บทที่ 168 เข้าถ้ำเสือ
“กุบกับ---”
รถม้าที่ดูทรงพลังและเรียบง่ายหยุดลงทันทีที่หน้าประตูของเรือนกลิ่นกำจร
ชายชราเสื้อคลุมสีเทา ใบหน้าเหี่ยวย่นตามวัยเดินนำชายหนุ่มที่สวมหน้ากากผีร้ายลงมาจากรถม้า แม้ไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะมากนัก แต่ก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนที่สัญจรไปมาได้จำนวนมาก
“หืม? มาถึง่ตัดสินนี้แล้ว เหลือเวลาอีกเพียงสามวันก่อนจะประกาศผลว่าที่ลูกเขยของตระกูลฉู่ แต่ก็ยังมีคนมาเยี่ยมที่นี่อีกหรือ?”
“ทั้งคนหนุ่มคนแก่นั่นไม่ดูบ้านนอกไปหน่อยหรือ? มีคนรับใช้เพียงหยิบมือด้วยซ้ำ แถมยังนั่งรถม้าศึกธรรมดาๆ อีก ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนมีอำนาจอะไร”
บางคนแอบเยาะเย้ย รู้สึกว่าหลิงจื้อและฉู่อวิ๋นต่างก็ไม่เจียมตัวเอง ด้วยอยากเห็นพวกเขาถูกปฏิเสธการมาเยี่ยม
แต่หลิงจื้อเดินนำไปที่ประตูเรือนกลิ่นกำจรอย่างคุ้นเคยด้วยสีหน้าเรียบเฉย เหลือบมองเพียงสองสามครั้งโดยไม่แม้แต่จะทักทาย
“คารวะอาจารย์หลิง! เชิญขอรับ!”
ทันใดนั้น คำทักทายอย่างยำกรงและแสนเคารพก็ดังขึ้นอย่างฉับพลัน
ยามทั้งสองรีบเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว เพราะเกรงว่าจะละเลยและรีบหลีกทางให้ชายชราและชายหนุ่ม พวกเขาถึงกับโค้งคำนับด้วยความเคารพอย่างสุดตัวจนทุกคนตกตะลึง
ในเวลาเดียวกัน พ่อบ้านก็ยิ้มและออกมาต้อนรับเขาทันที
“อาจารย์หลิง ผู้เฒ่าฉู่ของเรารอท่านอยู่นานแล้ว เชิญข้างในเถิด มีบันไดหินหลายขั้นหน่อย โปรดเดินระวังด้วย ฮ่าๆ”
ทันทีที่พูดจบ พ่อบ้านเฒ่าตาคมก็สังเกตเห็นว่ามีฉู่อวิ๋นที่ตามมาด้วย เขาใเล็กน้อยและกลอกตาในทันที
หลังไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็กะพริบตาแล้วพูดอย่างประจบประแจง “โอ้ ~ นี่คงเป็นายน้อยผู้สูงศักดิ์ของตระกูลหลิงสินะ วันนี้ได้พบ ช่างสง่างามนัก วีรบุรุษถือกำเนิดแต่เยาว์วัยจริงๆ!”
เมื่อฉู่อวิ๋นได้ยินเช่นนี้ เขาก็รู้สึกแปลกๆ ครั้งสุดท้ายที่เขามาเยือนที่นี่ในฐานะคนป่า เขาได้รับการปฏิบัติด้วยสายตาที่เ็า แต่ยามนี้เมื่อเปลี่ยนตัวตน วิธีการปฏิบัติก็ต่างออกไปทันที จึงแอบถอนหายใจให้กับความเป็จริงของโลกใบนี้
ทันใดนั้น หลิงจื้อก็โยนถุงหินิญญาไปให้พ่อบ้านเก่าอย่างส่งๆ และเอ่ยอย่างเ็า “อย่ารบกวนนายน้อยของข้า ไม่เช่นนั้นแล้วเ้าจะรับไม่ไหวเอา”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น พ่อบ้านชราก็รีบก้าวถอยหลัง พยักหน้าและโค้งคำนับสุดตัว เดินถอยออกไปหลายก้าวจากฉู่อวิ๋นและขอโทษซ้ำๆ “ใช่ๆ! เป็ความผิดของข้าน้อยเอง ท่านอาจารย์ทั้งสองเชิญด้านในเถอะ”
ในขณะเดียวกัน ทุกคนที่เฝ้าดูอยู่หน้าประตูก็ตกตะลึงอย่างไม่อยากเชื่อ
ทั้งๆ ที่สองคนนั้นแต่งตัวเก่าค่อนข้างโทรม แต่กลับสามารถเข้าไปในเรือนกลิ่นกำจรได้ พวกเขาตาฝาดไปแล้วหรือ?”
“ตาเฒ่าอารมณ์ร้ายกับเ้าหนุ่มลึกลับนั่น พวกเขาเป็ใครกัน?” มีคนถามขึ้นมา
“ชู่! หุบปาก! อย่าเอ็ดไป ห้ามไปทำให้สองคนนี้ขุ่นเคือง!”
“เ้านี่มันสุนัขโง่จริงๆ ไม่รู้หรือว่าพวกเขาเป็คนจากตระกูลฝึกฝนทางิญญา? เ้าคนไม่รู้ความ โชคดีที่พวกเขาไม่สนใจ มิฉะนั้น หากแค่ปรายตามองมา พวกเ้าก็คงะเิตายตรงนั้นได้เลยทีเดียว”
ชายร่างกำยำเอ่ยเตือนอย่างดุดัน ทำให้ทุกคนรู้สึกหวาดกลัวและเงียบไปทันที
“เอ๊ะ? นั่นมันซิวหลัวหน้าผีไม่ใช่หรือ? เขามาจากตระกูลฝึกฝนทางิญญาหรือ?!”
“ถึงว่าเขาถึงสามารถข้ามสี่ระดับ แถมยังชนะการประชันห้าัได้มากกว่าสิบสองรอบ ยอดเยี่ยมยิ่งนัก!”
บางคนที่มักจะแวะไปลานประลองยุทธ์อยู่บ่อยครั้ง คราแรกที่จำซิวหลัวหน้าผีได้ก็หลุดอุทานออกมาอย่างประหลาดใจ
“ซิวหลัวหน้าผีมีอะไรดีกัน? เมื่อวานนี้มีคนป่าที่ชื่ออวิ๋นชูปรากฏตัวในลานประลอง ทั้งยังเฉียบแหลมยิ่งนัก!”
“พี่ชายท่านนี้พูดถูกแล้ว ตอนนี้หลายคนในเมืองกำลังถามหาเกี่ยวกับชายหนุ่มคนนี้อยู่ แต่พอเขาได้รางวัลจากการประชันห้าัก็หายจ๋อมไปจากโลกใบนี้! ไม่เคยปรากฏตัวอีกเลย”
“เฮ้อ คุณหนูตระกูลเสวี่ยคงเป็ทุกข์ไม่น้อย ข้าได้ยินมาว่าจวนตระกูลเสวี่ยกำลังหาทางให้นางได้แต่งงานกับเด็กหนุ่มผู้มีความสามารถคนนี้ แต่น่าเสียดายที่ดูเหมือนว่าจะล่ม เพราะต่อให้ค้นหาไปทั่วทั้งเมืองก็ยังไม่พบอวิ๋นชูคนนั้น”
ทุกคนต่างก็วิพากษ์วิจารณ์ ข่าวคราวแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว
บางคนก็คิดว่า “อวิ๋นชู” ออกจากเมืองชุยเสวี่ยไปแล้ว
บางคนก็รู้สึกว่า “อวิ๋นชู” คงได้รับเลือกให้เป็ศิษย์โดยตรงของเ้าสำนักบางแห่ง
ที่เลวร้ายกว่านั้นคือบางคนก็คาดเดาว่าเขาฉลาดเกินไป[1] จึงถูกลอบสังหาร
ในความเป็จริง ไม่มีใครรู้ว่าอัจฉริยะที่พวกเขากำลังพูดถึงเพิ่งเดินผ่านหน้าพวกเขาไป
คนที่องอาจเปิดเผย คนที่เฉยเมยแข็งกร้าวคนนั้นแล
ไม่นาน ฉู่อวิ๋นก็เดินตามหลิงจื้อไปจนสุดทาง เขาเข้าไปภายในเรือนกลิ่นกำจรเป็ครั้งแรก เห็นได้ชัดว่านี่คือการปฏิบัติต่อแขกผู้สูงศักดิ์
ฉู่อวิ๋นอาศัยการเหนี่ยวนำของพลังิญญา หลับตาและเพ่งความสนใจไปที่ลานบ้านราวกับนกอินทรี พบว่าทั่วทั้งลานได้รับการป้องกันอย่างแ่าจริงๆ และดูเหมือนว่าจะมีไฟิญญาหลายกลุ่มส่องแสงอยู่ในความว่างเปล่า
สิ่งเหล่านี้เป็พลังงานชีวิตอันทรงพลังที่ปรมาจารย์ยุทธ์ปล่อยออกมา ยิ่งไฟสว่าง ความแข็งแกร่งก็ยิ่งมาก
แต่หลังจากสอดแนมไปสักพัก ฉู่อวิ๋นก็ไม่กล้าทำต่อไปอีก
เพราะยิ่งเข้าไปข้างในก็ยิ่งมีกลุ่มแสงเล็กๆ มากขึ้น นี่พิสูจน์ได้ว่ามีผู้แข็งแกร่งมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ไม่น้อย กลุ่มแสงบางกลุ่มก็เหมือนเตาหลอมขนาดใหญ่ที่ลุกไหม้โชติ่ เพียงสังเกตจากระยะไกลก็จะรู้สึกได้ถึงจิติญญาที่คล้ายจะถูกเผา
“เ้าจิ้งจอกเฒ่าตัวนี้ใจถึงนัก มีผู้แข็งแกร่งมากมายคอยช่วยเหลือเขาถึงเพียงนี้ ผนังทองแดงกำแพงเหล็ก[2] จะบุกทะลวงออกไปก็ใช่ว่าจะทำได้”
ฉู่อวิ๋นลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก แม้ว่าฉู่ซินเหยาจะถูกขังเอาไว้ แต่ด้วยการป้องกันที่แข็งแกร่งเช่นนี้ นางจึงไม่ถูกคุณชายพวกนั้นคุกคาม
ในที่สุด ภายใต้การนำทางของพ่อบ้าน ทั้งสองก็มาถึงห้องโถงอันงดงาม
การตกแต่งที่นี่มีเอกลักษณ์อันวิจิตร แม้แต่แจกันที่ใช้ตกแต่งยังได้รับการออกแบบโดยช่างฝีมือชื่อดัง มูลค่ามหาศาล แน่นอนว่า นี่คือสถานที่ที่ฉู่เจิ้นหนานใช้พบปะแขกคนสำคัญ
ทั้งสองคนรอไม่นาน ผู้นำตระกูลฉู่เชื้อสายไป่หยางที่มีใบหน้าเคร่งขรึมก็เดินออกจากห้องโถงด้านหลังมาด้วยรอยยิ้มและจิตใจที่เบิกบาน
“ฉู่เจิ้นหนาน!”
ในขณะนี้ ฉู่อวิ๋นในฐานะซิวหลัวหน้าผีก็ได้พบกับฉู่เจิ้นหนานตรงหน้า ฉู่อวิ๋นโกรธมาก ลมหายใจของเขาแรงขึ้น เริ่มกำหมัดแน่นอย่างเงียบๆ จนกระทั่งปลายนิ้วซีดเป็สีขาว
ฉู่อวิ๋นไม่ลืมว่านี่คือศัตรูตัวฉกาจของเขา!
ในการชุมนุมเสือัครั้งล่าสุด ฉู่อวิ๋นเป็ห่วงความปลอดภัยของฉู่ซินเหยาไม่น้อย จึงเพ่งความสนใจทั้งหมดไปที่นาง ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สนใจเ้าจิ้งจอกเฒ่านี่มากนัก
แต่ในยามนี้เมื่อได้เผชิญหน้ากัน ในที่สุด ความขุ่นเคืองในใจของเขาก็ถูกปลุกเร้าอย่างเต็มที่!
ในขณะนี้ ฉู่เจิ้นหนานยิ้มและพูดคุยกับหลิงจื้ออีกสองสามคำ ก่อนจะเหลือบมาสังเกตเห็นเด็กชายหน้ากากผีในห้องโถง
“นี่คงเป็ทายาทของตระกูลหลิง สมญานามซิวหลัวหน้าผี คุณชายหลิงกระมัง?” ฉู่เจิ้นหนานเดินเข้ามาถาม
“ขอรับ” ฉู่อวิ๋นเปลี่ยนเสียง พยักหน้าเล็กน้อย แต่เขายังคงไม่อาจซ่อนความเกลียดชังอันรุนแรงได้ ดวงตาจึงเผลอแข็งกร้าวขึ้นมา
เมื่อเห็นเช่นนั้น ฉู่เจิ้นหนานก็ขมวดคิ้ว ทำไมเขาถึงรู้สึกได้ว่าชายหนุ่มตรงหน้าดูเหมือนจะไม่ชอบหน้าเขานัก? ทั้งที่เป็ครั้งแรกที่ได้พบกัน
และยังรู้สึกคุ้นเคยอยู่ไม่น้อย
“อาจารย์หลิง ตระกูลท่านรุ่นนี้น่าประทับใจจริงๆ สายตาดียิ่ง” ดวงตาของฉู่เจิ้นหนานเป็ประกาย เขาหรี่ตาและยกยิ้ม
“ฮะๆ ตระกูลเราให้ความสำคัญกับการฝึกฝนความแข็งแกร่ง ย่อมต้องปลูกฝังกลิ่นอายสังหารให้ศิษย์ของเราั้แ่อายุยังน้อย มิเช่นนั้นยามพวกเขาออกท่องยุทธภพจะถูกรังแกเอาได้ง่ายๆ”
หลิงจื้อตอบสนองอย่างไร้ที่ติ ขณะเดียวกันก็แอบขยิบตาให้ฉู่อวิ๋นเพื่อบอกเขาว่าอย่าผลีผลาม
ฉู่อวิ๋นหายใจเข้าลึกๆ เตือนตัวเองให้สงบสติอารมณ์ ระงับความเกลียดชังที่เพิ่มขึ้นไม่หยุด แล้วพูดอย่างเมินเฉย “คารวะผู้นำตระกูลฉู่”
หลังจากพูดจบ ฉู่อวิ๋นก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาไม่อย่ากพูดอะไรกับจิ้งจอกเฒ่าอีก
“ดียิ่ง พละกำลังดี” ฉู่เจิ้นหนานยิ้ม แต่มีแสงเย็นเฉียบในดวงตา
ทันใดนั้น เขาก็แสร้งทำเป็หันกลับมาราวกับ้าคุยกับผู้เฒ่าหลิงต่อ
แต่ทันใดนั้นเอง!
ดวงตาของฉู่เจิ้นหนานก็เป็ประกาย เขาหันกลับมาอีกครั้ง เหยียดนิ้วกรงเล็บออก แล้วตะปบลงบนไหล่ของฉู่อวิ๋น!
ทว่าฉู่อวิ๋นกลับกัดฟันแน่นและไม่ขยับ
เขารู้ นี่คือการทดสอบ!
มองเห็นว่ากรงเล็บนั้นเร็วปานสายฟ้า แต่ก่อนที่จะได้ออกแรงสวน พลังของเขาก็ลดลงอย่างมาก และค่อยๆ ลดระดับลง ก่อนจะตกลงบนไหล่ของฉู่อวิ๋น
“ไม่เลวๆ หลานชาย ร่างกายของเ้าแข็งแกร่งดีนะ” ฉู่เจิ้นหนานหรี่ตาลงเล็กน้อย บีบไหล่ของฉู่อวิ๋นแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“แม้ว่าตระกูลของเราจะเป็ตระกูลฝึกฝนทางิญญา แต่ก็ไม่ล้าหลังในการฝึกฝนพลังยุทธ์” เมื่อเห็นสิ่งนี้ หลิงจื้อจึงรีบอธิบาย แต่น้ำเสียงของเขายังคงสงบเพราะกลัวว่าจะถูกจับได้
“อ้อ? จริงหรือ?” ฉู่เจิ้นหนานหันหน้าไปมองหลิงจื้อ จากนั้นดวงตาของเขาก็สว่างวาบ มองตรงไปที่ฉู่อวิ๋นแล้วเอ่ยว่า “หลานชาย คิดว่าการฝึกฝนทางิญญาของเ้าก็คงดีด้วยไม่น้อยเช่นกัน ใช่หรือไม่?”
พูดจบ ยังไม่ทันให้ฉู่อวิ๋นได้ตอบสนอง จิ้งจอกเฒ่าก็จ้องเขม็ง ปลดปล่อยแรงกดดันทางจิตใจของนักรบขั้นมหาสมุทรระดับสูงออกมา ปกคลุมฉู่อวิ๋นไว้อย่างสมบูรณ์
อาจกล่าวได้ แรงกดดันเช่นนี้ แม้แต่ขั้นมหาสมุทรระดับกลางระดับกลางก็อาจทนต่อแรงกดดันนี้ไม่ได้ ล้วนต้องคุกเข่าลงทั้งสิ้น!
แต่ฉู่อวิ๋นกลับไม่ได้ถูกปราม!
“ผู้าุโของตระกูลสอนมาอย่างดี แน่นอนว่าเมื่อพูดถึงการฝึกฝนทางิญญา ข้าย่อมไม่กล้าหย่อนยาน!” ฉู่อวิ๋นเยาะหยัน จ้องมองที่ฉู่เจิ้นหนานที่อยู่ใกล้ ๆ จากนั้นดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง มีแสงศักดิ์สิทธิ์เปล่งประกายออกมา!
“ตูม!”
คลื่นพลังศักดิ์สิทธิ์ปะทุขึ้นในความว่างเปล่า มีลักษณะเป็คลื่นเล็กๆ แม้ว่าพลังจะไม่มากนัก แต่ก็ยังทำให้เกิดลมหนาทึบและสร้างมวลอากาศหนาวเย็นในห้องโถงได้ ราวกับว่ามีกระบี่หิมะกำลังปะทะกันอยู่
และเห็นได้ชัดว่าฉู่เจิ้นหนานก็ไม่คิดว่าการฝึกฝนทางิญญาของ “ซิวหลัวหน้าผี” คนนี้ จะแข็งแกร่งได้ปานนี้!
เขาไม่ทันระวังและถูกกระแทกห่างออกไปครึ่งก้าว รู้สึกอับอายเล็กน้อย สีหน้าเริ่มบูดบึ้ง
“เด็กคนนี้ ในแง่ของการฝึกฝนทางิญญานั้นสูงกว่าข้าจริงๆ!” ฉู่เจิ้นหนานรู้สึกประหลาดใจ ทว่าความสงสัยของเขาในตัวฉู่อวิ๋นก็ถูกขจัดออกไปในทันที
เมื่อเห็นเช่นนั้น ดวงตาของหลิงจื้อก็สั่นไหว เขาสาวเท้าไปสองสามก้าว ยืนอยู่ตรงหน้าฉู่อวิ๋นและพูดขึ้นมาว่า “ฉู่เจิ้นหนาน! เ้าหมายความว่าอย่างไร? พยายามกดดันจิตใจผู้น้อยตระกูลข้าหรือ?”
ทันทีที่พูดจบ ดวงตาของชายชราก็ฉายแววเย็นเยียบ เขาะเิพลังอันเป็เอกลักษณ์ของนักพรติญญาออกมา!
“วิ้ง——”
เสียงศักดิ์สิทธิ์ดังขึ้น อากาศในห้องโถงเย็นยะเยียบ แผ่นดินใต้ฝ่าเท้าสั่นไหว บ้านเรือนสั่นะเื เสียงดังกึกก้อง มีร่องรอยของพลังงานศักดิ์สิทธิ์ลวงตาแผ่ออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด!
“เพล้งๆๆ!”
ทันใดนั้น แจกันอันงดงามเ่าั้ก็แตกกระจาย ทั่วทั้งห้องตกอยู่ในความวุ่นวาย!
ในเวลานี้ ฉู่เจิ้นหนานก็รู้สึกแย่ขึ้นมาเมื่อเห็นปรากฏการณ์ตรงหน้า รู้ได้ในทันทีว่าครั้งนี้เขาอาจจะหาเื่ผิดคน
เขายิ้มออกมาอีกครั้ง หรี่ตาลงแล้วพูดว่า “อ๊ะๆ ท่านผู้เฒ่าหลิงใจเย็นลงก่อน เมื่อครู่นี้ข้าเพียงเห็นว่าคุณชายหลิงนั้นไม่ธรรมดา จึงอยากจะทดสอบเขาสักหน่อย ไม่คิดจะทำให้ขุ่นเคืองใจแต่อย่างใด หวังว่าพวกท่านจะให้อภัย”
เมื่อได้ยินดังนั้น หลิงจื้อก็ส่งเสียงหึอย่างเ็า จากนั้นก็แสร้งทำเป็วางโตสูงส่ง ให้ฉู่เจิ้นหนานพูดสองสามคำ จึงช่วยบรรเทาสถานการณ์ที่น่าอับอายได้
“สมกับเป็จิ้งจอกเฒ่าจริงๆ! ถ้าข้าไม่บังเอิญได้รับเครื่องหมายิญญามาแล้ว วันนี้คงถูกเขาจับไต๋ได้ไปแล้ว”
ฉู่อวิ๋นลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ดูเหมือนว่ายามที่ปรากฏตัวอยู่ในเรือนกลิ่นกำจร เขาต้องระวังตัวให้มากกว่านี้ ต้องใส่ใจกับทุกการกระทำ มิเช่นนั้นจะเกิดช่องโหว่ให้คนอื่นสงสัย จนยากจะรับมือ
หลังจากเหตุการณ์เล็กน้อยนี้จบลง ผู้เฒ่าหลิงก็เริ่มพูดคุยกับฉู่เจิ้นหนานเื่การแต่งงาน
ฉู่เจิ้นหนานยังอนุญาตให้ฉู่อวินไปพบกับฉู่ซินเหยาได้ และเขาก็กำลังรอให้สาวใช้พาไปที่นั่น
แต่ในห้วงเวลารอคอยนี้ ก็มีเสียงน่าครั่นคร้ามของบุรุษเพศดังมาจากประตู
“ผู้ฝึกฝนอันศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลหลิงนั้น สมคำร่ำลือจริงๆ แรงกดดันเมื่อครู่นี้ ไม่เลวๆ”
หลังจากได้ยินดังนั้น ฉู่อวิ๋นก็หันไปมอง เห็นชายคนนั้นสวมเสื้อคลุมหรูหรา ตัวสูง แลดูทรงพลัง สวมมงกุฎสูงอยู่บนศีรษะ ผนวกด้วยใบหน้าที่เย่อหยิ่ง นอกจากจะดูมีเกียรติอันสูงส่งแล้ว เขายังดูแข็งแกร่งอีกด้วย
ขณะที่เขาเคลื่อนไหว ฟ้าดินก็คำราม นี่เป็พลังที่ไม่มีใครเทียบได้ ย่อมเป็ผู้แข็งแกร่งอย่างแน่นอน!
ยิ่งไปกว่านั้น ที่ด้านหลังเสื้อคลุมของชายผู้นี้มีสัญลักษณ์ของตระกูลฉู่อยู่ เป็รูปของเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ปริวรรต[3]
นี่คือเชื้อสายหลักของตระกูลฉู่
----------
[1] หมายความว่า มีการเปิดเผยพลังและความสามารถทั้งหมดออกมา จนเป็ที่รู้จักอย่างกว้างขวาง
[2] มีความสมัครสมานสามัคคี
[3] หมุนเวียน