ท่านนายอำเภอเฉินแห่งอำเภอิเหอจากไปแล้ว
นายอำเภอคนใหม่ย่อมจะต้องถูกส่งมา เพียงแต่เพิ่งจะเกิดา กองทัพจิงอาจจะบุกมาเมื่อใดก็ได้ ดังนั้นจึงยังไม่มีใครยินยอมมาประจำการที่นี่
ทว่ากลับมีคนดวงตกจากตระกูลจ้งคนหนึ่งถูกส่งมาที่นี่
ยามเลือกลูกพลับก็ต้องกดดูลูกที่นิ่มๆ
ตระกูลจ้งหากไม่ได้เฉินเจี๋ยอวี๋มาขัดจังหวะ ไม่แน่ว่าพวกเขาก็อาจถูกผู้ตรวจการคนนั้นตรวจสอบแล้วก็ได้ ป่านนี้ทั้งตระกูลก็คงจะวุ่นวาย
บัดนี้ยามถูกส่งตัวให้มาประจำการที่อำเภอิเหอจึงไม่กล้าโอดครวญ
ทว่าราชสำนักก็ยังมีกฎเกณฑ์
หากนับตามขั้นแล้ว ชายโชคร้ายจากตระกูลจ้งย่อมไม่มีทางจะได้เป็นายอำเภอขั้นเจ็ด
แม้จะถูกเนรเทศมาที่นี่ แต่อย่างน้อยก็ยังรักษายศของตนเอาไว้ได้
เดิมทีเขาเป็ถึงขุนนางขั้นห้า แม้ว่าจะถูกเนรเทศให้มาทำงานที่นี่ ดำรงตำแหน่งข้าหลวงอำเภอิเหอ…อืม ย่อมสามารถจัดการได้ทั้งทุ่งหญ้าเลยกระมัง
จ้งจื๋อยามได้ยินยามว่าตนถูกแต่งตั้งก็แทบจะร้องไห้ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ข้าหลวงอำเภอิเหอ ตำแหน่งนี้อาจจะฟังดูไม่มงคลเท่าใดนัก ฟังแล้วก็ราวกับส่งเขาไปยมโลกก็ไม่ปาน
แม้จะไม่ยินยอมสักเท่าใด แต่พระบัญชาของฝ่าาก็มิอาจขัดขืน
เขาจึงได้แต่เก็บสัมภาระให้เรียบร้อยตามเวลาที่ต้องออกเดินทางไปรับตำแหน่ง
ว่ากันตามขั้นตอนแล้ว เขาจำเป็ต้องผูกมิตรกับขุนนางขั้นสูงกว่าเอาไว้บ้าง
บัดนี้นายอำเภอประจำอำเภอิเหอได้กลายมาเป็ขุนนางในสำนักเชินเสียแล้ว
จ้งจื๋อรู้สึกอึดอัดใจเหลือเกิน เขาเป็ถึงขุนนางขั้นห้า ต้องไปผูกมิตรกับนายอำเภอคนหนึ่งเช่นนี้ ทั้งยังต้องเป็เขาที่ต้องลงมือก่อนด้วย
นี่มันช่าง…
นอกจากราชครูน้อยแล้ว เขานับว่ามีตำแหน่งขุนนางสูงที่สุดในตระกูลจ้งแล้ว ตระกูลจ้งมีเพียงบรรดาศักดิ์ที่กลวงเปล่า ดังนั้นเพื่อทั้งตระกูล เขาจึงได้แต่กัดฟันกลั้นใจกลืนความขมขื่นลงคอไปเท่านั้น
สำนักเชินอยู่อีกไม่ไกล
สำนักเชินตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดของเมืองหลวง
เื้ัมีูเางามแปลกตา ทิวเขายาวเชื่อมต่อกัน ด้านหน้ายังมีธารน้ำไหลเอื่อยตัดผ่าน ผ่านลำธารไปก็จะเป็ถนนที่คึกคักตลอดปี
ทำให้สำนักแห่งนี้ราวกับเป็ความสงบที่อยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย
จ้งจื๋อแวะไปเยี่ยมเยียนท่านผู้ดูแลบัณฑิตเฉิน ขณะเดียวกันก็ถือว่าเป็การทำการบ้านไปด้วย ด้วย่นี้ชื่อเสียงของใต้เท้าเฉินในเมืองหลวงแทบจะเทียบเท่าองค์หญิงเสียแล้ว
แม้ว่าความนิยมเช่นนี้ไม่นานก็คงจะค่อยๆ ลดลง
ด้วยเพราะเขาจะต้องไปประจำการที่อำเภอิเหอ ในหลายวันนี้จึงจำเป็ต้องตั้งใจศึกษาข้อมูลของที่นั่นให้มากหน่อย
ไม่คาดคิดว่าท่านผู้ดูแลบัณฑิตเฉินคนนี้ไม่เพียงแต่จะเป็วีรบุรุษ ทั้งยังนับว่าเป็คนเก่งคนหนึ่ง
อำเภอิเหอในไม่กี่ปีมานี้ จากอำเภอเล็กๆ บนทุ่งหญ้ารกร้างแสนไกล สามารถพัฒนาจนเป็เขตการค้าสำคัญ ภาษีทุกปีก็ไม่น้อยไปกว่าเมืองอันเจริญรอบๆ เมืองหลวง
หากมิใช่ว่ากองทัพจิงบุกมาละก็ เกรงว่าปีหน้าอำเภอิเหอคงได้กลายเป็ดาวเด่นดวงใหม่ของราชสำนักอย่างแน่นอน
ขุนนางในราชสำนักจำนวนไม่น้อยย่อมต้องแย่งกันไปประจำการ เพียงเท่านี้ตำแหน่งนี้คงไม่มีทางจะตกมาถึงเขา
ยามนี้ให้ตบให้ตีก็ยังไม่ได้ตำแหน่งนี้อยู่ดี เพราะมันได้ตกมาอยู่กับคนดวงซวยเช่นเขาแล้ว
จ้งจื๋อรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้ากรามชัดคมสัน ผมยาวดกดำ มองเพียงภายนอกก็ยังนับว่าดูดีนัก ทว่าภายในกลับสามัญ อย่างไรก็ไม่อาจต่อกรกับเหล่าจิ้งจอกเฒ่าในราชสำนักได้
จุดเด่นของคนตระกูลจ้งคือรูปลักษณ์น่ามองหมดจด ทั้งร่างเปี่ยมด้วยกลิ่นอายแห่งคุณธรรม
ด้วยเพราะตระกูลจ้งยามเลี้ยงดูจะให้ความสำคัญกับวัยเด็กที่สุด เด็กๆ ที่อายุน้อยกว่าสิบขวบล้วนแต่มีความรู้ เพราะได้รับการดูแลเป็พิเศษ ต่อมาจึงถูกนำตัวเข้าวังไปให้ราชครูดูตัว
ส่วนหลังจากอายุสิบขวบก็สามารถพัฒนาตนเองได้ตามอิสระ
บางทียุคที่ตระกูลจ้งรุ่งเรืองที่สุดก็น่าจะเป็่ที่ราชครูมีอำนาจที่สุด ตระกูลจ้งอาศัยเพียงแค่ราชครูก็นับว่าสุขสบายดีแล้ว ไม่จำเป็ต้องไขว่คว้าตำแหน่งขุนนางอันใดให้เป็ที่เคลือบแคลงใจของเบื้องบน
ทว่ายามนี้ราชครูก็ไม่รู้เป็ตายร้ายดีอยู่ที่ใด
ราชครูคนใหม่ก็ไม่มีแม้แต่เยื่อใยให้ตระกูล จึงมิอาจคาดหวังอันใดได้
ดังนั้นหน้าที่สำคัญในการพัฒนาตระกูลจ้ง หรือกล่าวให้ชัดคือหน้าที่สำคัญในการรักษาตระกูลจ้งเอาไว้ ยามนี้ได้ตกมาเป็หน้าที่ของจ้งจื๋อแล้ว
ดังนั้นฟ้าเพียงเพิ่งจะสาง จ้งจื๋อก็เดินทางปีนเขาขึ้นไปบนสำนักเชินแล้ว
ไม่ใช่ว่าสำนักเชินอยู่สูงจึงทำให้เขาต้องปีนขึ้นไปแต่อย่างใด เพียงแต่เ้าคนโชคร้ายท่านผู้ดูแลบัณฑิตเฉินไปพักอยู่บนที่สูงต่างหาก
ตาแก่นั่นกล่าวว่ารอจนเมฆหมอกลับหาย บางทียามนั่งอยู่หน้าประตู อาจจะพอให้มองเห็นดินแดนห่างไกลแห่งนั้น
ไม่มีใครกล้าตำหนิความเพ้อเจ้อของเขา เพราะเขามีคุณสมบัติที่จะทำเช่นนั้นได้
ดังนั้นจ้งจื๋อจึงได้แต่ค่อยๆ ปีนขึ้นไป
ด้วยเพราะแคว้นเชินยังมีกฎแปลกๆ อยู่คือ ยามเข้ามาในสำนักการศึกษาแล้วไม่อาจใช้รถม้าได้ ต่อให้เป็ขุนนางใหญ่โตขนาดไหนก็ไม่สน กระทั่งฮ่องเต้เองก็ยังต้องเดินเองเท่านั้น
หรือกระทั่งขี่ม้าก็ยังต้องลงจากม้าั้แ่หน้าประตูทางขึ้นูเา ทว่าหากจะอยากขี่ม้าต่อก็ย่อมได้ เพียงแต่เส้นทางขึ้นเขาที่แสนจะขรุขระนี้ ม้าจะสามารถเดินขึ้นมาได้หรือไม่
จ้งจื๋อเหนื่อยหอบเสียจนแทบขาดใจ เสียงหายใจถี่กระชั้น ในที่สุดเขาก็มาถึงหอพักบนูเาที่อยู่สูงที่สุดบนูเาลูกนี้แล้ว
ยังดีที่ไม่ใช่กระท่อมมุงหญ้าคา แต่เป็กระท่อมไม้หลังหนึ่ง
ทุกวันนี้กวีผู้ลือนามอย่างท่านผู้ดูแลบัณฑิตเฉิน หากจะอาศัยอยู่ในกระท่อมมุงหญ้าคาก็ยังเป็เื่ที่เข้าใจได้
จ้งจื๋อได้เตรียมพร้อมสำหรับเื่ที่เลวร้ายที่สุดไปแล้ว
ไม่คาดคิดว่าเมื่อมาถึงบนูเาแล้วจะมีกระท่อมหลังน้อยอยู่
ด้วยชื่อเสียงของใต้เท้าเฉินที่เลื่องลือไปทั่วทั้งใต้หล้า ยามนี้สวมชุดกันฝนที่ทำจากหญ้าหนวดักำลังก้มหน้าก้มตาลงปลูกผัก
ข้างกระท่อมไม้มีแปลงผักเล็กๆ ขุดหลุมไว้เรียงยาวเป็แถว
ท่านผู้ดูแลบัณฑิตเฉินยังเลี้ยงสุนัขไว้ตัวหนึ่ง
ยามจ้งจื๋อมาถึง มันก็ไม่ได้ต้อนรับขับสู้แต่อย่างใด กลับกระโจนออกมาแล้วเห่าเสียงดัง “โฮ่งๆๆ”
ใต้เท้าเฉินที่กำลังก้มหน้าก้มตาปลูกผักอยู่ เมื่อได้ยินเสียงสุนัขที่เลี้ยงไว้เห่าขึ้นก็หมุนกายกลับมามอง
เมื่อเขาเห็นใต้เท้าจ้งที่ใบหน้าแดงก่ำ ผมเผ้าเปียกชื้นด้วยไอหมอก ก็ไม่ได้ใแต่อย่างไร
“ใต้เท้าเฉินมาแล้ว บ้านของข้าซอมซ่อนัก ท่านนั่งก่อนเถิด ข้าจะไปต้มชามาให้”
จ้งจื๋อเห็นชายชราเดินลับหายเข้าไปในเรือนเพื่อต้มชา เขายืนอยู่ด้านนอก มองโต๊ะหินข้างแปลงผัก ข้างๆ กันนั้นยังมีเก้าอี้ไม้ไผ่ แม้จะดูง่ายๆ แต่ก็เป็ธรรมชาติดี เพียงแต่น่าจะไม่ค่อยแข็งแรงนัก
เขาค่อยๆ นั่งลงอย่างระมัดระวัง ได้ยินเสียงเก้าอี้ไม้ไผ่ลั่นดัง “เอี๊ยด” ก็ใขึ้นมา
“ไม่เป็ไร เ้าเก้าอี้ตัวนี้ถึงจะส่งเสียงไปบ้าง แต่ก็ยังใช้งานได้อยู่ บนเขาหมอกหนายิ่งนัก จึงได้ชื้นเหลือเกิน เก้าอี้ไม้ไผ่ไม่เลวนัก ข้าเองก็เพิ่งกลับมาจากบ้านป่าเมืองเถื่อน จึงยังไม่ค่อยคุ้นชินนัก” ใต้เท้าเฉินมือหนึ่งถือกาน้ำชา อีกมือก็ถือถ้วยชาสีขาว ก่อนจะเทชาร้อนใส่ถ้วย
จากนั้นจึงผลักถ้วยมาตรงหน้าจ้งจื๋อ
จ้งจื๋อนึกตำหนิอยู่ในใจ ใต้เท้าเฉินนี่ก็ช่างไม่ใส่ใจเอาเสียเลย หรือปัญญาชนจะต้มชาไม่เป็กัน แม้เขาจะค่อยดื่มชาเท่าใดนัก แต่ยามอยู่บนูเาสูง มีหมอกครึ้ม เก้าอี้ไม้ และโต๊ะหินเช่นนี้ มิใช่เหมาะแก่การดื่มชาร้อนและสนทนากันที่สุดหรือ
ทว่ายามเขาเห็นว่าชายชราตรงหน้าเทชาให้เขาถ้วยหนึ่งเช่นนี้ เขาที่นั่งอยู่ตรงหน้าก็ส่งเสียง “หึ” ออกมาครั้งหนึ่ง
“น้ำบนเขารสชาติหวานนัก ชาชนิดนี้เป็ชาที่เด็กบนทุ่งหญ้าคนหนึ่งเป็คนคิดค้น รสชาติดียิ่ง ใต้เท้าจ้งสามารถลองดูได้”
จ้งจื๋อได้ยินเช่นนั้น ต่อให้รสชาติแย่ก็ยังต้องแสร้งยกจอกขึ้นมา
ทว่าสุดท้ายเขาก็ดื่มมันลงไปจริงๆ
ถ้วยกระเบื้องสีขาว ก้นถ้วยยังมีกากชาอยู่เล็กน้อย เป็ชาสีแดงอ่อนๆ
เหนือถ้วยยังมีไอร้อนลอยกรุ่น
รสชาติฝาดเล็กน้อย ขมนิดหน่อยจนเขาต้องขมวดคิ้ว คิ้วที่ผูกกันเป็ปมยังไม่ทันคลาย รสขมฝาดเมื่อครู่ก็เปลี่ยนเป็หวานเสียแล้ว
หวานสดชื่น ความหอมของชาค่อยๆ ตีขึ้นมาเป็ระลอก
ถ้วยชาที่ไร้น้ำชาค่อยๆ เย็นลง ทว่าความหอมของมันยังคงอยู่ ทั้งยังเข้มข้นกว่าในตอนแรกเสียด้วยซ้ำ
เป็กลิ่นหอมของดอกไม้ผสมกับกลิ่นหอมของชา กลิ่นของมันเมื่อดมแล้วก็ยากจะลืมเลือน
เนิ่นนานนักกว่าจ้งจื๋อจะวางถ้วยชาลง ก่อนจะมองใต้เท้าแล้วลุกขึ้นยืน ประสานมือคารวะชายชราตรงหน้าอีกครั้ง
“ใต้เท้าเฉิน จ้งจื๋อกำลังจะไปประจำการที่ทุ่งหญ้าห่างไกล ใต้เท้ามีสิ่งใดอยากจะกำชับผู้น้อยหรือไม่ ผู้น้อยจะจดจำไว้ในใจ ไม่ลืมเลือน”
