ฉินอวี่สูดลมหายใจอย่างหนัก เขาใช้มโนจิตจ้องตรงไปในวงแหวนมิติ ใบหน้าของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและใอย่างไม่อยากเชื่อ
“เขาไปได้มันมาจากไหนกันแน่? เขายังมีเื่ที่ปกปิดข้ากับเสวี่ยเอ๋ออีกเท่าไร? แล้วเหตุใดต้องปิดบังกัน?” ฉินอวี่เริ่มมีสีหน้าสงบลง ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ถึงเื่ที่ผู้าุโโม่เคยเรียกบิดาของตนเองว่า “ท่านหก” ในตอนนั้น ฉินอวี่ไม่ได้คิดอะไรขึ้นมาก แต่ในตอนนี้ ฉินอวี่ได้พยายามเชื่อมโยงทุกเื่ที่เกิดในเมืองหลักเทียนอู่ และเหมือนจะสังเกตอะไรบางอย่างได้อย่างคลุมเครือ
“หก? หรือว่าผู้าุโ้าจะพูดว่าท่านหก? แต่ด้วยอายุของผู้าุโโม่ เขาก็ไม่น่าจะเรียกผิดซ้ำๆ มีความเป็ไปได้เพียงข้อเดียว คือผู้าุโโม่ไม่คิดจะปิดบัง เขาจึงพยายามบอกใบ้ข้า”
“ยิ่งไปกว่านั้น ในตอนแรกที่เอาเพลิงประหลาดของหวังผิงมา สำนักเทียนหั่วก็ไม่มีการมาขออะไรกลับไป เดิมทีก็คิดว่าอาจารย์หวงถิงลงมือไปแล้ว แต่เมื่อดูจากตอนนี้... มีความเป็ไปได้ว่าไม่ใช่อาจารย์ แต่เป็ท่านพ่อ หรือบางทีอาจจะเป็ผู้าุโโม่!” สายตาของฉินอวี่เปล่งประกาย ในตอนนั้นเขารู้สึกได้ว่าผู้าุโโม่ไม่ธรรมดา แต่เขาก็อธิบายไม่ถูก เป็เพราะเขาไม่สามารถััถึงพลังปราณของผู้าุโโม่ได้ แต่สิ่งที่ฝังลึกในความทรงจำของฉินอวี่คือ แหวนหยกสีเขียวเข้มที่สวมอยู่บนหัวแม่มือข้างซ้ายของผู้าุโโม่
ในตอนนั้นฉินอวี่เพียงแค่มองผ่านไปอย่างไม่ตั้งใจ และไม่ได้คิดอะไร แต่ตอนนี้ เมื่อนึกย้อนกลับไป ฉินอวี่ก็ยังพอจำได้อย่างเลือนรางว่ามีตราประทับตื้นๆ อยู่บนแหวนหยกวงนั้น
“พวกเขากำลังปิดบังอะไรอยู่กันแน่? แล้วทำไมต้องปิดบังเอาไว้? เหตุใดต้องปิดบังโลกด้วยว่าในตระกูลมีสายเือสุนี? หรือตระกูลฉินเคยไปล่วงเกินใครเอาไว้? แต่ทำไมตระกูลที่มีสายเือสุนีจึงเป็เพียงตระกูลธรรมดา? อาทิเช่น ตระกูลเหลยของตี้หวัง แม้ว่าตระกูลฉินจะไม่สามารถเทียบกับตระกูลเหลยของตี้หวังได้ แต่ก็ไม่จำเป็ที่จะต้องหลบซ่อนเหมือนสุนัขข้างถนนเช่นนี้?”
“อีกอย่าง จากคำพูดที่มีนัยของผู้าุโโม่ ก็ไม่น่าจะมีการล่วงเกินผู้แข็งแกร่งคนใด เป็ไปได้หรือไม่ว่า... จะมีสาเหตุจากท่านพ่อและตระกูลฉินที่แท้จริงมีความแตกหักกัน?” ฉินอวี่พึมพำกับตนเอง
มโนจิตยังคงวนเวียนอยู่ในวงแหวนมิติ ในใจของเขาก็ใจนยากที่จะสงบลงได้
สิ่งที่เขามองเห็น วงแหวนมิตินี้เป็เสมือนทะเลของสายฟ้า เพราะมีสายฟ้าแออัดกันอยู่ภายในเป็จำนวนมาก และในศูนย์กลางของเหล่าสายฟ้า มีหินิญญาสีม่วงที่ดูเหมือนูเาอยู่ก้อนหนึ่ง และนี่ไม่ใช่ก้อนหินธรรมดา เพราะเป็หินิญญาอสุนีที่มีพลังของสายฟ้าบรรจุอยู่ภายใน!
ไม่ว่าจะเป็หินิญญา หินเต๋า หินเซียน แต่ละประเภทก็ยังแบ่งออกเป็หลายชนิด หากจะพูดถึงหินิญญา หินิญญาที่ธรรมดาที่สุดล้วนบรรจุไปด้วยพลังิญญาฟ้าดิน แต่ก็มีบางชนิดที่บรรจุพลังที่ไม่สามารถอธิบายได้ พลังชนิดนี้ จะว่าไปก็สามารถเป็พลังอะไรก็ได้ อาทิ พลังอัคคี พลังอสุนี เป็ต้น
แต่หินิญญาที่มีพลังไม่ทราบชนิดบรรจุอยู่จะมีเงื่อนไขในการรวบรวมขึ้นมายากและรุนแรงกว่าหินิญญาทั่วไป เหมือนดั่งหอคอยฝึกตนของเผ่าหยาจื้อ หินหนืดที่อยู่พื้นล่างในชั้นที่เจ็ด ซึ่งน่าจะประกอบด้วยหินิญญาอัคคี แต่ก็เป็เพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้น จะพบได้ว่าหินิญญาชนิดนี้จะมีค่ามาก เช่นเดียวกันกับหินิญญาอสุนี
เพียงแต่ หินิญญาชนิดนี้สำหรับคนทั่วไปแล้ว ก็ไม่มีอะไรแตกต่างจากหินธรรมดามากนัก แต่สำหรับบางคนแล้ว หินิญญาชนิดนี้นับว่ามีค่ามาก
ฉินอวี่พบว่าภายในวงแหวนมิติก็มีหินิญญาอสุนีเช่นนี้อยู่เป็จำนวนมาก ฉินอวี่ทั้งรู้สึกใทั้งตื่นเต้น ด้วยการถ่ายทอดพลังในสายฟ้า ฉินอวี่จึงมั่นใจว่าจะสามารถยกระดับร่างอสุนีลึกลับให้กลายเป็ร่างอสุนีคำรามได้ และเมื่อถึงตอนนั้น ก็จะยกระดับอสุนีคำรามให้กลายเป็อสุนี์... ฉินอวี่ก็ยิ่งมีความมั่นใจว่าตนเองจะต้องกลายเป็หนึ่งในเจ็ดสิบสองอสูรธรณีได้
เมื่อระงับความตื่นเต้นภายในใจไว้แล้ว ฉินอวี่ก็พบว่าไม่เพียงแต่จะมีเพลิงิญญาอสุนี แต่ยังมีหินิญญา โอสถ อยู่เป็จำนวนมาก และในจำนวนของเ่าั้ยังมีหินิญญาระดับสูงอีกเป็จำนวนมาก และมีจำนวนเกินกว่าพัน ทั้งยังมีศิลาิญญาระดับเยี่ยมยอดอีกนับสิบ นอกจากนี้ ในวงแหวนมิติยังมีเกราะศึกอีกหนึ่งชิ้น
เมื่อหยิบเกราะศึกออกมา ฉินอวี่ก็ต้องพบกับความประหลาดใจ ทันทีที่เขาััถูกเกราะศึก อสุนีบาตในร่างกายก็เหมือนมีชีวิตขึ้นทันที และอดไม่ได้ที่จะเคลื่อนที่ตรงไปยังเกราะศึกชิ้นนั้น
เกราะศึกชิ้นนี้หนักราวร้อยชั่ง ฉินอวี่ยังดูไม่ออกว่าทำมาจากวัสดุชนิดใด บนชุดเกราะสลักเป็รอยประทับของเมฆอสุนีจำนวนมาก และในหมู่เมฆอสุนีก็ยังมีอักขระสายฟ้าปรากฏอยู่ ซึ่งมองดูแล้วแสนจะลึกลับยิ่งนัก
หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ฉินอวี่ก็เรียกอสุนีคำรามสายหนึ่งใส่เข้าไปในเกราะศึกทันที
“เวิง...”
เกราะศึกส่งเสียงดัง เกราะศึกที่มีสีม่วงอ่อนอยู่แต่เดิมเริ่มปรากฏลายเส้นคล้ายใยแมงมุมขึ้นมาอย่างหนาแน่น อักขระลวดลายเหล่านี้ทำให้รอยประทับเมฆอสุนีที่อยู่บนเกราะศึกต่างรวมตัวกันขึ้นมา ท้ายที่สุด รอยประทับเมฆอสุนีทั้งหมดก็รวมเข้ามาอยู่ตรงหน้าอก กลายเป็สายฟ้าสายหนึ่ง
สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่ต้องใคือ สายฟ้าสายนี้เหมือนดั่งงูอสุนีเล็กๆ ตัวหนึ่ง ที่กำลังเคลื่อนที่ไปรอบๆ เกราะศึก
“ซื้ด!” ฉินอวี่สูดลมหายใจเข้าอย่างแรง เขาแทบจะสรุปได้ทันทีว่า เมื่อสวมชุดเกราะเช่นนี้ไว้บนร่างกาย ไม่เพียงแต่จะช่วยป้องกันตัวเขาเท่านั้น แต่ยังเพิ่มพลังของสายฟ้าในร่างกายอีกด้วย!
ฉินอวี่เรียกอสุนีคำรามที่อยู่บนเกราะศึกกลับ แสงสว่างของเกราะศึกหายไปในทันที และกลับเข้าสู่สภาพปกติ ฉินอวี่จ้องมองเกราะศึกด้วยความรู้สึกซับซ้อนในใจ
หากดูจากสิ่งของที่อยู่ในวงแหวนมิติ ฉินอวี่ก็อาจพอสรุปได้ว่า ฉินจ้านผู้เป็บิดาจะต้องมาจากตระกูลใหญ่สักตระกูลแน่นอน และที่บิดาของเขาต้องปิดบังเอาไว้ ก็เพราะเกรงว่าตระกูลใหญ่นั่นจะไปยั่วยุศัตรูที่แข็งแกร่ง ไม่เช่นนั้น บิดาของเขาก็คงต้องเล่าเื่ของวงศ์ตระกูลให้เขาฟังแล้ว แทนที่จะไม่พูดถึงเลยแม้แต่คำเดียว บางที... แม้ว่าบิดาของเขาจะเป็คนของตระกูลนั้นจริง แต่เขาคงไม่มีความรู้สึกผูกพันมากเท่าไรนัก หรืออาจจะ... มีความคับแค้นกับตระกูล ดังนั้น เขาจึงไม่้าให้ตัวเขาและเสวี่ยเอ๋อรู้เื่การมีอยู่ของตระกูล
แต่สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่เศร้าและไม่เข้าใจคือ บิดาที่มีประวัติไม่ธรรมดา เหตุใดจะต้องยอมคุกเข่าอยู่หน้าจวนตระกูลชุยถึงสามวันสามคืนด้วย? แม้ว่าจะเป็เพราะตัวเขา แต่เขาก็เคยขับไล่สำนักเทียนหั่วออกไปได้ เหตุใดจึงไม่สามารถจัดการตระกูลชุยได้? ในฐานะที่เป็คนในวงศ์ตระกูลเช่นกัน ทำไมจึงต้องยอมรับความอัปยศเช่นนั้นด้วย? หรือพูดได้ว่า เขาเกลียดตระกูลนั้นเข้ากระดูก?
ฉินอวี่รู้สึกได้แต่เพียงว่าบิดาของเขาที่ดูแสนจะธรรมดากลับมีความลับอยู่มากมาย บางที... อาจต้องรอให้พละกำลังของตนเองสูงขึ้นถึงระดับหนึ่งเสียก่อน จึงจะสามารถไขปริศนาเกี่ยวกับบิดาของเขาได้!
“มีหินิญญาอสุนี อีกทั้งยังมีสายเือสุนี แม้ว่าในแดนคุ่นหลงซิงเฉินจะมีอยู่ไม่มากนัก รอให้ออกไปจากเหวลึกเสียก่อน ตนเองจะต้องสืบหาต้นสายของตระกูลฉินให้ได้” ฉินอวี่พูดกับตนเอง หลังจากทิ้งความคิดทั้งหมดไป เขาก็นำเกราะศึกเก็บกลับเข้าไปในวงแหวนมิติ และหยิบหินิญญาอสุนีออกมาจำนวนหนึ่ง ก่อนจะดูดซับพลังจากมันอย่างตะกละตะกลาม
เดิมทีแล้ว อสุนีลึกลับในร่างกายของฉินอวี่สามารถพึ่งพาได้เพียงการควบแน่นด้วยตนเองเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ พลังของอสุนีลึกลับจึงมีขีดจำกัด และยากจะเข้าสู่ระดับที่สมบูรณ์ได้ โดยทั่วไปแล้ว ก่อนที่จะเกิดการพัฒนาระดับขึ้นไปนั้น การยกระดับร่างอสุนีลึกลับเป็เื่ที่ยากมาก นอกเสียจากมีผู้แข็งแกร่งให้ความช่วยเหลือ และรวบรวมอสุนีของฟ้าดินมาเท่านั้น นอกเหนือจากนี้แล้ว ก็คงมีเพียงหินิญญาอสุนีเท่านั้นที่ทำให้อสุนีลึกลับเกิดการเปลี่ยนแปลง
ขณะนี้ ฉินอวี่ดูดซับพลังสายฟ้าจากหินิญญาอสุนีอย่างรุนแรง พลังของร่างอสุนีถ่ายเทเข้าสู่ร่างกายอย่างบ้าคลั่ง ท้ายที่สุด ก็รวมตัวเป็อสุนีลึกลับขนาดใหญ่ ที่วนเวียนอยู่กับร่างกายจนกลายเป็วังวนพลัง
ไม่นานนัก ทั่วทั้งห้องก็กลายเป็บ่อสายฟ้า
เพียงพริบตา เวลาก็ผ่านไปถึงครึ่งปี
“ดูอะไร? ข้าก็เคลื่อนไหวอย่างเบาที่สุดแล้วมิใช่หรือ? หรือมันยังไปรบกวนเ้าอีก?”
ในลานว่าง หวังมู่ที่กำลังตีเหล็กอยู่ได้หยุดค้อนขึ้นมาทันที และมองไปทางไป๋ฉีอย่างไม่พอใจ
“ข้าแค่กำลังคิด ด้วยสภาพของเ้าตอนนี้ มีคุณสมบัติอะไรที่สมควรจะอยู่ในโลกใบนี้? หากว่าเป็ข้าคงจะตายไปนานแล้ว อยู่ไปก็เปลืองทรัพยากรฝึกฝน มัวแต่นั่งตีนั่งเคาะอยู่เช่นนี้ทุกวัน แล้วเ้าตีอะไรออกมาได้บ้าง? ยังมัวแต่ตีขึ้นรูป... หลายปีมานี้ เ้าขึ้นรูปอะไรขึ้นมาได้บ้างล่ะ? แม้แต่อาวุธิญญาระดับต่ำเ้าก็ยังตีออกมาไม่ได้ แล้วยังมีหน้ามาอยู่กวนคนอื่นที่นี่อีก” ไป๋ฉีเยาะเย้ย พูดจบก็หันหลังกลับออกไปจากประตูจวน
“เ้าจะไปที่แผ่นผนึกว่านเซี่ยงนั่นล่วงหน้าหรือ? หรือว่าเ้า้าเข้าร่วมการท้าประลองในอีกครึ่งปีข้างหน้าด้วยจึงได้ร้อนรนเช่นนี้? คิดอะไรอยู่ เจ็ดสิบสองอสูรธรณีเป็สิ่งที่เ้าจะเป็ได้หรือ? เหล่าต้าก็เป็หนึ่งในอสูรธรณี นั่นก็หมายความว่า หากเ้า้าเป็หนึ่งในอสูรธรณี จะต้องมีการท้าประลองเหล่าต้าที่อยู่ในระดับแนวหน้าน่ะหรือ?”
“แต่หากเ้าไปท้าประลองเหล่าต้า มันไม่เป็การเกินตัวไปหรือ? ข้าว่าเ้าอยู่ตรงนี้ก็ดีแล้วล่ะ อย่ามัวแต่ไปคิดถึงเื่ที่เป็ไปไม่ได้เลย”
“อย่าว่าแต่เหล่าต้าเลย แม้แต่เหล่าเอ้อ หากชกสักสิบหมัดเ้าคงล้มไม่เป็ท่า แม้แต่เหล่าเอ้อยังไม่สามารถรักษาตำแหน่งอสูรธรณีในครั้งก่อนได้ นับประสาอะไรกับเ้า?”
ไป๋ฉีมีใจมั่นคงดั่งเหล็ก ไม่มีทางหวั่นไหวกับคำพูดของหวังมู่แน่นอน การเข้าร่วมครั้งนี้นับว่าเป็การมาถึงจุดคอขวดแล้ว เดิมทีคิดจะไปดูทางแผ่นผนึกว่านเซี่ยง แต่กลับนึกไม่ถึงว่าคำพูดนี้ของหวังมู่จะทำให้เขาโกรธจัด และโต้ตอบกลับไป “แล้วเ้าล่ะ? อยู่เคาะนู่นนี่ไปทุกวันมีความหมายอะไรบ้าง?”
“เหอๆ แล้ววันหนึ่งเ้าจะรู้เองว่าข้าเอาแต่เคาะขึ้นรูปเช่นนี้เพื่ออะไร ฮึๆ หวังว่าวันนั้นจะมาถึงเร็วๆ” หวังมู่เหลือบมองไป๋ฉี พร้อมรอยยิ้มเ้าเล่ห์
“เหอๆ เ้าคิดว่าข้าดูไม่ออกหรือว่าเ้าทุบตีมันทุกวันเช่นนี้ก็เพราะกำลังฝึกตีขึ้นรูปเป็การฝึกฝนยุทธ์? ช่างโง่แท้” ไป๋ฉีเยาะเย้ยและเดินออกจากประตูไป
เพียงแต่เดินไปเพียงไม่กี่ก้าว กลับได้ยินเสียงดัง “กลึกๆ” เมื่อหันกลับไป กลับเห็นประตูด้านขวาถูกเปิดออก
“เหล่าเอ้อออกจากบำเพ็ญยุทธ์แล้ว” หวังมู่ยิ้ม จากนั้นก็เหลือบมองไปทางห้องพักของฉินอวี่
