หากภาพวาดอันงดงาม เกิดจากสุนทรียภาพในหัวใจ ยามนี้ สวีเพ่ยหรานคงไม่อาจสร้างสรรค์ผลงานใดออกมาได้
ชายหนุ่มมองลายเส้นที่ตนวาด ก่อนโยนพู่กันทิ้ง ซ้ำยังผลักภาพเขียนจนล้มระเนระนาด เศษกระดาษหล่นเกลื่อนพื้น
พอหนีจวิ้นหว่านเข้ามา ก็ได้ยินเสียงตวาดทันที “บอกแล้วว่าอย่ามารบกวนมิใช่หรือ?”
ที่ผ่านมา นางไม่เคยได้ยินน้ำเสียงแข็งกร้าวของเขามาก่อน หญิงสาวจึงเบิกตากว้าง หันไปหยิบกระดาษจากพื้นขึ้นมาปัด ก่อนถามด้วยรอยยิ้ม “ภาพวาดงดงามขนาดนี้ ทำไมท่านพี่หรานถึงโยนทิ้งเล่าเ้าคะ?”
“วาดไม่สวย ก็ต้องทิ้งสิ!” สวีเพ่ยหรานสั่นศีรษะ พลางเสยผมอย่างหงุดหงิด
หนีจวิ้นหว่านมองกระดาษวาดรูป แล้วอดพูดมิได้ “จะวาดภาพ ต้องใจเย็นดั่งสายน้ำ หากวันนี้ยังวาดไม่ได้ วันหน้าท่านพี่หรานค่อยวาดใหม่ก็ได้นี่เ้าคะ”
ชายหนุ่มส่ายหน้า “ใกล้ถึงวันเกิดของเสี่ยวเอ๋อร์แล้ว ข้าจะวาดภาพสวยๆ ให้นาง เ้าไม่ต้องเป็ห่วง ข้าสบายดี”
ได้ยินเช่นนั้น หนีจวิ้นหว่านก็กัดฟันกรอดด้วยความขุ่นเคือง
ทว่า ยิ่งสวีเพ่ยหรานพยายามฝืนมากเท่าใด ภาพที่วาดออกมาก็ยิ่งดูย่ำแย่เหลือทน ชายหนุ่มขยำกระดาษเป็ก้อน และขว้างไปให้พ้นจากสายตาด้วยความหงุดหงิด
แต่พอเห็นหนีจวิ้นหว่านหยิบมันขึ้นมา แววตาของเขาก็อ่อนลง สวีเพ่ยหรานพวางพู่กันในมือ ก่อนพูดเบาๆ “หว่านเอ๋อร์ วางลงเถอะ เ้าเป็ถึงบุตรสาวของเสนาบดีผู้ทรงเกียรติ ไม่จำเป็ต้องวุ่นวายกับเื่เหล่านี้ ไว้ข้าค่อยเรียกบ่าวมาทำความสะอาดเอง”
กลิ่นหอมเย็นเฉพาะตัวจากร่างของสวีเพ่ยหราน ลอยมากระทบนาสิก ชวนให้ปั่นป่วนใจ แต่หญิงสาวก็เรียกสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว
นิ้วเรียวยาวดุจหยกกระชับก้อนกระดาษแน่น พลางเงยมองใบหน้าอันหล่อเหลาของอีกฝ่าย ยังไม่ทันเอ่ยอันใด ก็ต้องหลุบตาลงพลัน ด้วยสองแก้มนวลแดงก่ำไปเสียแล้ว
“ท่านพี่หราน ในชีวิตนี้ ข้ายอมทำทุกอย่างเพื่อท่าน”
สวีเพ่ยหรานงุนงงไปชั่วขณะ “หว่านเอ๋อร์ ข้ารู้ว่าเ้าอยากจะปลอบใจ แต่การพูดเช่นนี้คงไม่ดีนัก หากเสี่ยวเอ๋อร์มาได้ยินเข้า เกรงว่าจะเคลือบแคลงในตัวข้าได้”
ใช่ว่าจะไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่าย้าจะสื่อ แต่เพราะไม่้าทำร้ายจิตใจนาง เขาจึงแกล้งเฉไฉทำเป็ไม่รู้เื่
ดวงตาของหญิงสาว เต็มไปด้วยความไม่เชื่อ “ท่านพี่ ใครๆ ก็รู้ ว่าการที่บุรุษมอบปิ่นปักผมให้สตรีนั้น มันหมายความว่าอย่างไร แต่นางก็ยังปฏิเสธคำขอแต่งงานของท่านอีก ท่านน่าจะยอมรับความจริงได้แล้ว ว่าที่นางทำไปทั้งหมดนั้น เพียงเพราะ้าปั่นหัวท่านเล่น นี่ท่านไม่โกรธเคืองเลยหรือ?”
“นั่นเป็เพราะข้าทำให้เสี่ยวเอ๋อร์ไม่พอใจก่อน มันก็สมควรแล้วที่นางจะปฏิเสธการแต่งงาน ข้าจึงไม่คิดจะตำหนิใดๆ ความจริงใจย่อมมั่นคงยิ่งกว่าทองคำและหินผา ข้าเชื่อว่าสักวัน เสี่ยวเอ๋อร์จะยอมรับข้า” สวีเพ่ยหรานคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน ไม่มีการเสแสร้งหรือฝืนใจใดๆ
ชายหนุ่มทำเป็มองไม่เห็นความประหลาดใจ ที่ฉายชัดอยู่บนใบหน้าของหนีจวิ้นหว่าน เขายืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวยิ้มๆ “เอาละ หว่านเอ๋อร์ ข้าไม่คุยด้วยแล้ว ต้องรีบวาดภาพต่อ”
เมื่อได้ยินประโยคไล่กลายๆ ของอีกฝ่าย หญิงสาวก็จำต้องกลืนคำพูดมากมายที่เตรียมจะเอ่ย กลับเข้าไปในลำคอ แล้วกล่าวอำลา “ท่านพี่หราน หว่านเอ๋อร์ขอตัวก่อน”
หนีจวิ้นหว่านกำมือทั้งสองข้างเพื่อตั้งสติ พยายามระงับอารมณ์ พลางก้าวออกจากห้อง แต่ก่อนปิดประตู ก็มองไปยังร่างของสวีเพ่ยหรานอีกครั้ง แม้ใบหน้าของชายหนุ่มจะเปื้อนยิ้ม แต่แววตาอันเศร้าโศกนั้น ยากที่จะปิดบังได้
จู่ๆ นางก็นึกถึงหนีเจียเอ๋อร์ ผู้ลอบเข้าไปในห้องหนังสือของท่านพ่อในยามวิกาล แล้วหัวใจพลันพลุ่งพล่าน ขณะหรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด
…
พอกลับมาถึงบ้านสกุลหนี หนีจวิ้นหว่านก็กระซิบสั่งบางอย่างที่ข้างหูของหลิวอวี้ สาวใช้ประจำตัวของตน
ดวงตาของหญิงรับใช้เบิกกว้างด้วยความใ แต่ก็ไม่กล้าขัดใจเ้านาย จึงจำต้องทำตามคำสั่งอย่างเกรงกลัว
จากนั้น หนีจวิ้นหว่านก็สั่งให้บ่าวรับใช้ชงชาหลงจิ่งที่ออกมาใหม่ในปีนี้ แล้วยกไปให้นายท่านสกุลหนี ซึ่งกำลังอารมณ์เสียอยู่ในห้องโถง
กลิ่นหอมของชาในมือบุตรสาว ทำให้คลายความหงุดหงิดลงได้บ้าง ดังนั้น เมื่อหนีจวิ้นหว่านขอชมภาพวาดที่อยู่ในห้องหนังสือ เขาจึงสั่งให้บ่าวรับใช้ไปหยิบมาให้นางดูทันที
…
ท้องฟ้าสีคราม เมฆบางเบา สายลมโชยพัด ใบอ่อนของต้นไหว[1]ในสวนกางออกเหมือนร่มั์ แผ่ร่มเงาบดบังแสงแดด
ใครบางคนกำลังนั่งอ่านหนังสือด้วยความสบายใจ แต่แล้วก็มีเสียงโวยวายดังขึ้น
เมื่อมองเข้าไปในจวน ก็เห็นบ่าวรับใช้วิ่งกันให้วุ่น ดูสับสนอลหม่าน เสียงฝีเท้าดังอึกทึกครึกโครม ทำให้หนีเจียเอ๋อร์จำต้องวางหนังสือลง ขณะที่กำลังจะลุกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นนั้น เสี่ยวเสวียนพลันผลักประตูเข้ามา ด้วยท่าทีตื่นตระหนก
หญิงสาวจึงขมวดคิ้ว พลางถาม “เ้าดูร้อนรนนัก ในจวนเกิดเื่หรือ?”
เสี่ยวเสวียนพยักหน้า ก่อนตอบ พร้อมหอบหายใจ “คุณหนู เกิดเื่แล้วเ้าค่ะ มีคนบุกเข้ามาขโมยภาพวาดที่นายท่านแขวนไว้ในห้องหนังสือ นายท่านและฮูหยินกำลังสั่งให้บ่าวรับใช้ในเรือน ออกค้นหากันยกใหญ่เลยเ้าค่ะ”
ลอบเข้ามาในจวนเสนาบดี เพื่อขโมยของกลางวันแสกๆ... มีโจรโง่เขลาแบบนี้ด้วยหรือ?
หนีเจียเอ๋อร์ทำหน้านิ่วด้วยความงุนงง “ไปดูกันเถอะ”
เ้านายและสาวใช้ประจำตัว พากันเดินออกมา แต่กลับถูกบรรดาบ่าวรับใช้ที่ติดตามหนีฮูหยิน เข้าไปขวางหน้าเอาไว้
หนีเจียเอ๋อร์จึงหยุดทักทายเล็กน้อย และถามว่า “คารวะท่านแม่ ข้าได้ยินว่า มีคนขโมยภาพวาดซึ่งท่านพ่อหวงแหนที่สุดไป ไม่ทราบว่าเป็เื่จริงหรือไม่เ้าคะ?”
หนีฮูหยินปรายมองอย่างเ็า “ใช่! ภาพวาดหาย ตอนเช้าสาวใช้เข้าไปทำความสะอาด ยังเห็นอยู่เลย ผ่านมาแค่สองชั่วยาม ภาพวาดกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย ข้าสั่งให้บ่าวรับใช้ออกค้นหาแล้ว”
บิดาซึ่งถูกขโมยภาพวาดไป คงกำลังบันดาลโทสะอยู่ แต่สวีซื่อ[2]กลับมิได้อยู่ปลอบใจเขา หนีเจียเอ๋อร์รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี จึงเอ่ยถาม “เช่นนั้น ท่านแม่พาคนมาที่นี่ทำไมเ้าคะ? จะค้นห้องของข้าอย่างนั้นหรือ?”
หนีฮูหยินกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ส่อเจตนาเหยียดหยามอย่างชัดเจน “แม้แต่ห้องหว่านเอ๋อร์ ข้าก็ให้บ่าวไปค้นมาแล้ว ห้องของคุณหนูรองอย่างเ้าวิเศษวิโสกว่าตรงไหน ถึงเข้าไปค้นมิได้?”
“ท่านแม่โปรดใจเย็นก่อน ข้ามิได้หมายความเช่นนั้นนะเ้าค่ะ” หนีเจียเอ๋อร์ถอยออกมา ปล่อยให้สวีซื่อนำบ่าวเข้าไปค้นในห้อง
กล่าวได้ว่าโชคร้ายในครั้งนี้ ตนคงยากจะหลีกเลี่ยงแล้ว ได้แต่ปล่อยไปตามน้ำเท่านั้น
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม บ่าวก็ส่งเสียง “พบแล้ว” มาจากในห้อง
หนีเจียเอ๋อร์มุ่นคิ้ว ในใจเต็มไปด้วยความสงสัย สายตาของนางแปรเปลี่ยนเป็เยียบเย็น ด้วยตระหนักได้ทันที ว่านี่ต้องเป็แผนการสมรู้ร่วมคิด ซึ่งถูกวางเอาไว้เป็อย่างดี เพื่อที่จะใส่ร้ายตน
ชาติก่อน หนีฮูหยิน สวีซื่อก็อาศัยอำนาจในครอบครัว แอบกลั่นแกล้งรังแกนางกับเว่ยอี๋เหนียงเช่นกัน ตอนนั้นนางก็รู้ดี ว่าเป็ฝีมือของอีกฝ่าย แต่ในเมื่อไม่มีหลักฐาน ใครเล่าจะเชื่อ
หนีเจียเอ๋อร์เตือนตัวเองเสมอ ว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะเอาคืน นางต้องอดทน เพื่อเก็บหลักฐานให้ได้เสียก่อน
เสี่ยวเสวียนมองเ้านายตนด้วยความหวาดหวั่น “คุณหนู เมื่อเช้านี้ข้าทำความสะอาดห้องของท่าน แต่ไม่พบสิ่งผิดปกติ แล้วพวกเขาจะเจอภาพวาดได้อย่างไรเล่าเ้าคะ?”
หนีเจียเอ๋อร์แตะหลังมือของสาวใช้เบาๆ เพื่อปลอบโยนอย่างเงียบๆ
เสียงฝีเท้าของกลุ่มคนที่มุ่งหน้ามาทางนี้ ทำให้หนีเจียเอ๋อร์กับเสี่ยวเสวียนหันไปมอง เป็นายท่านสกุลหนีและหนีจวิ้นหว่าน พร้อมบ่าวรับใช้นั่นเอง
สวีซื่อถือภาพวาดออกมาจากในห้อง สีหน้าของนางแสดงความเย้ยหยัน เมื่อเดินผ่านหนีเจียเอ๋อร์ไปหานายท่านสกุลหนี “นายท่าน เจอแล้วเ้าค่ะ ไม่รู้มาอยู่ในห้องนอนของหนีเจียเอ๋อร์ แทนที่จะอยู่ในห้องหนังสือได้อย่างไร?”
หนีจวิ้นหว่านหลุบตาลง เพื่อซ่อนเจตนาร้าย
ส่วนบรรดาคนรับใช้ ต่างก็ลอบส่งสายตากันไปมา
ใบหน้าของนายท่านสกุลหนีเ็า ดวงตาที่เต็มไปด้วยความเอื้ออาทร แปรเปลี่ยนเป็มึนตึง เขาคว้าภาพวาดที่อยู่ในมือของสวีซื่อ มายื่นตรงหน้าหนีเจียเอ๋อร์ แล้วถามเสียงแข็ง “เจียเอ๋อร์ ข้าจะให้โอกาสเ้าพูด อธิบายมาสิ ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
หนีเจียเอ๋อร์กล่าวอย่างนอบน้อม “ท่านพ่อ ข้ามิได้ขโมยภาพวาด ทั้งยังไม่รู้ ว่ามันมาอยู่ในห้องของตัวเองได้อย่างไร โปรดให้ความเป็ธรรมกับลูกด้วยเ้าค่ะ!”
----------------------------------
[1] ต้นไหว (槐树: ไหวซู่) หมายถึง ต้นตั๊กแตน เป็ไม้ยืนต้นสูง 20-30 เมตร ดอกหอมหวานสามารถทานได้ ลำต้นเป็ไม้เนื้อแข็ง มีความแข็งแรงทนทาน นำมาทำเฟอร์นิเจอร์ได้
[2] ซื่อ (氏) เป็คำต่อท้ายสกุลเดิมของสตรี เพื่อบ่งบอกสถานะว่าเป็ผู้ที่แต่งงานแล้ว เช่นในนิยายเื่นี้ ‘สวีซื่อ’ หมายถึงหนีฮูหยิน ซึ่งเป็สตรีจากตระกูลสวี ที่แต่งงานเข้าจวนสกุลหนีนั่นเอง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้