วย?”
มู่หรงฉือกัดฟันแน่น “เปิ่นกงทำการบ้านเสร็จแล้วก็เลยมีเวลาว่าง คิดว่าการสอบสวนก็น่าสนุกดีเลยอยากจะลองดูสักหน่อย อีกอย่าง เื่นี้ก็แปลกประหลาดนัก เปิ่นกงหวังว่าจะสามารถตรวจสอบให้ชัดเจนได้”
“เื่ราวเหล่านี้ซับซ้อนวุ่นวาย เื่ราวมากมายไปหมด เปิ่นกงก็แค่แบ่งเบาการทำงานของเสิ่นเซ่าชิงเท่านั้น กลับเป็ท่านอ๋องที่มีกิจธุระทั้งวัน ท่านรีบกลับไปพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้จะได้ไม่เข้าประชุมสาย”
“เปิ่นหวางไม่เคยทำให้งานเสีย แม้ว่าจะต้องรบทัพจับศึกสามวันสามคืน ก็ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย พลังงานเต็มเปี่ยม”
สายตาดุจเหยี่ยวของมู่หรงอวี้มองมายังนาง แววตาเหม่อลอย ร่างกายของนางผอมบาง ยิ่งเหมือนกับเรือนร่างบอบบางของสตรี นางคลุมผ้าคลุมกันลมสีหยก ลำคอขาวดุจหิมะ ดวงหน้าเล็กงดงาม ราวกับดอกไม้ที่บานอยู่ภายใต้แสงจันทร์ มีน้ำค้างใสสะอาดเกาะอยู่้า
ทั้งตัวของนางผอมบางราวกระดาษ แต่กลับอ่อนนุ่มมีกลิ่นหอมอ่อนๆ แผ่ออกมา เหมือนฤดูใบไม้ผลิที่เบ่งบานอยู่ข้างกายเขาโดยที่ไม่มีใครรู้ บานอยู่ในแสงสว่างยามค่ำคืนที่ห่างไกล เสน่ห์ในฤดูใบไม้ผลินี้มีแค่เขาที่ได้เข้าไปค้นหา
หัวใจของเขาพลันสั่นไหว
ขนตายาวของเขาสั่นอย่างไม่อาจควบคุม
ความรู้สึกที่ไม่อาจหักห้ามตัวเองแผ่ขยายจนเต็ม่อก ในชั่วพริบตา แม่นางในค่ำคืนนั้น ใบหน้าเล็กงดงามแต่เ็ากับใบหน้าของคนตรงหน้าพลันซ้อนทับกัน…
แต่ทันใดนั้น ิญญาของเขาพลันกลับเข้าร่างทันที ความร้อนสายนั้นก็ล่าถอยไป
มู่หรงฉือสังเกตเห็นได้ สายตาของเขาเปลี่ยนแปลงจากดุดันกลายเป็ร้อนแรง ก่อนจะกลับสู่ความเ็า
หัวใจพลันประหม่าขึ้นมา
เขาค้นพบอะไรหรือไม่? หรือเขานึกอะไรขึ้นได้?
คืนนั้น...?
“เปิ่นกงจะพักผ่อนแล้ว เชิญท่านอ๋อง...”
“เตี้ยนเซี่ยกำลังป่วย คดีเ่าั้ให้ศาลต้าหลี่ตรวจสอบจะดีกว่า เตี้ยนเซี่ยพักผ่อนรักษาตัวเถิด” ั์ตาดำของมู่หรงอวี้มีแรงกดดันราวูเาสูงกดทับ ทำให้คนถูกมองรู้สึกกดดันมากกว่าหลายเท่า
“เปิ่นกงรู้ประมาณตนเองดี ท่านอ๋องก็ไปยุ่งกับการดูแลแคว้นเถิด เื่เล็กๆ ของเปิ่นกงไม่ต้องให้ท่านอ๋องมาเป็ห่วง” นางสะกดโทสะตอบออกไป
บุกมาหานางกลางดึกเพื่อมายุ่งเื่ส่วนตัวของนาง? รั้งไม่ให้นางตรวจสอบคดี?
ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการสมควรตาย!
ใช่แล้ว เขาคงจะเป็กังวลว่าหากนางพบหลักฐานแล้วย่อมไม่เป็ประโยชน์ต่อเขาเป็แน่! อีกทั้งเพลงนั้นก็บ่งชี้มาที่เขา เหตุผลที่เขาหยุดนางเอาไว้ก็เพราะเื่นี้!
มู่หรงฉือนั่งลงตรงหน้าโต๊ะทำงาน ยกยิ้มยากคาดเดา “ท่านอ๋องกังวลว่าเปิ่นกงจะตรวจสอบพบอะไรหรือ?”
มู่หรงหรงอวี้ยกถ้วยชาค่อยๆ ยกดื่มช้าๆ “เปิ่นหวางกังวลจริงๆ นั่นแหละ”
เสียงกระทบของถ้วยดังขึ้นเบาๆ ไม่ได้ดังมาก แต่กลับทำให้คนรู้สึกไม่คุ้นชิน
นางจ้องไปที่มือของเขา นิ้วมือขวาของเขาสวมแหวนทองหัวงูวงหนึ่ง ภายใต้แสงสีเหลืองนวล หัวงูก็เปล่งแสงแสบตาราวกับจะกลืนกินคน
จากสติปัญญาของเขาจะต้องเดาได้แล้วว่าเพลงนั้นชี้มาที่เขา
ตอนนี้เขาพูดออกมาอย่างชัดเจนเช่นนี้ จะมีประโยชน์อะไร?
้าทดสอบ หรือว่าตักเตือนนาง?
“หากเตี้ยนเซี่ยตรวจสอบพบอะไรเข้าจริงๆ จะทำอะไรหรือ?” มู่หรงอวี้พูดเสียงเนือย สายตานิ่งสงบราวกับหลุมลึกมองไปทางนาง
“ท่านอ๋องก็ลองเดาสักครั้งสิ” คิ้วเรียวของมู่หรงฉือเลิกขึ้นน้อยๆ
“เปิ่นหวางคิดว่า เตี้ยนเซี่ยเฉลียวฉลาดยิ่งนัก คงไม่มีทางลงมือง่ายๆ”
“ท่านอ๋องผู้ฉลาดหลักแหลมคงจะเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงคำว่า ‘หมาจนตรอก’ สามคำนี้ใช่หรือไม่”
“เปิ่นหวางจะให้คำแนะนำเตี้ยนเซี่ยหนึ่งประโยค คนทั่วไปมักไม่พบเจอเื่อะไร แต่คนที่รั้นหาเื่ใส่ตัวมีแต่จะทำให้เื่วุ่นวายมากขึ้น” รอยยิ้มเย็นในดวงตาของเขาเหมือนจะมีแต่ก็ไม่
“เปิ่นกงเองก็ขอแนะนำท่านหนึ่งประโยค เคลื่อนไหวมากไร้ความหมายเป็การฆ่าตัวตาย” นางยกยิ้มอ่อนทว่าเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
“เปิ่นหวางกำลังคิดว่า ฮองเฮาผู้สง่างามเกินใคร กลับให้กำเนิดองค์รัชทายาทที่มีหน้าตางดงามผู้หนึ่งออกมา”
ไม่ทันสิ้นเสียง มู่หรงอวี้ก็กุมมือเล็กของนางพลางลูบเบาๆ “ มือนี้ก็ลื่นละเอียด ไม่เพียงแต่กระดูกข้อมือเรียวเล็ก แต่ยังนุ่มราวกับไม่มีกระดูก คนที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางคงคิดว่าเ้าของมือนี้เป็สตรีร่างอ้อนแอ้นคนหนึ่ง”
มู่หรงฉือออกแรงดึงมือออก แต่กลับสู้แรงของเขาไม่ไหว
ใบหน้าเรียวจึงมีสีแดงระเรื่อขึ้นมา ต่อมาก็โกรธจนหน้าเขียว สุดท้ายเพราะตนมีชนักติดหลังจึงเปลี่ยนกลายเป็ขาวซีด
นี่ช่างเป็การหยอกเย้าอันจอมปลอมเสแสร้งยิ่งนัก!
“ปล่อย!” นางตวาดอย่างมีโทสะ
“มือคู่นี้…ทำให้เปิ่นหวางไม่อาจตัดใจปล่อยได้เลยจริงๆ เหมือนกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน…”
มู่หรงอวี้ยักคิ้วตอบ ทำท่าทางกรุ้มกริ่มออกมา
นางพยายามดึงอยู่หลายครั้งก็ไม่สามารถสะบัดหลุดจากมือของเขาได้
เขาไม่เพียงแต่ไม่ปล่อยมือแต่ยังนั่งลงข้างกายนาง ขยับตัวเข้าใกล้แล้วยกมือเล็กของนางขึ้นพิจารณาอย่างละเอียด
มู่หรงฉือจับจ้องดวงหน้าขาวราวหิมะของคนตรงหน้าอย่างหงุดหงิด อยากจะยกเท้ามาเหยียบเสียให้บี้แบน
เขาปราดเข้าประชิดนาง ไอร้อนเป่ารดที่ข้างหู “หากเตี้ยนเซี่ยเป็เด็กไม่ดี เปิ่นหวางจะมาเยี่ยมเตี้ยนเซี่ยก่อนออกจากวังทุกวัน”
อืม นางคงเพิ่งจะอาบน้ำ กลิ่นหอมอบอวล กลิ่นอายหอมหวานเหมือนดอกเฉียงเวย[1]ตอนแรกแย้มในฤดูร้อนที่ทำให้คนลุ่มหลง
หัวใจของนางบีบรัดเข้าหากัน โทสะอัดแน่นอยู่เต็มอก
ไอร้อนจากร่างของเขาลวกผิวขาวราวหิมะของนาง เพียงชั่ววินาทีก็ย้อมผิวของนางให้กลายเป็สีแดงดังพระอาทิตย์ยามเช้าและเมฆที่ทาบท้องฟ้า งดงามหาใดเปรียบ
นางผลักเขาออกทันที ทว่าเขากลับไม่ขยับแม้แต่น้อย เป็ดั่งูเาที่โอนเอียงมาทางนาง
มู่หรงอวี้จับจ้องนาง สายตาเต็มไปด้วยความสนุกสนาน
ริมฝีปากนุ่มราวกลีบดอกไม้ สีแดงประหนึ่งดอกไม้ฤดูร้อนคอยรับลมเย็นที่พัดมา ชั่ววินาทีนั้นกลายเป็ความงดงามที่ปะทะสู่สายตาของเขา
หัวใจสั่นไหวราวกับมีอะไรมาดึงดูดให้เขาขยับเข้าใกล้สีแดงสวยนั่น
มู่หรงฉือใ หยิบถ้วยชาขึ้นสาดใส่เขา
เกิดเสียง ซ่า ชาอุ่นๆ เปียกรดใบหน้าของมู่หรงอวี้ เศษใบชาแปะอยู่บนดวงหน้าเ็า สภาพอนาถเหลือทน
“ท่านจะทำอะไร?” นางถามอย่างอารมณ์เสีย รู้สึกว่าั์ตาดำของเขาประหนึ่งเมฆสีดำปกคลุมห้องของนางเอาไว้
“เอาผ้าเช็ดหน้ามาให้เปิ่นหวาง” เขาพูดเสียงแหบราวกับกำลังสะกดกลั้นโทสะ
มู่หรงฉือหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งมาวางที่มือของเขา พูดอย่างหวังดี “เปิ่นกงจะเรียกหรูอี้มาดูแลท่าน”
มู่หรงอวี้เหลือบตามองนาง คลี่ยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม “ใครทำผิด คนนั้นก็มาจัดการเอง”
นางตกตะลึงไป เนิ่นนานกว่าจะหาเสียงของตัวเองเจอ ก่อนจะกัดฟันกรอด
“หาไม่ เปิ่นหวางคงต้องอยู่ที่ห้องบรรทมของเตี้ยนเซี่ยต่ออย่างไม่เต็มใจ...”
“ไร้ยางอาย!”
นางดึงผ้าเช็ดหน้ากลับมาอย่างคล่องแคล่ว ระหว่างนั้นในแววตาสุกใสพลันปรากฎความเ้าเล่ห์ขึ้นมา
ตอนแรกนางเช็ดเบาๆ ให้อย่างอ่อนโยน
แต่จู่ๆ นางก็ออกแรงทั้งหมดเท่าที่ตนจะเค้นออกมาได้ ราวกับจะเช็ดลงไปให้ถึงิัชั้นที่สามของเขา
เหตุการณ์เกิดขึ้นราวกับเป็วันที่สายลมแสงแดดดีๆ จู่ๆ กลับกลายเป็เกิดพายุขึ้นอย่างกะทันหัน ฝนตกรุนแรง ทำให้คนไม่อาจรับมือได้ทัน
มู่หรงอวี้จับข้อมือของนาง “หากไม่ดูแลดีๆ เปิ่นหวางก็จะรู้สึกว่าเตี้ยนเซี่ยไม่มีความจริงใจ เช่นนั้นเปิ่นหวางก็จำต้องรั้ง...”
มู่หรงฉือกัดฟัน ก่อนจะกดไฟโทสะลง ค่อยๆ เช็ดเศษใบชากับน้ำชาบนหน้าของเขา
เขาจ้องนางอย่างนึกสนุก คิ้วเรียวยาวดกดำ ผ้าคลุมกันลมสีเขียวมรกตคลุมอยู่บนตัวของนาง แต่กลับยิ่งทำให้คนคิดเลยเถิดไปเสียไกล
เขาจำได้ดีว่ามีกี่ครั้งที่เขาได้อุ้มนาง ร่างกายผอมบางดั่งต้นหลิว อ่อนนุ่มเหมือนกับน้ำที่กระเพื่อมไหวน้อยๆ ััที่เขาได้รับนั้นช่างเป็ความทรงจำอันสวยงามเกินจะเปรียบ...
เืลมพลันพลุ่งพล่านขึ้นมา แล่นขึ้นไปทาง้า แผ่กระจายไปถึงหน้าอกลามไปทั่วทั้งแขนขา ความปรารถนาแทบจะะเิออกมา
โดยไม่ทันรู้ตัว เขายกมือขึ้น...
ทว่า นางถอยหลังไปสามก้าว พูดเสียงเย็น “เสร็จแล้ว”
มู่หรงอวี้ที่เสียกิริยาไปจึงลุกขึ้นยืน พูดเสียงทุ้มต่ำ “คำพูดของเปิ่นหวาง หวังว่าเตี้ยนเซี่ยจะจดจำไว้ให้ดี อยู่เรียนรู้การปกครองแคว้นในตำหนักบูรพาเสีย”
“เปิ่นกงย่อมต้องตั้งใจร่ำเรียนศึกษาแน่นอนอยู่แล้ว แต่ท่านอ๋องก็ควรจะสงบจิตใจลงเสียบ้าง ความทะเยอทะยานใช่ว่าจะเป็สิ่งดี ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้ท่านต้องรู้สึกเสียใจภายหลัง” มู่หรงฉือพูดกับเขาอย่างเจาะจง
“เตี้ยนเซี่ยจะดื้อรั้นให้ถึงที่สุดหรือ?”
“เปิ่นกงไม่คิดว่าการสืบสาวเื่ราวจะมีอะไรไม่ดี นับได้ว่าเป็การฝึกสมอง...”
“เปิ่นหวางบอกว่าไม่ดีก็คือไม่ดี”
มู่หรงอวี้พูดเสียงเย็น แววตาเข้มเต็มไปด้วยไอเย็นเยียบ
เห็นเตี้ยนเซี่ยกับเสิ่นจือเหยียนสืบคดีด้วยกัน พูดคุยยิ้มแย้มเรียกขานกันอย่างสนิทสนม เขาก็รู้สึกว่าแสงแดดแยงตาเป็พิเศษ
มู่หรงฉือหัวเราะเสียงเย็น “เชิญท่านอ๋องกลับไปเถิด”
สายตาของเขาที่มองนางจากเ็าแปรเปลี่ยนเป็เย็นเยียบ จากนั้นก็กลายเป็เย็นสบายราวกับสายหมอก สุดท้ายคนถึงกลับไป
นางนั่งพังพาบลงไปกับเก้าอี้ หน้าอกขยับขึ้นลงอย่างรุนแรง
เขาไม่ให้นางไปสืบคดีเพราะเป็กังวลว่านางจะตรวจสอบพบอะไรหรือ?
ก็แค่คนมีชนักติดหลัง!
ไม่ว่าอย่างไร นางก็จะสืบหาต่อไป!
.....
อาการป่วยของมู่หรงฉือยังย้อนกลับมา เช้าวันต่อมานางก็ตัวร้อนขึ้นมาอีก จนถึง่บ่ายไข้ถึงได้ลดลง
หรูอี้ยืนยันหนักแน่นไม่ให้นางลงจากเตียง บอกให้นางพักผ่อนให้ดี มีหรือจะยอมปล่อยให้นางไปที่ไหนได้
นอนอยู่บนเตียงได้สองวัน ในที่สุดก็ไม่มีไข้แล้ว มู่หรงฉือจึงตัดสินใจออกไปเดินเล่นแล้วก็ไปหาเสิ่นจือเหยียนเพื่อสอบถามความคืบหน้า
ตอนที่ทานอาหาร องค์หญิงตวนโหรวมู่หรงสือก็มาขอเข้าพบ
มู่หรงฉือไม่อยากพบนาง จึงสั่งให้ฉินรั่วส่งนางกลับไป แต่นางกลับบุกเข้าตำหนักมาเอง
เชิงอรรถ
[1] ดอกเฉียงเวย เป็ดอกกุหลาบสายพันธ์หนึ่งรู้จักกันทั่วไปในชื่อ multiflora rose, baby rose
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้