สิบวันต่อมา
ดวงจันทร์สุกสกาวสว่างไสวในขณะเดียวกันก็มีดวงดาวกระจัดกระจายเต็มท้องฟ้าแสงจันทร์สาดส่องลงบนพื้นที่ขาวโพลนไปด้วยหิมะข้าอยู่ที่สำนักหมื่นิญญามาเป็เวลาสามเดือนโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวและตอนนี้ก็เริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว
กลุ่มพลังมหาศาลปรากฏขึ้นมาบนร่างของข้าพร้อมกับเสียงคำรามของั
พลังระเหยออกมากลายเป็ทะเลทรายขึ้นรอบๆตัว เส้นลายพลังัิญญาบนทะเลทรายก็เหลือเพียงอันสุดท้ายแล้วข้าจึงขัดเกลาและผสานมันต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่หยุดหย่อน จากนั้นจึงค่อยๆรู้สึกเจ็บแปลบเล็กน้อยอีกอย่างปราณิญญาภายในร่างก็แทบจะรับไม่ไหวกับพลังิญญาอันทรงพลังนี้แล้วมันปวดแสบปวดร้อนไปหมด
แต่ข้าก็ยังไม่หยุดข้ากัดฟันอดทนขัดเกลาเส้นลายพลังัิญญาต่อไปและในที่สุดกลุ่มพลังเส้นลายพลังัิญญาทั้งสองที่ใช้เวลาหลอมรวมเกือบครึ่งชั่วโมงก็ผสานรวมกันเป็หนึ่งได้สักที!
ตูม!
พลังที่แปลกใหม่ถูกปล่อยออกมาทันทีทะเลทรายหมื่นลี้เกาะกลุ่มเข้าด้วยกันอย่างน่ามหัศจรรย์นอกจากนี้ยังมีเทพัที่น่าเกรงขามเลื้อยออกมาจากไหล่ของข้าจากนั้นก็ขดตัวอยู่รอบๆ ตัวอย่างรวดเร็ว พลังนี้ช่างแข็งแกร่ง เก่าแก่และทรงพลังมาก ซึ่งแตกต่างกับพลังของวิชาลมหายใจขั้นสิบโดยสิ้นเชิงส่วนพลังิญญาภายในร่างกาย จู่ๆ ก็รู้สึกคึกคักขึ้นมาทันทีและยิ่งข้าปล่อยพลังออกไปมากเท่าไรมันก็ยิ่งแกร่งขึ้นมากเท่านั้น!”
ัทะเลทรายเหนือแต่เดิมนั้นเป็กระบวนการขัดเกลาพลังิญญาของตัวเอง เมื่อทำสำเร็จแล้วพลังิญญาก็จะบริสุทธิ์และแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้นและตอนนี้ข้าก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าพลังของตัวเองไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว!
ในขณะเดียวกันทั่วทั้งร่างของข้าก็มีลางสังหรณ์ว่าจะสามารถบรรลุได้อีกด้วย
แต่ก็เป็เพียงลางสังหรณ์เท่านั้นสิบนาทีต่อมา ข้าก็ยังคงอยู่ในการบำเพ็ญผู้พิทักษ์ระดับมนุษย์่แรกเหมือนเดิมในทางกลับกันก็มีพลังอยู่ภายในร่างอย่างล้นเหลือซึ่งอาจจะต้องถูกกระตุ้นเล็กน้อยเพื่อให้สามารถเข้าสู่การบำเพ็ญ่กลางก็เป็ได้
ข้าขมวดคิ้วขึ้นไม่เหมือนกับที่คิดไว้เลย เพราะตอนแรกข้าก็คิดว่าข้าจะบรรลุได้แล้วเสียอีกทว่าข้ากลับทำไม่ได้ สาเหตุนั้นคงเป็เพราะปราณิญญานี่เอง
ถึงแม้ว่าปราณิญญาของันวทมิฬจะมีคุณภาพดีแต่จะเทียบกับปราณิญญาระดับพิภพได้อย่างไรล่ะ?
ซูเหยียนถังเชวียหราน และลั่วเหยียนคนพวกนี้ล้วนมีปราณิญญาระดับพิภพไว้อยู่ในตัวถึงแม้ว่าจะมีคุณภาพปานกลางหรือต่ำ ทว่าถึงอย่างไรพลังการควบคุมและความสอดคล้องสัมพันธ์กับร่างกายต่างก็อยู่เหนือกว่าปราณิญญาเป็ไหนๆแม้ว่าข้าจะได้รับปราณิญญามาแล้ว แต่ข้าก็ยังหนีไม่พ้นสิ่งที่เขาเรียกกันว่า‘ของไร้ประโยชน์’ อยู่ดี อีกอย่างเมื่อข้ายิ่งฝึกต่อไปเรื่อยๆภายในวันข้างหน้าปราณิญญานี้ก็จะยิ่งจำกัดขอบเขตการบำเพ็ญของข้าไปอีกนี่จึงเป็หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ระดับความแข็งแกร่งในปัจจุบันของข้าห่างไกลกับซูเหยียนและถังเชวียหรานนั่นเอง
การบำเพ็ญระดับิญญาทั้งสี่นั้นจำเป็ต้องมีพลังที่แข็งแกร่งอย่างมากเพราะเงื่อนไขในการฝึกฝนจะสูงขึ้นตามระดับส่วนพลังของปราณิญญาก็มีเพียงสามสิบเปอร์เซ็นต์ถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์ของปราณิญญาระดับพิภพเท่านั้นซึ่งหมายความว่าข้าจะต้องพยายามให้มากกว่านี้ถึงจะไล่ตามพวกนางได้ทัน
ข้าสูดลมหายใจเข้าลึกแววตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นจากนั้นก็เงยหน้ามองไปยังพระจันทร์ที่สุกสกาวบนฟ้าพลางพูดกับตัวเองว่า“ถ้าต้องพยายามสองเท่า ข้าก็จะพยายามสองเท่า หรือต่อให้เพิ่มเป็สามเท่าข้าก็จะไม่มีวันยอมแพ้!”
หลังจากกัดโสมโลหิตไปคำหนึ่งพลังภายในร่างก็พรั่งพรูออกมาอย่างรวดเร็ว ข้าจึงเริ่มฝึกวิชาลมหายใจัอีกครั้งและในที่สุดข้าก็บรรลุขั้นที่สิบเอ็ดคือัทะเลทรายเหนือได้สำเร็จแต่ข้าก็ไม่รอช้าจึงรีบฝึกขั้นที่สิบสองอย่าง “พลังัเยือนพิภพ” ทันที
...
ชั่วเวลาพริบตาเดียวเวลาก็ล่วงเลยมาถึงเช้าแล้วข้าลืมตาตื่นขึ้นมาจากการเข้าฌานฝึกวิชาลมหายใจัอันยาวนานดูเหมือนว่าข้าจะััได้ถึงพลังัเยือนพิภพเล็กน้อยส่วนภายในร่างกายก็ราวกับมีเมล็ดพันธุ์พืชฝังไว้และมันก็กำลังรอที่จะเจริญงอกงามออกดอกออกผลอยู่อีกด้วย ถ้าเปรียบเทียบกันก็จะเห็นได้ว่าพลังของพลังัเยือนพิภพนั้นลึกซึ้งกว่าัทะเลทรายเหนือมากฉะนั้นถ้าอยากจะบรรลุได้ในเวลาอันสั้น เห็นทีคงจะเป็ไปไม่ได้แล้วล่ะอีกอย่างในจดหมายของท่านพี่ก็เขียนบอกไว้อย่างชัดเจนว่าแม้แต่นางที่มีพลังมหาศาลขนาดนั้นยังต้องใช้เวลาเกือบทั้งเดือนถึงจะบรรลุพลังัเยือนพิภพได้ดังนั้นข้าจึงไม่ต้องรีบร้อน ใจเย็นไว้ๆบางทีอาจจะบรรลุวิชาที่ยอดเยี่ยมและไร้เทียมทานก็ได้!
ลั่วเหยียนอายุมากกว่าข้าแค่สองปีแต่กลับฝึกวิชาลมหายใจัไปถึงขั้นที่สิบสามอย่างพลังามัจฉาัได้แล้วเขาจึงมีพละกำลังมหาศาล ซึ่งใช้เพียงหมัดเดียวก็สามารถทำให้ข้าปลิวไปได้อย่างสบายๆวิชาลมหายใจันั้นเป็วิชาพื้นฐานที่จำเป็ต้องเรียนเพราะฉะนั้นข้าจึงมิอาจละเลยได้ ดูจากครั้งที่แล้วข้ามีโอกาสประจันหน้ากับเขาพลังของลั่วเหยียนนั้นมีมากกว่าข้าเกือบหกเท่า ส่วนเคล็ดวิชาการต่อสู้การผสานหกวิชารวมเป็หนึ่งของข้านั้นสามารถเพิ่มพลังิญญาได้แค่สามสิบเปอร์เซ็นต์บวกกับเพลงกระบี่ดินแดนหิมะก็แล้วแต่พลังของมันก็ยังด้อยกว่าเคล็ดวิชากระบี่เทพอีกมากซึ่งนั่นก็แปลว่าข้าจะต้องมีพลังเพิ่มขึ้นกว่าหนึ่งเท่าถึงจะมีโอกาสชนะลั่วเหยียนได้และการบำเพ็ญผู้พิทักษ์ระดับมนุษย์นั้น ในทุกๆครั้งที่เลื่อนระดับพลังของมันก็จะเพิ่มขึ้นประมาณสามสิบเปอร์เซ็นต์ฉะนั้น...ถ้าข้าอยากจะเอาชนะลั่วเหยียนให้ได้ละก็อย่างน้อยข้าก็ต้องเข้าสู่การบำเพ็ญผู้พิทักษ์ระดับมนุษย์ขั้นสูงสุดให้ได้หรืออาจจะต้องบำเพ็ญถึงผู้พิทักษ์ระดับพิภพ่แรกถึงจะเป็ไปได้อีกอย่างตอนนี้ลั่วเหยียนก็ยังไม่ได้เลื่อนขั้นด้วย
ทว่าอัจฉริยะไม่ว่าอย่างไรก็คืออัจฉริยะเพราะอัจฉริยะที่แท้จริงมักจะมีการพัฒนาในทุกๆ วันฉะนั้นลั่วเหยียนคงไม่มีทางหยุดรอให้ข้าตามทันได้หรอก
พอคิดถึงตรงนี้ข้าก็หัวเราะอย่างขมขื่นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ไม่ว่าอัจฉริยะคนไหนก็ตามทุกคนต่างก็ถูกหล่อหลอมมาด้วยสติปัญญาและหยาดเหงื่อกันทั้งนั้นและศิษย์ของสำนักหมื่นิญญาก็คิดว่าข้าคืออัจฉริยะอันดับหนึ่งท่ามกลางหมู่เด็กใหม่แต่ใครจะรู้ว่าข้านั้นต้องอดทนอดหลับอดนอนเพื่อฝึกพลังมาแล้วกี่ครั้งเหมือนกับเมื่อวานที่ข้าเพิ่งเข้าฌานฝึกพลังไป ซึ่งข้าไม่เหมือนกับพวกเขาหรอกผู้ชายในสำนักหยุนต้ง สำนักสีเลี้ยน ทั้งสองสำนักใหญ่ชั้นในต่างก็มีแฟนกันหมดแล้วทว่าข้านั้น...ได้แต่เอาเวลาไปทุ่มเทกับการฝึกจนหมดดังนั้นจึงไม่มีเวลาไปหาแฟนหรอก
ที่สำคัญถ้าข้าจะหาแฟนเกรงว่าซูเหยียนคงจะเป็คนแรกที่ข้าจะเลือก แต่ถ้าข้าขอนางเป็แฟนจริงๆแน่นอนว่าข้าจะต้องสูญเสียอะไรไปมากเลยทีเดียวยิ่งไม่ต้องพูดถึงเื่ที่ลั่วเหยียนจะมาก่อกวนเลยพูดถึงเื่ที่พ่อของซูเหยียนจะไม่พอใจก่อนดีกว่า เพราะเขาคงจะส่งท่านลุงหลงมาสั่งสอนข้าแน่ๆพอถึงตอนนั้นข้าคงจะถูกฟาดอย่างหนักเป็แน่
พอคิดถึงตรงนี้ข้าก็หัวเราะเยาะตัวเองออกมาอย่างอดไม่ได้และทันใดนั้นเองเสียงระฆังเข้าเรียนก็ดังขึ้น ข้าต้องไปเเรียนแล้ว
...
ข้ารีบอาบน้ำและหาอะไรยัดเข้าปากกิน จากนั้นจึงวิ่งตรงไปที่ห้องเรียนของสำนักจวี๋ฉีห้องสองอย่างรวดเร็ว
่เช้าเป็วิชาการเข้าถึงดินแดนหลงหลิงของอาจารย์หลันเท้อที่จะมาถ่ายทอดวิชาด้วยตนเองเขาสวมเสื้อคลุมยาวของนักรบิญญาซึ่งดูมีวิชาความรู้และสง่างามมากอีกอย่างผมที่ถูกตัดจนสั้นเผยให้เห็นถึงแววตาที่มีชีวิตชีวาและอบอุ่นของเขาได้อย่างชัดเจนพอแสงแดดยามเช้าสาดส่องลงมาที่ตัวเขา ก็ทำให้รู้สึกราวกับมีเทพบุตรจุติลงมาทันที
“ต้นกำเนิดของพลังิญญานั้นมาจากเจ็ดเทพิญญาซึ่งเจ็ดเทพิญญาได้ช่วยกันหล่อหลอมวิหารเจ็ดเทพิญญานี้ขึ้นมาจนกลายเป็ที่นี่ในปัจจุบัน”
“แต่ไม่ใช่ว่าจู่ๆ ก็จะกลายเป็แผ่นดินใหญ่หลงหลิงเช่นนี้มาเลยนะเพราะก่อนที่จะสร้างกำแพงแห่งชีวิตแผ่นดินใหญ่หลงหลิงได้ผ่านยุคสมัยแห่งการทำามามากมายผ่านการแบ่งเผ่าพันธุ์ใหม่ ผ่านการจัดระเบียบใหม่พวกเราถูกชำระล้างจากสายเืทางเหนือ ถูกรุกรานจากชนเผ่าแห่งความมืดในป่าลึกอีกทั้งยังเคยประสบกับาชาติพันธุ์มานานถึงเก้าร้อยกว่าปีอีกด้วย”
“ย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งพันปีก่อน ภายในกำแพงแห่งชีวิตถูกแบ่งออกเป็สองกลุ่มกลุ่มแรกชื่อว่า ‘หยุน’ อีกกลุ่มชื่อว่า ‘ฮั่น’และเมื่อเท้าความย้อนหลังไปถึงทั้งสองกลุ่มนี้ในสมัยก่อนก็จะรู้ว่าเมืองหยุนนั้นจะเป็ฝ่ายแสวงหาพลังแห่งลายสัก ส่วนเมืองฮั่นจะแสวงหาพลังิญญาดังนั้นทั้งสองเมืองจึงเกิดการแตกแยกกันจนสุดท้ายกลายเป็าตัดสินแพ้ชนะขึ้นเมื่อหนึ่งพันปีก่อนเมืองหยุนถูกทำลายจนราบคาบ ประชากรถูกฆ่าตายจนเหลือไม่ถึงสามสิบเปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำด้วยเหตุนี้ทั้งหมดจึงอพยพย้ายถิ่นฐานไปยังที่รกร้างทางทิศเหนือไม่รู้ว่าเป็หรือตาย ส่วนเมืองฮั่นก็ได้เข้ายึดพื้นที่ในกำแพงแห่งชีวิตไว้จนผ่านยุคของเจ็ดจักรพรรดิไป และในที่่สุดทุกอย่างก็กลับมาสู่ความสงบสุขเหมือนเดิมแล้วต่อจากนั้นจึงได้สถาปนาสหพันธ์หลงหลิงที่เห็นในปัจจุบันนี้ขึ้นมา”
“เพราะเหตุนี้ท่านผู้นำซูซิงเหอของสหพันธ์หลงหลิงยุคแรกจึงยังนำเอาธงของเมืองฮั่นมาใช้อยู่เหมือนเดิมซึ่งก็คือ ‘ธงต้าฮั่น’ ที่พวกเราเห็นกันในปัจจุบันนี้นั่นเอง และถ้ามองย้อนกลับไปอย่างไรศิษย์ที่นั่งอยู่ที่นี่ทุกคนล้วนเป็ลูกหลานของเมืองฮั่น ซึ่งในอดีตรู้จักกันในชื่อว่า‘คนรุ่นหลังแห่งสายเืต้าฮั่น’ สุดท้ายแล้วในสนามรบที่มีแต่ความเป็ความตายนั้นบรรพบุรุษของพวกเราก็เป็ผู้ชนะได้ในที่สุด”
หลันเท้อถือตำราไว้พร้อมกับอธิบายเล่าเื่เกี่ยวกับประวัติความเป็มาและการพัฒนาของพลังิญญาอย่างละเอียด
ข้าหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นแต่สนามฝึกซ้อมที่โล่งหมดจดจะมีก็แต่ธงต้าฮั่นซึ่งเป็ธงประจำเมืองของสหพันธ์หลงหลิงพัดปลิวไสวอยู่ผืนธงนั้นมีสีแดง ้าปักลายสักหยุนสีทอง มันช่างสง่างามและน่าเกรงขามยิ่งนัก
ซูเหยียนก็หันมามองข้าพร้อมกับถามเสียงเบา“คิดอะไรอยู่เหรอ?”
“คิดถึงบรรพบุรุษของพวกเราน่ะ พวกเขาคงจะองอาจห้าวหาญและชำนาญการรบมากแน่ๆถึงได้แย่งชิงพื้นที่ตรงนี้มาได้” ข้าพูดตอบ
“ฮ่าๆ!” นางหัวเราะแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร
ขณะนั้นจู่ๆข้าก็รู้สึกได้ว่ามีกลุ่มพลังลมปราณอันแข็งแกร่งกำลังย่างกรายใกล้เข้ามาตรงระเบียงทางเดินและทันใดนั้นเมื่อข้ามองผ่านหน้าต่างออกไปก็เห็นว่ามีกลุ่มคนซึ่งมีคลุมผ้าคลุมสีน้ำเงินเข้มกำลังเดินเข้ามาในห้องเรียนแต่ละคนมีพลังที่แข็งแกร่งมาก ทว่ากลับถูกบีบเก็บไว้ภายในร่างแต่ถึงอย่างไรก็ยังมีพลังเล็ดลอดออกมาอยู่ดี ซึ่งเป็พลังที่น่าทึ่งมากเลยทีเดียวอีกอย่างคนพวกนี้ส่วนใหญ่ล้วนบำเพ็ญไปได้ถึงผู้พิทักษ์ระดับพิภพแล้วและดูเหมือนว่าชายชราผมขาวตรงนั้นคงจะเป็คนที่มีพลังแกร่งกล้าน่ากลัวที่สุดอย่างน้อยๆ คงจะบำเพ็ญไปได้ถึงผู้พิทักษ์ระดับดาวแล้วแน่ๆ”
นักรบิญญาหลันเท้อตะลึงงันไปเล็กน้อยจากนั้นจึงเดินเข้าไปต้อนรับ พร้อมกับยิ้มแล้วพูดขึ้น“ผู้าุโผู้คุมกฎการจัดอันดับัพยัคฆ์ของวิหารศักดิ์สิทธิ์นี่เองมีเื่อะไรหรือเปล่าขอรับ?”
ชายชรายิ้มเล็กน้อย“เ้าคือหลันเท้อเหรอ ที่แท้เ้าก็มาสอนอยู่ที่นี่เอง”
“ท่านผู้าุโมาหาข้าอย่างนั้นหรือ?”
“เปล่า”
ชายชราส่ายหน้าพลางพูดตอบ“ข้ามาที่นี่เพื่อตามหาเ้าเด็กที่ได้อันดับหนึ่งในการประลองที่สนามเซินยวน...ที่ชื่อปู้อี้เชวียนน่ะเขาอยู่ไหนเหรอ?”
“ปู้อี้เชวียน มีคนมาหาเ้า” หลันเท้อพูดขึ้น
ข้าลุกขึ้นยืนด้วยความงุนงงเล็กน้อย“มีเื่อะไรหรือเปล่าขอรับ?”
ชายชราพูดด้วยสีหน้าท่าทางสุขุม“มานี่หน่อยสิ”
ข้าเดินออกไปข้างหน้าจากนั้นเขาก็หยิบเหรียญตราที่มีรอยแตกสีแดงออกมา มันดูบริสุทธิ์และมีค่ามากๆอีกทั้งด้านในยังมีพลังิญญาอ่อนๆ อยู่ด้วย“นี่คือของที่เราจัดทำขึ้นเป็พิเศษเพื่อมอบให้เ้า”
“นี่คือ?” ข้าได้แต่ประหลาดใจ
“คำเชิญการจัดอันดับัพยัคฆ์!”ชายชราแผ่พลังออกมาพร้อมกับจ้องมาที่ข้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม“นี่คือกฎของผู้ที่อยู่ในอันดับัพยัคฆ์ ทุกๆห้าปีจะมีคำเชิญจากการจัดอันดับัพยัคฆ์ซึ่งจะส่งเหรียญตราออกไปหนึ่งร้อยเหรียญให้แก่ผู้ที่มีฝีมือยอดเยี่ยมบนแผ่นดินนี้และนับจากนี้ไปอีกสามเดือนพวกเ้าจะต้องเดินทางไปที่ป่าร้างบูรพาทั้งหมดสามร้อยคนผู้ใดมีคะแนนอยู่ในยี่สิบอันดับแรกจะถือว่ามีคุณสมบัติพอที่จะเข้าสู่การจัดอันดับัพยัคฆ์ได้เ้ายินดีที่จะรับมันไว้ไหม?”
ข้าขมวดคิ้วขึ้นที่แท้ที่ลั่วเหยียนพูดถึงคำเชิญของป่าร้างบูรพาก็คืออันนี้นี่เอง!
ข้ายื่นมือไปรับเหรียญตราแล้วพูดตอบรับอย่างหนักแน่น“ข้ายินดีที่จะรับไว้แน่นอน”
ชายชรายิ้มร่าแล้วพูดต่อ“คุณหนูเสี่ยวเหยียนของพันธมิตรนักปราชญ์ขาวก็คงจะอยู่ที่นี่เหมือนกันสินะข้ายังมีคำเชิญจากการจัดอันดับัพยัคฆ์อยู่อีกหนึ่งอันและท่านก็ถูกจัดอันดับให้อยู่ในสามคนแรกของการประลองที่สนามเซินยวนจึงมีคุณสมบัติที่จะได้รับมันไปแต่ว่า...ท่านพ่อของเ้าได้มากล่าวทักทายเจรจากับข้าแล้วว่าไม่อยากให้เ้าไปดังนั้นคำเชิญการจัดอันดับัพยัคฆ์อันนี้ข้าขอเก็บคืนก็แล้วกัน!”
ซูเหยียนลุกพรวดแล้วถลึงตาใส่ทันที“ทำไมจะต้องเก็บคืนด้วย ข้าจะไป!”
“เ้าแน่ใจแล้วเหรอ?”
“แน่ใจสิ”
“ถ้าอย่างนั้นก็มารับไปเถอะ!”
ซูเหยียนเดินออกไปรับตราเชิญพร้อมกับกลิ่นหอมอ่อนๆจากตัวของนางที่โชยมา
นักรบิญญาหลันเท้อจึงขมวดคิ้วขึ้นทันทีแล้วพูดปราม“ท่านผู้าุโ เสนาบดีบอกว่าไม่ให้ซูเหยียนไปไม่ใช่เหรอ? ทำไมท่านถึง...เสนาบดีคงจะไม่โกรธใช่ไหม?”
ชายชราหัวเราะร่า“ที่วิหารศักดิ์สิทธิ์ของเรานั้นให้ความสำคัญกับการเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนผู้ที่มีพร์มาโดยตลอดส่วนเื่เสนาบดีซูซีเฉิงจะคิดอย่างไรนั้นก็ถือว่าเป็เื่ของเขาแล้วจะทำอย่างไรต่อไปก็เป็เื่ของข้าที่ต้องจัดการเองซูเหยียนน่ะมีปราณิญญาระดับ์มาั้แ่เกิดอีกทั้งยังมีสายเืของตระกูลซูจึงสามารถฝึกวิชาเมฆเพลิงัได้ผู้ที่มีพร์แบบนี้ถ้าไม่ได้ไปร่วมการต่อสู้ที่ป่าร้างบูรพาคงน่าเสียดายแย่ใช่ไหมล่ะ?”
หลันเท้อมองอย่างจนปัญญาแล้วพูดขึ้น“ถ้าอย่างนั้นก็ตามนี้แล้วกัน...”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้