“คุณชายอ๋าว เ้าฟื้นแล้วหรือ”
อ๋าวหรานในตอนนี้...แค่ได้ยินน้ำเสียงอันแปลกประหลาดของเ้าเด็กนี่ก็ปวดสมองแล้ว
“ตอนนี้ยามใดแล้ว? ข้าหลับไปนานเท่าไร”
ดวงตาเรียวยาวของจิ่งเซิ้งหรี่เข้าด้วยกัน เอื้อมมือไปกดาแบนบ่าของอ๋าวหราน าแที่เริ่มสมานกันดีแล้วจากการรักษาด้วยสมุนไพรก็ปริออกมาอีกครั้ง ผ้าพันแผลสีขาวมีรอยเืซึมออกมา อ๋าวหรานกัดฟันแน่น ทนไม่ร้องออกมา จิ่งเซิ้งเกลียดท่าทางแสนอดทนนี้แล้วยิ่งออกแรงมือมากกว่าเดิม “เ้านี่สงบนิ่งจริงๆ ข้าจะบอกเ้าให้เอาบุญ ตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่าเ้าอยู่ที่นี่ หากข้าจะฆ่าเ้าก็ทำได้อย่างง่ายดาย”
อ๋าวหรานทนต่อความเ็ป น้ำเสียงออกแนวปลง และสงบนิ่งอย่างแรงกล้า “เหตุใดเ้าต้องทำเื่ให้เปลืองแรง?”
เมื่อถูกน้ำเสียงปลงตกของอ๋าวหรานทำให้อึ้งไป จิ่งเซิ้งก็พูดติดขัดเล็กน้อย “อะ...อะไร ทำเื่เปลืองแรงอะไรกัน”
อ๋าวหรานสลัดมือเขาออกไป นอนลงบนเตียง ไม่มีหมอน เดิมคิดจะใช้แขนข้างที่ไม่เป็อะไรหนุนศีรษะ สุดท้ายเหมือนจะไม่มีแรงเกินไป พยายามอยู่นานก็ยังยกไม่ขึ้น ทำได้เพียงวางลงเหมือนเดิม
มองจิ่งเซิ้งไปทีหนึ่ง อ๋าวหรานถามอย่างเกียจคร้านว่า “ใครเป็คนใส่ยาให้ข้า?”
ถึงแม้จิ่งเซิ้งจะไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้วกมาที่เื่ยาได้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาเลิกวางท่าราวกับบิดามารดาผู้มอบชีวิตใหม่แก่เขาได้ “แน่นอนว่าเป็ข้า ข้าเป็ผู้ช่วย...” ชีวิตเ้า
อ๋าวหรานเกียจคร้านจะฟังเขาจนจบ รีบตัดบททันทีว่า “เ้าว่างมากนักหรือ? เดี๋ยวฆ่าข้า ช่วยข้า ฆ่าข้า ช่วยข้า มีเวลาว่างขนาดนี้ก็ไปช่วยพ่อเ้าบ้าง พ่อเ้ายุ่งจนหัวหมุนไปหมดเพื่องานประลองยุทธ์ครั้งนี้”
ยุ่งขนาดนี้ยังมีเวลาว่างส่งคนมาฆ่าเขา เขานี่กังวลไปทั่วเลยจริงๆ
จิ่งเซิ้งหลุดเสียงหัวเราะออกมา “มีพี่ใหญ่ข้าอยู่ด้วย ไม่จำเป็ต้องถึงมือข้าหรอก คุณชายอ๋าว เ้าสนใจตัวเองก่อนดีกว่ากระมัง อยู่ในกำมือข้า เ้าซวยยิ่งแล้ว!” ประโยคสุดท้ายเขาพูดอย่างโหดร้ายอยู่หลายส่วน
อ๋าวหรานหาวออกมาทีหนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็เพราะเสียเืมากหรืออย่างไรถึงได้รู้สึกง่วงอยู่ตลอด ร่างกายไร้ซึ่งเรี่ยวแรง “เ้ายังไม่ได้บอกว่ายามใดเลย?”
จิ่งเซิ้งทนต่อท่าทางของเขาที่เป็เหมือนนักโทษแล้วยังทำตัวสบายๆ เช่นนี้ไม่ได้ จึงยกเท้าขึ้นมาเหยียบไปแรงๆ สองสามที จนได้ยินเสียงอ๋าวหรานหายใจแรงถึงได้ตอบ “ยามโย่ว1 แล้ว”
อ๋าวหรานขยี้ตาแล้วพูดอย่างประหลาดใจ “ข้านึกว่ายามไห้2 แล้ว เหตุใดจึงมืดถึงเพียงนี้?”
จิ่งเซิ้งหัวเราะออกมาเบาๆ ตบหน้าอ๋าวหรานเบาๆ แล้วพูดว่า “เ้าเพิ่งเห็นหรือ สถานที่นี้ซ่อนอยู่ใต้ดิน ไม่เห็นแสงตะวันใดๆ”
อ๋าวหรานอดกลอกตาไม่ได้ เ้าเด็กนี่ถูกที่บ้านตามใจจนเสียคนแล้วกระมัง ไม่สิ ถูกตามใจจนโรคจิตไปแล้วมากกว่า
แต่ก็ถูก หากคิดถึงวิธีการทำเื่ต่างๆ ของจิ่งเหวินซาน ที่เขายังมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ได้ จิ่งเซิ้งก็นับว่ามีเมตตาแล้ว
อ๋าวหรานปวดหัวจนต้องนวดขมับ “เ้าคิดจะทำอย่างไรล่ะ?”
จิ่งเซิ่งนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง เท้าทั้งสองไขว้กันแล้วยันขอบเตียง เก้าอี้ที่นั่งอยู่จึงเหลือเพียงสองขายันไว้กับพื้น โยกไปมา จิ่งเซิ้งเลิกคิ้วแล้วมุมปากก็ค่อยๆ ยิ้มขึ้น เสแสร้งทำท่าทางคิดหนัก “วิธีอย่างเมื่อก่อนข้าใช้จนเบื่อแล้ว ส่วนวิธีแกล้งคนใหม่ๆ ตอนนี้ข้ายังคิดไม่ออก”
อ๋าวหรานเห็นเขาโยกไปมาจนน่ารำคาญ อดไม่ไหวใช้แรงถีบเขาจนตีลังกาไป แต่แค่ท่าทางง่ายๆ เช่นนี้ก็ทำเอาอ๋าวหรานเหนื่อยจนหอบ จิ่งเซิ้งที่ล้มลงไปบนพื้นยืนขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด “อ๋าวหราน! เป็แค่นักโทษชั้นต่ำยังกล้าโอหังถึงเพียงนี้ เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะทำให้เ้าอยู่ไม่สู้ตาย”
อ๋าวหรานถอนหายใจ “เชื่อ ตอนนี้ข้าก็รู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตายแล้ว ข้าไม่ได้กินข้าวมาทั้งวันแล้ว หิวจวนจะเป็ลม เ้าอะไรมาให้ข้ากินหน่อยเถิด กินเสร็จแล้วข้าจะขอหลับสักงีบ”
จู่ๆ จิ่งเซิ้งก็ยิ้มออกมา ไม่ปิดบังความชั่วร้ายในรอยยิ้มเลยแม้แต่น้อย “ความรู้สึกเวลาหิวมันเป็อย่างไร? แย่มากเลยใช่หรือไม่?”
“...” อ๋าวหรานพยายามยกมือขึ้น แต่ก็ยังยกไม่ขึ้นอีกอยู่ดี พูดแต่เพียงว่า “ก็พอไหว”
จิ่งเซิ้งลุกขึ้นยืนแล้วยิ้มเย็น “เช่นนั้นเ้าก็ทนหิวไปสักหลายวันก็แล้วกัน!ที่นี่จะไม่มีใครมา เ้าเองก็อย่าได้คิดจะออกไป”
ขนาดของที่นี่ไม่ใหญ่นัก คงแค่ประมาณสิบกว่าตารางเมตร จุดเทียนไหวๆ วูบๆ อยู่สองสามเล่ม สภาพโดยรอบเป็สีส้มๆ มืดๆ เมื่อจิ่งเซิ้งดับเทียนสองเล่มที่ข้างเตียง บรรยากาศก็มืดลงไปอีกมาก ดูคับแคบยิ่ง จู่ๆ จิ่งเซิ้งราวกับว่าคิดอะไรขึ้นมาได้ก็พูดอีกว่า “อ้อ ใช่แล้ว ในยาที่ทาให้เ้า ผสมหญ้าซุ่ยสิ่งลงไปด้วย สมุนไพรชนิดนี้ไม่รู้ว่าเ้าจะรู้จักหรือไม่?”
อ๋าวหรานรู้สึกปวดหัวมากยิ่งกว่าเดิม หญ้าซุ่ยสิ่ง3 สมุนไพรชนิดนี้ ไม่ใช่สมุนไพรที่ทำให้คนตื่น แต่เป็สมุนไพรที่ทำให้คนทั้งหลับและตื่นปนกันไป มันจะทำให้ร่างกายของคนเกิดความรู้สึกง่วงเหงาหาวนอน ไร้เรี่ยวแรง
แน่นอน หากเป็เช่นนี้ยังนับว่าดี เมื่อหลับไปแล้วท้องก็จะไม่รู้สึกหิว แล้วยังสามารถพักผ่อนได้ดีอีกด้วย แต่เ้าหญ้าซุ่ยสิ่งนี้...ในขณะที่ทำให้ร่างกายเชื่องช้า ยิ่งช้าก็ยิ่งทำให้คนตื่นเต็มตา จะอย่างไรก็นอนไม่หลับ เป็่เวลาที่ทุกข์ทรมานเป็อย่างยิ่ง มิน่าเล่าถึงรู้สึกไร้เรี่ยวแรงมาตลอด แล้วยังง่วงอีก
บรรยากาศข้างเตียงมืดลงแล้ว แต่จิ่งเซิ้งก็ยังเห็นสีหน้าของอ๋าวหรานอยู่บ้างชัดเจนว่าเขารู้จักหญ้าซุ่ยสิ่ง จิ่งเซิ้งอดยิ้มอย่างสว่างสดใสไม่ได้ ตรงที่เขายืนมีโต๊ะอยู่ตัวหนึ่ง บนโต๊ะยังจุดเทียนไว้สามเล่ม เมื่อส่องไปบนหน้าด้านขวาของเขา ส่วนด้านซ้ายนั้นมืดมิด ครึ่งสว่างครึ่งมืดเช่นนี้ เมื่อรวมเข้ากับเสียงหัวเราะอันชั่วร้ายของเขาแล้วก็ดูโหดร้ายจนน่ากลัวจริงๆ
จิ่งเซิ้งพาดตัวอยู่บนโต๊ะอยู่เป็นานแล้วเป่าเทียนให้ดับลงอีกสองเล่ม เทียนที่เหลืออยู่เพียงเล่มเดียวนั้นก็ให้แสงวับๆ แวมๆ จึงทำให้ทั้งห้องมืดลงเป็อย่างมาก จิ่งเซิ้งเดินไปที่กำแพงที่อยู่ตรงข้ามกับเตียง เขานั้นราวกับว่าไปพบเจอเื่น่ายินดีอะไรมา ฟันขาวๆ นั่นถึงได้เผยออกมาอยู่ตลอดเวลา แถมยังหัวเราะออกมาบ่อยๆ อ๋าวหรานอาศัยแสงเทียนที่แสนจะริบหรี่นั้นพยายามมองจนชัด ตรงที่จิ่งเซิ้งยืนอยู่ดูเหมือนจะมีบันไดอยู่ด้วย
จิ่งเซิ้งเดินขึ้นบันไดไปทีละก้าวอย่างอิสระล่องลอย “คุณชายอ๋าว ข้าจะไปแล้วหนา ค่อยๆ ดื่มด่ำกับความ ‘ตื่นเต้น’ ที่ข้ามอบให้ไปก็แล้วกัน พรุ่งนี้ข้าค่อยมาหาเ้า”
“แต่ว่า…” จิ่งเซิ้งเปลี่ยนเสียง “หากพรุ่งนี้ข้าลืม เ้าก็อย่าโทษข้าแล้วกัน ข้าเห็นเ้าอดทนเก่งดี ไม่แน่ว่าครั้งหน้าที่ข้ามา เ้าอาจจะยังมีชีวิตอยู่ก็เป็ได้”
อ๋าวหรานที่ชมตัวเองว่าหนักแน่นสงบนิ่งอยู่เสมอนั้น ตอนนี้รู้สึกอดอยากด่ากราดขึ้นมาไม่ได้
เ้าเด็กนี่ไม่ได้โกหก ที่นี่เป็ใต้ดินจริงๆ หลังจากจิ่งเซิ้งเปิดแผ่นไม้สี่เหลี่ยมเหนือบันได ห้องใต้ดินเล็กๆ นี่ก็สว่างไสวขึ้นมาทันที มองเห็นทุกอย่างในห้องครบหมด นอกจากโต๊ะหยาบๆ หนึ่งตัว เก้าอี้ที่วางระเกะระกะสองสามตัว และเตียงที่แสนจะแข็ง...นอนแล้วไม่สบายตัวใต้ร่างเขานี้แล้ว อย่างอื่นเกรงว่าคงจะมีแต่โคลนที่เฉอะแฉะ
แสงสว่างนี้...หลังจากจิ่งเซิ้งออกไปแล้วก็หายไปอย่างรวดเร็ว อ๋าวหรานเหมือนจะได้ยินเสียงกุญแจและเสียงบอกลาอวดดีของเ้าเด็กนั่น
ไม่มีแสงสว่าง ที่เหลืออยู่ก็มีเพียงเทียนกากๆ เล่มหนึ่ง ทิ้งเงาสีส้มๆ เล็กๆ ไว้บนกำแพงโทรมๆ เห็นแล้วไม่สู้ดับไปให้หมดเสียยังจะดีกว่า เ้าแสงสีส้มๆ นี่ทำให้เขารู้สึกทรมานจริงๆ อ๋าวหรานที่นอนอยู่ก็ยังรู้สึกอีกว่าความเงียบเองก็เป็ความทรมานอย่างหนึ่ง ในหูยังมีเสียงวิ้งๆ นอนก็ไม่หลับ ปากแผลก็ยังเจ็บอยู่
——
ห้องหนังสือ
“นายท่าน จิ่งเซิ้งจากไปแล้ว คุณชายอ๋าวถูกขังไว้ด้านล่าง ยังคงไม่ได้ออกมา”
ตำราในมือจิ่งฝานพลิกติดๆ กันหลายหน้า ที่อ่านเข้าไปกลับมีแค่ไม่กี่ตัว “เขาออกมาเองไม่ได้หรือ?”
“ตอบนายท่าน ถูกใส่กุญแจไว้จาก้า”
จิ่งฝานปิดตำราอย่างรำคาญ “เขาเป็คนมีวรยุทธ์ แค่แผ่นไม้โง่ๆ ก็ยังพังออกมาเองไม่ได้เลยหรือ?”
คนชุดดำที่คุกเข่าอยู่บนพื้นรู้สึกงุนงง ทำอะไรไม่ถูก ตอบเพียงแค่ว่า “เกรงว่าคงาเ็ไม่น้อยจนไม่มีแรงเหลือแล้ว”
จิ่งฝานโยนหนังสือในมือลงบนโต๊ะจนดัง ‘ปัง’
คนผู้นั้นถึงกับกลืนน้ำลาย “ให้ข้าน้อยไปช่วยคุณชายอ๋าวออกมาดีหรือไม่ขอรับ”
จิ่งฝานดวงตาแหลมคมทั้งสองข้าง “ถึงทีเ้าตัดสินใจทำอะไรเองั้แ่เมื่อไร?”
คนผู้นั้นรีบโขกศีรษะ “ข้าน้อยมิกล้า น้อมฟังเพียงคำสั่งของนายท่านขอรับ”
หมัดใต้แขนเสื้อของจิ่งฝานกำแน่น “ออกไป!”
“ขอรับ!” ชายชุดดำผู้นั้นถอยหลังไปหลายก้าว แล้วข่มความกลัวไว้ ถามอีกว่า “นายท่าน ยังต้องให้ข้าน้อยไปจับตาดูไว้อีกหรือไม่ขอรับ?”
จิ่งฝาน “ไม่ต้องแล้ว”
แล้วก็พูดอีกว่า “นักฆ่านั่นเป็คนของจิ่งเหวินซาน...”
ชายชุดดำรีบตอบอย่างรวดเร็ว “ได้ยินว่าชื่ออาลิ่ว กลับเรือนตะวันออกไปนานแล้ว”
จิ่งฝานนิ่งไป น้ำเสียงเรียบเฉย แต่กลับแผ่ความเย็นะเืทำให้คนอึดอัด “ฆ่าเสียไม่ให้เหลือศพครบส่วน”
คนชุดดำได้ยินก็อึ้งไป
จิ่งฝานหรี่ตามองเขา “มีปัญหาหรือ?”
ไม่กล้าคิดมากอีก ชายผู้นั้นทำได้เพียงพยักหน้าตอบรับแล้วถอยไป
ไม่ให้เหลือศพครบส่วน ความหมายคือไม่้าให้เขาได้ตายดี นายท่านแค้นคนผู้นี้ถึงขนาดนี้ คาดว่าคงจะเป็ห่วงคุณชายอ๋าวมาก เช่นนั้นเหตุใดถึงไม่ไปช่วยเขาเองเล่า?
...
อ๋าวหรานฝืนลุกขึ้นยืน รู้สึกเหมือนขาราวกับปุยนุ่น ไม่รู้ว่าเ้าเด็กจิ่งเซิ้งนั่นใส่ยาให้ั้แ่ตอนไหน นอนมานานแล้วก็ยังดีขึ้นเพียงนิดเดียว แค่เดินยังลำบากขนาดนี้ อ๋าวหรานอดทนเดินภายใต้ความมืดมาจนถึงที่โต๊ะ จุดเทียนสองสามเล่มบนโต๊ะให้ส่องสว่าง แล้วยังเดินอย่างยากลำบากไปที่บันไดนั่น ขาแทบจะยกไม่ขึ้นอยู่แล้ว
ดันแผ่นไม้้าออกไปไม่ได้จริงๆ ด้วย อ๋าวหรานนั่งลงหอบครู่หนึ่ง รวบรวมกำลังภายในทั้งหมดในร่างกายแล้วผลักไปที่แผ่นไม้นั่น ฝ่ามือนี้ทำให้แผ่นไม้หนาหนักส่งเสียงออกมา รอยแยกแผ่ขยายไปราวกับใยแมงมุม อ๋าวหรานอดยินดีในใจไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยมีแรงแล้ว แต่ก็ยังพยายามเฮือกสุดท้ายซัดไปอีกหนึ่งฝ่ามือ ผลลัพธ์เป็น่าพอใจ แผ่นไม้ร่วงลงไปบนพื้น แต่ผลสุดท้ายกลับทำให้เขาสิ้นหวังถึงที่สุด เ้าเด็กบ้าจิ่งเซิ้งนั่นใช้แผ่นหินขนาดใหญ่ทับไว้้าอีกชั้น
อ๋าวหรานรวบรวมแรงจากความโกรธซัดแผ่นหินนั่นไปสองที แต่แผ่นหินบ้านั่นแทบไม่ขยับสักนิด ไม่รู้ว่าเ้าเด็กบ้าจิ่งเซิ้งนั่นยกขึ้นมาไว้ได้อย่างไร
อ๋าวหรานนอนหอบอยู่บนบันได แม้แต่นิ้วสักนิ้วก็ไม่อยากขยับ ช่างเถอะ ด้านล่างชื้นเกินไป กำแพงดินข้างเตียงที่แค่ลูบก็มีโคลนชื้นๆ ติดมือมาด้วยแล้ว นอนตรงนี้ยังจะดีกว่า
อ๋าวหรานถอนหายใจ หากว่าคืนนี้ต้องนอนที่นี่ เกรงว่าคงต้องหนาวจนเหลือชีวิตแค่ครึ่งเดียวแน่ หวังเพียงแค่ว่าพวกจิ่งฝานจะรู้ว่าเขาหายตัวไป จะได้มาช่วยกันหน่อย
...
จิ่งฝานหยิบหนังสือจากชั้นหนังสือมาอีกเล่ม พลิกไปมาสักพักก็รู้สึกหมดความสนใจ ในใจเกิดความรู้สึกรำคาญเหมือนจะทนไม่ไหว ทำให้หนังสือที่น่าสงสารต้องประสบเคราะห์กรรม ถูกมือนั่นบีบขยำอยู่ระหว่างนิ้วเรียวยาวที่ปลายนิ้วมีควันสีขาวพวยพุ่ง หนังสือดีๆ เล่มหนึ่งถูกทำให้กลายเป็เถ้าถ่านในพริบตา ดวงตามืดมิดของจิ่งฝานเหมือนมีสีแดงพาดผ่านไปแวบหนึ่ง บวกกับบรรยากาศรอบตัวที่น่ากลัว ราวกับเป็ปีศาจที่มาจากนรกก็ไม่ปาน
ไม่รู้ว่าเป็เพราะวรยุทธ์่นี้ยิ่งฝึกยิ่งล้ำลึกหรือไม่ กำลังภายในที่แผ่ออกมาจากข้างในก็ยิ่งข่มลงไปยากขึ้นทุกวัน จิ่งฝานรู้สึกหงุดหงิดวุ่นวายใจเป็อันมาก เขาอยากฆ่าคน...ความคิดนี้ข่มกลับลงไปไม่ไหวจริงๆ
ในทันใดนั้น ในสมองของจิ่งฝานก็ปรากฏภาพของอ๋าวหราน คนผู้นี้ถูกนักฆ่าของจิ่งเหวินซานทำร้าย ทั้งยังถูกจิ่งเซิ้งขังไว้ใต้ดิน หากไม่ไปช่วยก็ต้องได้รับความทรมานอยู่มากจนอาจจะถึงตายได้
ส่วนเขาก็อยากให้อ๋าวหรานได้รับความเ็ปทรมานจริงๆ
แต่ว่า...
จู่ๆ ดวงตาของจิ่งฝานก็สว่างวาบ แฝงรอยเืและความโหดร้าย คนผู้นี้หรือว่าต่อให้จะตายหรือได้รับความทรมานและโชคร้าย ก็ควรเป็ตนเองที่มอบให้ถึงจะถูก?
...
เชิงอรรถ
ยามโย่ว1 (酉时)คือเวลาห้าโมงเย็นถึงหนึ่งทุ่ม
ยามไห้2 (亥时)คือเวลาสามทุ่มถึงห้าทุ่ม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้