เวลาผ่านไปสองปีแล้ว เย่ชิงหานจึงไม่ได้หยุดพักอยู่นาน เขาหยุดอยู่แค่วันเดียวกินเนื้อย่างเสร็จก็เดินเข้าปากทางเชื่อมต่อไป มุ่งหน้าตรงเข้าไปยังด่านสุดท้ายของเส้นทางเชื่อมหุ่นเชิดูเา ด่านที่สิบสองหรือที่เย่รั่วสุ่ยเรียกว่าด่านมรณะ
ฟิ้ว!
เมื่อแสงสีขาวส่องสว่างขึ้น เย่ชิงหานเตรียมพร้อมทำการต่อสู้ในทันที ในขณะเดียวกันดวงตาทอประกายแหลมคมกวาดสำรวจไปโดยรอบทั้งสี่ทิศ
ลักษณะภูมิประเทศของด่านที่สิบสองเป็พื้นที่ราบมีขนาดค่อนข้างเล็ก ขนาดพอๆ กับสนามฟุตบอลเพียงเท่านั้น อีกทั้งคล้ายกับห้องโถงขนาดใหญ่ กำแพงโดยรอบทั้งสี่ทิศมีไข่มุกที่เปล่งแสงแวววาวส่องสว่างราวกับกลางวัน
ห้องโถงแห่งนี้แค่มองออกไปก็เห็นได้ทุกสิ่งอย่าง ไม่มีประตู ไม่มีสิ่งของใดๆ ที่สำคัญคือไม่มีสัตว์ประหลาดและมารอสูรแม้สักตัวเดียว
“แปลกมาก ทำไมไม่มีสัตว์ประหลาดเฝ้ารักษาประจำด่านอยู่เลย ด่านนี้ว่างเปล่าโหรงเหรงอะไรก็ไม่มีสักอย่างเดียว?” เย่ชิงหานนึกว่าตนเองเดินมาผิดทางเสียอีก ขยี้ตาไปมาแล้วกวาดตามองไปรอบๆ อีกครั้ง แต่สิ่งที่เห็นก็ยังเป็พื้นที่ว่างเปล่าไม่มีอะไรอยู่อีกเช่นเดิม
หืม?
เดี๋ยวๆ! อะไรก็ไม่มีสักอย่าง?
เย่ชิงหานพลันพบกับสิ่งที่ทำให้รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา ห้องโถงไม่มีอะไรเลย...ไม่มีทั้งทางออก ไม่มีทั้งบันไดปากทางเชื่อม ไม่มีทั้งม่านพลังโปร่งแสง
“ไอ้บ้าเอ๊ย! ถ้าเล่นกันอย่างนี้แล้วข้าจะออกไปได้อย่างไร?”
เย่ชิงหานตะลึงงันขึ้นในทันที ต่อจากนั้นเขาเริ่มออกวิ่งไปทั่วทั้งสี่ทิศเพื่อเสาะหาดูว่าจะพบอะไรบ้าง แต่ว่าวิ่งเสาะหาอยู่ครึ่งค่อนวันก็ไม่พบอะไรเลย
ไม่มีประตู ไม่มีกลไก ไม่มีรูทางออก หรือแม้กระทั่งสัตว์ประหลาดสักตัวเดียว
หึ่ง...
ในขณะที่เย่ชิงหานกำลังจะเอ่ยปากด่าทอขึ้นนั้น อากาศบริเวณตำแหน่งใจกลางห้องโถงใหญ่พลันเกิดการกระเพื่อมขึ้น จากนั้นมีเงาร่างสีดำสายหนึ่งปรากฏขึ้นมา
ในเวลาเดียวกันเสียงทุ้มต่ำที่ดังขึ้นทำเอาเย่ชิงหานสะดุ้งใขึ้นมาเป็อย่างมาก
“เฮ้อ...สามร้อยกว่าปีแล้วในที่สุดก็มีผู้ทะลวงผ่านด่านทดสอบเข้ามาถึงเสียที หืม? ระดับพลังฝีมือต่ำถึงเพียงนี้เชียว? อายุก็ยังน้อยถึงเพียงนี้อีกด้วย? อ้อ... ที่แท้ก็เป็ผู้โชคดีที่ได้รับแหวนจักรพรรดิิญญานี่เอง...”
“เอ๊ะ? มีคน?”
เย่ชิงหานมีปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นมาทันที กล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างพองเกร็งขึ้น ในเวลาเดียวกันเริ่มทำการโคจรพลังปราณรบ กริชัเขียวภายในมือปรากฏคลื่นพลังคมมีดผลุบๆ โผล่ๆ เตรียมพร้อมที่จะโจมตีเข้าใส่เงาร่างสีดำอยู่ทุกเมื่อ
เพียงแต่...สักพักต่อมาเขาคล้ายกับว่านึกอะไรขึ้นมาได้ร่างกายพลันแข็งทื่อขึ้นมาทันที ลูกกระเดือกขยับขึ้นลงไปมาอย่างยากลำบาก แล้วจึงเอ่ยปากพูดขึ้นด้วยริมฝีปากที่สั่นระริก
“เคลื่อน...เคลื่อนย้ายในพริบตา? ผู้...ผู้ฝึกยุทธ์ระดับเทพ?”
คนๆ นี้เมื่อสักครู่โผล่ออกมาจากกลางอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาไม่พบว่าภายในนี้จะมีแสงของค่ายกลเคลื่อนย้ายอะไรส่องสว่างเกิดขึ้นมาเลย ถ้าอย่างนั้น...สิ่งเดียวที่พอจะอธิบายได้ดีที่สุดคือ คนๆ นี้สามารถเคลื่อนย้ายในพริบตาได้ซึ่งก็คือเทพนั่นเอง
“อืม...ถ้าถือตามโลกจักรวาลชั้นนอกทวีปัเพลิงของพวกเ้า ข้าเป็ผู้ฝึกยุทธ์ระดับเทพจริง” คนชุดดำรูปร่างสูงใหญ่น่าจะสูงราวๆ สองเมตรโดยประมาณ อายุน่าจะอยู่ใน่สี่สิบปี ลักษณะใบหน้าคล้ายกับหน้าแพะูเามีหนวดเครายาวอยู่ใต้คาง ดวงตาทั้งสองข้างเล็กเรียวยาว เมื่อได้ยินคำถามของเย่ชิงหานเขาจึงพยักหน้าพร้อมกับตอบกลับมาอย่างราบเรียบ
“ข้า ข้าพบเจอกับเทพ...”
ร่างกายของเย่ชิงหานเริ่มสั่นเทิ้มขึ้นอย่างไม่สามารถจะบังคับได้ แม้เขาจะบอกกับตนเองแล้วว่าจิตใจต้องหนักแน่นมั่นคงเข้าไว้ แต่ร่างกายกลับไม่ยอมทำตามเริ่มสั่นเทิ้มขึ้นเองโดยอัตโนมัติ
แม้ว่าตอนที่อยู่ในสวนที่พักภายในนครแห่งเทพเย่ชิงหนิวจะบอกกับเขาแล้วว่าเทพไม่ได้วิเศษอะไรมากมายนัก เพียงแค่แข็งแกร่งกว่าผู้มีพลังฝีมือระดับขอบเขตปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งเท่านั้นเอง และในด่านแรกดินแดนแห่งภาพลวงตาเขาได้รู้ว่าตระกูลเย่ก็มีเทพอยู่คนหนึ่งเช่นเดียวกัน แถมยังพูดคุยกันนานหลายครั้งและยังเคยด่าอีกด้วย ซึ่งก็คือเย่รั่วสุ่ย...
แต่ครั้งนี้เป็ครั้งแรกที่ได้เห็นเทพกับตาตัวเองและใกล้ถึงเพียงเท่านี้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังเป็การพบเจอในสถานที่แปลกประหลาดเช่นนี้อีก เย่ชิงหานจึงอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นดีใจและหวาดหวั่นขึ้นมา ดังนั้นร่างกายจึงสั่นเทิ้มขึ้นอย่างไม่อาจที่จะฝืนบังคับเอาไว้ได้
“ท่านคือผู้ที่สร้างูเาสุสานทวยเทพขึ้นมาใช่หรือไม่? ท่านคือเทพผู้ยิ่งใหญ่คนนั้นใช่ไหม?” ผ่านไปชั่วครู่ เย่ชิงหานพยายามข่มอารมรณ์ความรู้สึกหวาดหวั่น มองดูชายชุดดำใบหน้าแพะูเาที่ปราศจากอารมณ์ใดๆ แสดงออกมาที่อยู่ตรงหน้า จากนั้นรวบรวมความกล้าพูดเอ่ยถามขึ้น
“ผู้สร้าง? ูเาสุสานทวยเทพ? อ้อ...ไม่ใช่ ที่นี่เป็นายท่านของข้าสร้างขึ้นมา ตัวข้าไม่มีพลังความสามารถถึงเพียงนั้น ข้าเพียงแค่รับผิดชอบเฝ้ารักษาด่านนี้ไว้เท่านั้น! อืม...ข้าชื่อว่าลู่ซี” ชายชุดดำยังคงยืนอยู่ที่เดิมพูดตอบกลับมาอย่างราบเรียบ
“ฮะ!” เย่ชิงหานเมื่อได้ฟังเกือบจะหกล้มหน้าคะมำลงไปบนพื้น คนผู้นี้คือผู้ที่เฝ้ารักษาประจำด่านแห่งนี้ ผู้ฝึกยุทธ์ระดับเทพ? นี่มันเป็การจงใจแกล้งกันอย่างเห็นได้ชัดเลยมิใช่รึ?
ผู้ฝึกยุทธ์ระดับเทพเป็ผู้เฝ้ารักษาประจำด่านเช่นนี้ แล้วใครหน้าไหนจะผ่านไปได้?
แต่ว่า เมื่อเห็นชายวัยกลางคนหน้าแพะยืนอยู่เฉยๆ ไม่ได้ลงมือใดๆ เย่ชิงหานคิดว่ามันจะต้องมีกฎกติกาอะไรอยู่อย่างแน่นอนที่ตนเองไม่รู้ มิฉะนั้นละก็หากเขาคิดจะสังหารตนเองแค่ตอนที่เดินเข้ามาก็คงถูกสังหารไปในพริบตาแล้ว คงไม่ได้มีโอกาสมาพูดคุยซักถามมากมายถึงเพียงนี้แน่นอน
“ท่านผู้าุโ ข้าขอถามหน่อยว่าด่านนี้มีกฎกติกาอะไรบ้างถึงจะทะลวงผ่านไปได้?” เย่ชิงหานลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะแข็งใจเอ่ยถามขึ้น สีหน้าอาการเริ่มกลับมาสงบราบเรียบอีกครั้ง ในเมื่อผู้เฝ้ารักษาเป็ถึงผู้ฝึกยุทธ์ระดับเทพลูกเล่นเด็กน้อยทั้งหลายคงใช้การอะไรไม่ได้แล้ว ถ้าหากเขาคิดจะสังหารตนเองไม่ว่าจะหนีอย่างไรก็คงหนีไม่พ้น
“อืม...ไม่เลว!”
ลู่ซีพอใจกับการแสดงออกของเย่ชิงหาน ใบหน้าที่ไม่แสดงความรู้สึกออกมาตลอดนั้นเริ่มยิ้มออกมาเล็กน้อย จากนั้นจึงพูดขึ้น “อยากจะผ่านด่านนี้ไปนั้นไม่ยาก ในระยะเวลาหนึ่งปีเอาชนะข้าหรือทำให้ข้าาเ็ได้ก็พอ แน่นอน...ข้าจะลดระดับพลังฝีมือของข้าลงมาอยู่ที่สองเท่าจากระดับพลังฝีมือปัจจุบันของเ้า แต่ถ้าผ่านไปหนึ่งปีแล้วเ้ายังไม่สามารถเอาชนะหรือทำให้ข้าาเ็ได้ ข้าจะลงมือสังหารเ้าในทันที!”
เอาชนะเขา? สองเท่าของพลังฝีมือตนเอง? ระยะเวลาหนึ่งปีไม่สำเร็จต้องตาย?
มีกฎกติกาจริงไม่ผิดจากที่คาดเอาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎกติกาโคตรจะแสนยาก
สองเท่าของพลังฝีมือตนเอง นี่แทบจะไม่มีทางเอาชนะได้เลยด้วยซ้ำ?
“ท่านผู้าุโ ไม่รู้ว่าที่ท่านพูดว่าสองเท่าของพลังฝีมือ นับเอาเฉพาะระดับขั้นพลังของข้า? หรือว่าพลังฝีมือโดยรวมของข้าทั้งหมด?” เย่ชิงหานครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่จึงเอ่ยถามขึ้นเพื่อความชัดเจน ถ้าหากนับรวมวิชาต่อสู้ร่างอสูรของเขาเข้าไปด้วยละก็ คงไม่มีความจำเป็จะต้องต่อสู้แล้ว ยอมแพ้เลยเสียยังจะดีกว่า
วิชาต่อสู้ร่างอสูรในตอนนี้สามารถสังหารผู้มีพลังฝีมือระดับขอบเขตาาจักรพรรดิส่วนใหญ่ได้ในพริบตา ถ้าหากพูดว่าสองเท่าของพลังฝีมือในตอนนี้ก็คงต้องพูดถึงระดับขั้นที่สามารถสังหารผู้มีพลังฝีมือระดับขอบเขตปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ได้เลยทีเดียว หากจะให้ตนเองต่อสู้กับผู้ที่สามารถสังหารผู้มีพลังฝีมือระดับปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ได้เช่นนั้น ปลิดชีพตนเองยังจะง่ายดายกว่าเสียอีก
“พลังฝีมือของเ้าในตอนนี้คือระดับเจ็ดขั้นสูงสุดหรือก็คือที่พวกเ้าเรียกว่าระดับขั้นสูงสุดขอบเขตจ้าวนักรบ ดังนั้นข้าจะลดระดับพลังฝีมือของข้าลงมาที่ระดับแปดขั้นกลาง หรือก็คือระดับขั้นที่สองขอบเขตาาจักรพรรดิ ระดับขั้นพลังิญญาของเ้าในตอนนี้คือระดับแปดขั้นเริ่มต้น ข้าจะลดระดับพลังิญญาของข้าลงมาที่ระดับแปดขั้นสูงสุดซึ่งก็คือระดับขั้นสูงสุดขอบเขตาาจักรพรรดิ! ภายในระยะเวลาหนึ่งปีเ้าสามารถเอาชนะหรือทำให้ข้าาเ็ได้ถือว่าเ้าผ่านด่านทดสอบ!” ลู่ซีค่อยๆ พูดอธิบายออกมาให้เย่ชิงหานฟังอย่างละเอียดโดยไม่ได้รู้สึกรำคาญแต่อย่างใด
“แล้วพวกเคล็ดวิชาต่อสู้และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎเกณฑ์พลังฟ้าดินอะไรพวกนี้ท่านผู้าุโก็ห้ามใช้ด้วย เพราะข้ายังไม่ได้ฝึกฝนเลยแม้แต่น้อย!”
เย่ชิงหานต้องทำการพูดคุยให้ชัดเจนก่อน ไม่อย่างนั้นถึงเวลาต่อสู้จริงชายหน้าแพะผู้นี้ใช้เคล็ดวิชาต่อสู้ที่เรียนรู้มาจากกฎเกณฑ์พลังฟ้าดินโจมตีใส่เขาละก็คงไม่ต้องคิดต่อสู้ต่อไปแล้ว ต้องเข้าใจว่าการนำพลังที่ศึกษาเรียนรู้ได้จากกฎเกณฑ์พลังฟ้าดินมาใช้นั้นจะสามารถเพิ่มอานุภาพพลังทำลายล้างให้แก่เคล็ดวิชาต่อสู้ขึ้นมาอีกหลายเท่าตัว
ลู่ซีหรี่ตาลองครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบออกมา “อืม...ตามกฎกติกาที่นายท่านวางเอาไว้เ้ายังไม่ได้เรียนรู้พลังกฎเกณฑ์ทั้งหลายหรือก็คือกฎเกณฑ์พลังฟ้าดิน ดังนั้นข้าก็จะไม่ใช้พลังกฎเกณฑ์พลังฟ้าดินต่อสู้กับเ้า จะใช้แค่เพียงพลังลมปราณ ซึ่งก็คือพลังปราณรบโจมตีใส่เ้าเพียงเท่านั้น!”
ลดระดับพลังปราณรบลงมาอยู่ที่ระดับขั้นที่สองขอบเขตาาจักรพรรดิ? ระดับพลังิญญาขั้นสูงสุดขอบเขตาาจักรพรรดิ? ไม่ใช้กฎเกณฑ์พลังฟ้าดิน? อย่างนี้ค่อยน่ามีลุ้นขึ้นมาหน่อย!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้