แม้จะรู้สึกห่อเหี่ยวเพราะเหล่าอาจารย์ทั้งหลาย แต่โหยวเสี่ยวโม่ก็ลืมเื่ทั้งหมดภายในเวลาอันรวดเร็ว
กลับถึงห้องตัวเอง เขาก็ยุ่งตามเคย
เพราะ่กลางคืนไม่ค่อยมีคนรบกวน ดังนั้นจึงสิงอยู่ในห้วงมิติจนถึงเช้าวันถัดไป เวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ชั่วยาม เขาจัดที่ทางในห้วงมิติใหม่ทั้งหมด พร้อมทั้งคำนวณสิ่งที่ต้องซื้อเพิ่มในครั้งหน้า
นอกจากนี้ เขาตัดสินใจจะสร้างบ้านพักเล็กๆ ของตัวเองริมทะเลสาบ พอคำนวณดู ของที่ต้องซื้อนั้นเยอะแยะมากมาย ต้องใช้งบก้อนใหญ่ จากเงินทองที่เขามีในตอนนี้ ยังห่างไกลนัก ดังนั้นต้องรีบหาเวลาขายประมูลให้เสร็จ
ห้วงมิตินั้นให้ความรู้สึกเหมือนบ้านสำหรับเขา ในนี้เขาสามารถทำทุกอย่างได้ตามใจ ไม่ต้องห่วงว่าใครจะรู้ ไม่ต้องกระวนกระวาย แม้ว่าจะมีทุ่งหญ้าผืนใหญ่ที่ต้องถอน ต้องรดน้ำอย่างเหน็ดเหนื่อยทุกวัน แต่เขารู้สึกว่าชีวิตแบบนี้ช่างเต็มที่
ไม่ต้องคิดซับซ้อน ไม่ต้องคอยระวังคนอื่น มีหญ้าเซียนฟรีๆ ให้ใช้ทุกวัน เยี่ยมจริงๆ!
หลังออกจากห้วงมิติ โหยวเสี่ยวโม่บิดี้เี ด้านนอกตะวันกำลังขึ้น ทำปากจ๊อบแจ๊บ
พูดถึงแล้วเขาไม่ได้กินข้าวเป็มื้อปกติก็นานมากแล้ว
ั้แ่เขาหลอมยาทดแทนความหิวได้ เขาก็ไม่ได้กินข้าวอีกเลย แม้ว่าท้องจะไม่หิว แต่ต่อมรับรสนั้นไม่ได้รับรู้รสชาติใดๆ มันก็แปลกอยู่บ้าง บางทีก็รู้สึกไม่ชิน เพราะเขาก็เป็คนปกติมาตั้งสิบแปดปี กินวันละสามมื้อปกติ ถือเป็ความสามารถอย่างหนึ่ง
ดังนั้นหากจะไม่ให้เขากินข้าวเลย ก็คงรู้สึกอึดอัด พอว่างทีไรก็จะนึกถึงเม็ดข้าวที่เคี้ยวงับๆ อยู่ในปาก
โหยวเสี่ยวโม่ลูบท้องตัวเอง มองแสงตะวันสาดส่องจากหน้าต่าง แน่ใจว่ายังไม่เลย่อาหารเช้า จึงเก็บกวาดห้องแล้วตรงไปโรงอาหาร
โรงอาหารยังคงครึกครื้นเหมือนประจำ แม้จะผ่าน่ที่วุ่นวายที่สุด แต่บนโต๊ะยังคงมีคนนั่งอยู่ประปราย จับเข่าคุยกันก็เยอะ แต่พอโหยวเสี่ยวโม่เดินเข้ามา เสียงคึกคักก็ซาลง จดจ้องอยู่ที่โหยวเสี่ยวโม่แทน
โหยวเสี่ยวโม่กวาดมองรอบหนึ่ง พลันรีบก้มหน้า
ั้แ่ตอนนั้น เขาก็รู้ว่าทำตัวต้อยต่ำไม่เป็ผล ดังนั้นจึงฝึกกับเมินสายตาของผู้คนแทน
ตักอาหารได้พอสมควร โหยวเสี่ยวโม่ก็ยกถาดข้าวไปนั่งบนโต๊ะว่างลำพัง ไม่ว่าสายตาผู้คนที่มองมาจะซับซ้อนขนาดไหน ทั้งอิจฉาเลื่อมใสชิงชัง เขาก็เมินเรียบ
พวกเ้าชอบมองใช่ไหม? มองสิ มองเลย ข้าไม่เก็บเงินหรอก
เมื่อรู้สึกว่าไร้ความหมาย จึงถอนสายตากลับไป แต่เสียงคุยกันก็เบากว่าเมื่อครู่ มีมองมาทางโหยวเสี่ยวโม่เป็บางที
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ถึงโหยวเสี่ยวโม่ตอนนี้จะยังไม่เป็ที่ชื่นชอบเท่าไร แต่เขาก็เป็ศิษย์ขงเหวิน เพียงข้อนี้ คนอื่นก็ไม่สามารถพูดจานินทาเขาต่อหน้าได้อีก
โหยวเสี่ยวโม่ก็รู้สึกสงบ แต่ก่อนตอนที่พึ่งเป็ศิษย์ขงเหวิน ศิษย์พวกนั้นเมื่อเห็นเขาก็ราวกับเห็นหัวหน้า รีบวิ่งมาประจบประแจง ทำเอารำคาญจะแย่
โหยวเสี่ยวโม่ไม่เคยชอบบรรยากาศของโรงอาหาร รู้สึกกดดัน โดยเฉพาะตอนที่เขาปรากฏตัว รีบกินข้าวบนถาดจนหมด กำลังจะลุกขึ้น จู่ๆ ข้างๆ ก็มีเงาคนมายืนอยู่ ไม่ทันเงยขึ้นมอง คนผู้นั้นก็เอ่ยขึ้น น้ำเสียงอ่อนโยน หากไม่ใช่ศิษย์พี่ใหญ่จะเป็ใครได้อีก
“ศิษย์น้องเล็ก ในที่สุดก็หาตัวเ้าได้ง่ายๆ เสียที”
โหยวเสี่ยวโม่หัวเราะดัง “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านหาข้ามีเื่อะไรรึขอรับ?”
ฟางเฉินเล่อไม่ไว้ตัว ลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ มองเขาแล้วจู่ๆ ก็ทำหน้าละอาย พูดเข้าประเด็น “ศิษย์น้องเล็ก ศิษย์พี่ใหญ่ต้องขอโทษเ้าด้วย คิดไม่ถึงว่าเมื่อวานที่อาจารย์เรียกเ้าไปเพราะจุดประสงค์เช่นนั้น…”
“ช้าก่อน ศิษย์พี่ใหญ่” โหยวเสี่ยวโม่ขัดคำพูดกล่าวโทษตัวเองของเขา พูดอย่างทำตัวไม่ถูก “ข้ารู้ว่าเื่นี้ไม่เกี่ยวกับศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่รอง ข้าก็ไม่ได้โทษพวกท่าน ข้ารู้ว่าที่อาจารย์ทำเช่นนั้นก็เพื่อพวกท่าน ที่อาจารย์พูดก็ถูกต้อง พวกท่านไปดีกว่าข้าไปมากนัก”
“แต่ว่า เื่นี้มันไม่ยุติธรรมกับเ้า ไม่ใช่รึไง?” ฟางเฉินเล่อเอ่ยจริงจัง
แม้ว่าเขานทีเมฆาจะทำเขาใจเต้นมาก แต่เขาไม่ใช่คนที่จะเหยียบหลังศิษย์น้องเพื่อไต่เต้า หากเป็เช่นนี้ เขาขอไม่รับโอกาสนี้จะดีกว่า เขาเชื่อว่าจื่อหลินก็คงคิดเช่นเดียวกัน
โหยวเสี่ยวโม่เห็นสีหน้าเขาเปลี่ยน ก็รู้ว่าศิษย์พี่ใหญ่โกรธมาก มีศิษย์พี่ใหญ่ที่คอยคิดแทนตัวเอง เขารู้สึกว่าตัวเองช่างโชคดี ดังนั้นหากเขายกโอกาสนี้ให้กับศิษย์พี่ใหญ่จริง เขาก็คงไม่เสียดาย
“ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าได้ยินว่าการจะบรรลุนักหลอมโอสถขั้นสี่นั้นยากพอสมควร ท่านกับศิษย์พี่รองคงใช้เวลาไปหลายปีสินะ หากได้ไปเขานทีเมฆา โอกาสในการบรรลุขั้นก็ยิ่งสูงไม่ใช่เหรอ? ข้าอยากเห็นพวกท่านเก่งกาจจริงๆ นะ อีกหน่อยทัพ์จะได้ดูถูกเราไม่ได้อีก”
โหยวเสี่ยวโม่รู้ว่าตัวเองไม่ได้พูดเก่ง จะให้พูดโน้มน้าวศิษย์พี่ใหญ่คงยาก ดังนั้นจึงพูดคำพูดง่ายๆ ตามที่ตัวเองคิดไป
“ศิษย์น้องเล็ก เ้าคิดได้ง่ายดายเสียจริง” ฟางเฉินเล่อถอนหายใจ
“หมายความว่าอย่างไร?” โหยวเสี่ยวโม่ถามกลับอย่างฉงน
“เ้าเคยคิดหรือไม่ คนที่อาจารย์อาเยี่ย้าคือเ้า หาใช่ศิษย์พี่รองหรือข้า เื่นี้ใช่ว่าเ้าบอกจะยกโอกาสให้ข้าก็ทำได้เลย หากอาจารย์อาเยี่ยไม่ยินยอม เ้าคิดว่าข้ากับศิษย์พี่รองจะไปได้งั้นหรือ?” ฟางเฉินเล่อส่ายหัว รู้ว่าเขาไม่รู้แน่นอน
“อ๋า?” โหยวเสี่ยวโฒ่ชะงัก เขาไม่เคยคิดถึงเื่นี้มาก่อนเลย “แต่จากที่อาจารย์พูดมา…”
ฟางเฉินเล่ออยากเคาะหัวเขาสักที ดูสิว่าข้างในใส่อะไรไว้ “เ้าคิดว่าอาจารย์พูดว่ายังไงก็ตามนั้นหรือไง? หากเป็เช่นนั้นจริง อาจารย์คงหาวิธีให้ข้ากับศิษย์พี่รองนานแล้ว อาจารย์อาเยี่ยแม้ภายนอกจะดูอ่อนโยนเป็มิตร แต่ความจริงแล้วหากสิ่งไหนที่เขาไม่้า กระทั่งเ้าสำนักก็บังคับเขาไม่ได้”
“งั้นความหมายของอาจารย์คือยังไงกันแน่?” โหยวเสี่ยวโม่ถามซื่อๆ คิดเองไม่ออก
พูดถึงอาจารย์ ฟางเฉินเล่อท่าทีเหนื่อยหน่าย “อาจารย์คงคิดว่าเ้าสามารถทำให้อาจารย์อาเยี่ยชอบเ้าได้ หากให้เ้าเอ่ยขึ้นคงพอมีหวังมากกว่า”
โหยวเสี่ยวโม่เงียบงัน…
เขาไม่คิดเลย อาจารย์ที่ฉลาดขนาดนั้น ยังมีความคิดเช่นนี้ได้
ดูท่าว่าอาจารย์จะให้ความสำคัญกับศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่รองยิ่งนัก ไม่เช่นนั้นคงไม่มีความคิดแบบนี้ หากเขามีอาจารย์ที่คิดแทนเขาเช่นนี้…โอ๊ย นี่ช่างเป็ความคิดที่ไม่มีมูลเสียเลย!
“ศิษย์พี่ใหญ่ ไม่ว่ายังไง หากข้าได้พบอาจารย์อาเยี่ย ข้าจะลองคุยกับเขาเอง” โหยวเสี่ยวโม่พูดอย่างแน่วแน่
ฟางเฉินเล่อเห็นสีหน้าเอาจริง พอรู้ถึงนิสัยเขา ถึงจะโน้มน้าวก็ไม่มีประโยชน์ ได้แต่เอ่ยอย่างหน่ายใจ “ศิษย์น้องเล็ก ข้ารู้ว่าเ้าหวังดีกับศิษย์พี่ใหญ่ แต่ทำเท่าที่เ้าทำไหว ห้ามทำให้อาจารย์อาเยี่ยเคืองเด็ดขาด จริงสิ ศิษย์พี่รองฝากคำพูดมาให้เ้าด้วย”
“อะไรหรือ?” โหยวเสี่ยวโม่สงสัย
ฟางเฉินเล่อหัวเราะ “เขาบอกว่า อย่าจุ้นเื่ที่ไม่ใช่ของตัวเอง”
โหยวเสี่ยวโม่ก็พลอยขำไปด้วย ศิษย์พี่รองนี่ช่างเอาใจยากแล้วก็ขี้เก๊กเสียจริง!
โหยวเสี่ยวโม่ออกจากโรงอาหารพร้อมฟางเฉินเล่อ คนทั้งโรงอาหารต่างพากันมองหน้า พวกเขานึกว่าฟางเฉินเล่อกับเขาจะแตกหักกันด้วยเื่นี้ ดูท่าความจริงจะต่างจากที่พวกเขาคิดอย่างสิ้นเชิง เช่นนี้ ก็เท่ากับโต้ข่าวลือไปในตัว
สามวันหลังจากนั้น หลิงเซียวมาหาโหยวเสี่ยวโม่
ก่อนหน้านี้เยี่ยหานบอกให้โหยวเสี่ยวโม่ลองคิดดู ดังนั้นเขาให้เวลาสามวัน
ครั้งนี้หลิงเซียวมาหาเขา ก็เพราะเื่ที่เยี่ยหานบอกให้พาโหยวเสี่ยวโม่ไปหาเขาหลังจากสามวัน ทว่าแม้เขาไม่บอก หลิงเซียวก็ตั้งใจพาไปอยู่แล้ว
เกี่ยวกับเื่ที่ขงเหวินเรียกเขาไปพบ หลิงเซียวรู้เื่แล้ว แต่เขาไม่คิดจะเอ่ยถึงเื่นี้
เหมือนที่ฟางเฉินเล่อพูด หากเยี่ยหานคุยง่ายเพียงนั้น หลายปีที่ผ่านมาก็คงมีคนมาหาเขาเยอะแยะมากมาย ไม่รอจนถึงวันนี้ ความคิดพวกนั้นก็แค่เพ้อฝัน แม้ว่าโหยวเสี่ยวโม่จะยินยอม แต่ก็ต้องผ่านด่านเยี่ยหาน ดังนั้นเขาจึงไม่กังวล
หลิงเซียวไม่ถาม โหยวเสี่ยวโม่ไม่เชื่อว่าเขาจะไม่ได้ยินข่าวลือพวกนั้น แม้จะแปลกใจ แต่ก็โล่งอก หากต้องบอกความคิดจริงๆ ของตัวเองไป ก็คงไม่พ้นโดนด่าว่าซื่อบื้อ เขายังไม่ถึงขั้นหาเื่ให้ตัวเองโดนด่า
ระหว่างทาง โหยวเสี่ยวโม่บอกกับหลิงเซียวเื่จะลงเขาอีกรอบนึง ครั้งนี้มีของต้องซื้อเยอะแยะ นอกจากของที่ต้องใช้สร้างบ้าน เขายังอยากลองดูว่าจะซื้อหญ้าเซียนขั้นสี่ถึงขั้นหกได้หรือไม่
แต่ครั้งนี้ต้องใช้เงินก้อนใหญ่ ดังนั้นต้องรีบจัดการเื่ขายประมูลให้เสร็จก่อนค่อยว่ากัน เพียงแต่เขาไม่แน่ใจว่าเมืองเหอผิงจะมีการจัดการประมูลหรือไม่ หลิงเซียวน่าจะรู้ดีกว่าเขา
“ใกล้ถึงเขานทีเมฆาแล้ว ไว้ขากลับข้าจะเล่าให้ฟังอีกที” หลิงเซียวท่าทีประหลาดใจ
“งั้นก็ได้” โหยวเสี่ยวโม่เห็นเขานทีเมฆาที่ใกล้เข้ามา ในใจเริ่มกระสับกระส่าย
หลิงเซียวมองจากหางตาเห็นท่าทีเขา หัวเราะหึแล้วเอ่ย “ศิษย์น้องเล็ก อีกเดี๋ยวต้องระมัดระวังคำพูด ที่จริงนิสัยของอาจารย์อาเยี่ยเ้าน่ะไม่ค่อยดีนัก หากทำเขาเคืองละก็ จุ๊ๆๆ!”
หน้าโหยวเสี่ยวโม่มืดมน ถึงทางเข้าแล้วยังจะมาขู่ ไม่เห็นว่าเขาตื่นเต้นอยู่หรือ?
