หลังหนานกงอี้จือจากไป อวิ๋นซื่อก็หัวเราะเยาะไปยังทิศทางของเขาครั้งหนึ่ง พูดด้วยความโมโหว่า “เ้าเด็กคนนั้นก็เป็เช่นนี้ ทำให้เ้าต้องเห็นเื่ตลกแล้ว”
หลิงมู่เอ๋อร์ส่ายหน้า “นิสัยของซื่อจื่อตรงไปตรงมา ข้าจะหัวเราะเยาะเขาได้อย่างไร? ทว่า ด้วยฐานะซื่อจื่อของจวนโหว ลักษณะนิสัยของคุณชายหนานกงกลับพิเศษจริง ๆ ”
“เฮ้อ หากเป็ไปได้ ข้าก็ไม่อยากให้เขาเป็ซื่อจื่อนี่จริง ๆ ซื่อจื่อของจวนโหว ภายหน้าต้องสืบทอดจวนโหว ดูเหมือนโชติ่เจิดจรัส แต่เ้ารู้ถึงอันตรายที่อยู่ภายในหรือไม่? เด็กคนนั้นเป็ม้าป่าตัวหนึ่ง เขาอยากมีชีวิตเช่นหนุ่มสาวในยุทธจักรมากกว่า เสียดายที่เขาเกิดผิดท้อง มาอยู่ในตระกูลใหญ่เช่นตระกูลโหวของพวกเรา” อวิ๋นซื่อพูดอย่างปวดใจสองสามคำ ยกชาที่ด้านข้างขึ้นมาอำพรางความหม่นหมองในดวงตา นางดื่มชาปรับอารมณ์อยู่ครู่หนึ่งก็กลับเป็เช่นเดิม
“ที่ฟูเหรินเรียกข้ามา เป็เพราะพี่ใหญ่หรือเ้าคะ?” หลิงมู่เอ๋อร์มองอวิ๋นซื่อ แท้จริงแล้วข้าไม่รู้เื่ของพี่ใหญ่ ในยามที่ข้ารู้จักเขานั้น เขาเป็เพียงนายพรานผู้หนึ่ง บ้านของพวกเรายากจน เขาได้ช่วยเหลือบ้านของพวกเรา ในยามที่พวกเราถูกคนรังแก เขาก็จะยื่นมือมาช่วยเหลือเช่นกัน ในสายตาของข้า เขาก็คือพี่ใหญ่ที่ดีผู้หนึ่ง เพียงนี้เท่านั้น!”
อวิ๋นซื่อมองหลิงมู่เอ๋อร์ ตบมือของนางเบา ๆ “ข้าไม่เคยสงสัยในเจตนาของเ้า เพียงแต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา เฉินเอ๋อร์ไม่เคยเข้าใกล้ผู้หญิงมาก่อน ดังนั้น ข้าจึงอยากเห็นว่าเ้าเป็คนเช่นไร พี่สาวคนนั้นของข้าจากไปเร็ว เขาอยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยว ทั้งในใจก็มีความแค้นของตระกูล ข้าสงสารเขามากจริง ๆ เพียงอยากให้ข้างกายของเขามีผู้ที่คอยดูแลห่วงใย รู้ร้อนรู้หนาว”
แก้มของหลิงมู่เอ๋อร์แดงขึ้นมา ยิ้มอย่างกระดาก “ฟูเหรินเข้าใจสิ่งใดผิดหรือไม่? ความสัมพันธ์ของข้าและเขาไม่ใช่อย่างที่ท่านคิด พวกเราเป็เพียงพี่ชายและน้องสาวเท่านั้นเ้าค่ะ”
อวิ๋นซื่อใช้น้ำเสียงของผู้ที่ผ่านประสบการณ์มาก่อนกล่าวว่า “เป็เพียงพี่น้องบุญธรรม ไม่ใช่พี่น้องแท้ ๆ เสียหน่อย ขอเพียงพวกเ้าทั้งสองมีใจ ก็สามารถเปลี่ยนความสัมพันธ์ได้มิใช่หรือ!”
“ฟูเหรินไม่รู้สึกว่าข้าอาจเอื้อมหรือเ้าคะ? ข้าเป็เพียงหญิงสามัญชนตัวเล็ก ๆ ผู้หนึ่งเท่านั้น บัดนี้ยิ่งทำงานเป็แพทย์ ทุกวันออกไปเปิดเผยตัวอยู่ภายนอก แม่ผัวในครอบครัวทั่วไปไม่ชอบสะใภ้เช่นข้า ในความเป็จริงแล้ว แต่ไรมา ข้าก็ไม่ปรารถนาที่จะแต่งเข้าตระกูลสูงศักดิ์ หากมีวันใดที่ข้าได้พบคนที่ดี ก็อยากจะมีชีวิตที่ธรรมดาเ้าค่ะ”
“หุหุ…ทุกเื่ของเ้านั้น ข้าได้ส่งคนไปสืบข่าวมาหมดแล้ว พูดตามตรง ในตอนที่เ้ายังไม่มา ข้าก็ชอบเ้ามากแล้ว ในยามที่ข้ายังเยาว์วัยก็มีนิสัยเช่นเ้า ที่พวกหนอนหนังสือพูดเื่ พวกสามเชื่อฟังสี่คุณธรรม[1]อะไรพวกนั้น ในสายตาของเหล่าเหนียง ก็คือการผายลม อีกอย่าง บิดามารดาของเฉินเอ๋อร์ไม่อยู่แล้ว ทั้งบ้านเหลือเพียงเขาคนเดียว หากพวกเ้าแต่งงานกัน ก็สามารถใช้ชีวิตของตนเองได้ แม้ข้าจะเป็ท่านน้าของเขา แต่ก็จะไม่ไปบังคับกะเกณฑ์การใช้ชีวิตเขา เ้าไม่ต้องกลัวว่าจะมีคนมาบีบบังคับเ้า แน่นอนว่า ด้วยลักษณะนิสัยของเ้าแล้ว คิดว่า ย่อมไม่มีผู้ใดมาบีบบังคับเ้าได้ ข้ามิได้พูดผิดใช่หรือไม่?” อวิ๋นซื่อมองหลิงมู่เอ๋อร์อย่างซุกซน
ไม่อาจไม่พูดว่า อวิ๋นซื่อพูดได้ตรงใจนางมาก ทว่า นางกับซั่งกวนเซ่าเฉินยังไม่ถึงจุดนั้น หากมีวันนั้นจริงล่ะก็ ซั่งกวนเซ่าเฉินก็ถือได้ว่าเป็คู่ที่ไม่เลว นางสามารถนำมาพิจารณาได้จริง ๆ
ความคิดของหลิงมู่เอ๋อร์ในตอนนี้สับสนเล็กน้อย ความรังเกียจของฟูเหรินผู้เฒ่าแห่งตระกูลซูที่มีต่อนาง ทำให้ในใจของนางปกคลุมไปด้วยความเ็า เดิมความประทับใจที่มีต่อซูเช่อยังไม่เลว แต่บัดนี้ ได้ลดลงไปหลายส่วน ทว่า นี่เพียงไม่นานเท่าใด อวิ๋นซื่อก็แสดงความไมตรีต่อนาง ในคำพูดทั้งทางตรงและทางอ้อมต่างเผยถึงความพึงพอใจในตัวนาง มิอาจไม่พูดว่า อวิ๋นซื่อเป็คนแบบที่นางชอบจริง ๆ
ต่างเป็ตระกูลใหญ่เช่นกัน สูงศักดิ์เหนือผู้คน ทว่าท่าทีของพวกเขากลับมอบความรู้สึกที่แตกต่างกันให้แก่นาง
อวิ๋นซื่อไม่กดดันนางอีก เื่ประเภทนี้มิอาจรีบร้อน นางมีนิสัยเปิดเผย ต่อหน้าหลิงมู่เอ๋อร์ไม่มีการปิดบังใด ๆ ในราตรีนั้น คนทั้งสองดื่มสุราไปไม่น้อย ใน่แรก หลิงมู่เอ๋อร์ยังโน้มน้าวให้อวิ๋นซื่อดื่มน้อยลง ทว่าเมื่อเห็นอวิ๋นซื่อองอาจผ่าเผยเช่นนั้น ก็กระตุ้นอารมณ์ในตัวนาง ทั่วทั้งร่างก็เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ขึ้นมา
“์…” หนานกงอี้จือมองหญิงทั้งสองนางที่ล้มอยู่บนพื้น เผยรอยยิ้มที่เป็ทุกข์ออกมา โชคดีที่หญิงผู้นี้ไม่ใช่ภรรยาที่หาไว้ให้เขา หากแต่งกับสตรีเช่นนี้จริง นางกับท่านแม่ของข้ากลายเป็แม่ผัวลูกสะใภ้กัน แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว สตรีที่ยากฝึกฝนเช่นนี้ ยังคงมอบให้ญาติผู้พี่จะดีกว่า!
“ซื่อจื่อ บ่าวจะประคองฟูเหรินกลับห้อง ทว่า แม่นางหลิงท่านนี้…” สาวใช้นางนั้น เป็หญิงรับใช้ประจำตัวของอวิ๋นซื่อ บัดนี้ เมื่อเห็นหลิงมู่เอ๋อร์ก็รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย
หนานกงอี้จือเหลือบตามองสาวใช้นางนั้นทีหนึ่ง “ข้าส่งท่านแม่ของข้ากลับห้อง เ้า…เ้าส่งแม่นางท่านนี้ไปพักผ่อนที่ห้องรับแขก จากนั้นส่งคนไปแจ้งคนในครอบครัวของนางสักครั้ง”
สาวใช้ไม่รู้เื่ นางคิดว่านี่เป็การเตรียมการให้หนานกงอี้จือ เมื่อได้ยินคำพูดของหนานกงอี้จือ สาวใช้ก็อดมองเขาครั้งหนึ่งไม่ได้ เห็นเพียงบนใบหน้าของหนานกงอี้จือเผยความกลัดกลุ้มออกมา สาวใช้คิดว่า เขาไม่ชอบที่คนทั้งสองดื่มสุรา แต่กลับมิได้คิดในด้านอื่น
่เวลากลางดึก หลิงมู่เอ่อร์ตื่นขึ้นมาบนเตียง นางมองห้องที่ไม่คุ้นเคย ก็ระมัดระวังตัวขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ นางพลิกตัวลุกจากเตียง รู้สึกวิงเวียนขึ้นมาระลอกหนึ่ง
“ที่นี่คือ…” หลิงมู่เอ๋อร์คิด ในที่สุดก็นึกออกแล้ว นางกล่าวอย่างทำอะไรไม่ได้ว่า “ดูไปแล้ว ที่นี่น่าจะเป็ห้องรับรองแขกของจวนโหว”
เมื่อครู่ดื่มสุรามากเกินไป ตอนนี้ปากลิ้นแห้งไปหมด หยิบน้ำพุิญญาจากในมิติมาดื่มลงไป สติพลันแจ่มใสขึ้นมาก ความรุ่มร้อนภายในร่างก็จางลงไปไม่น้อย
ทว่า แต่ไรมานางก็พิถีพิถัน บัดนี้มาอยู่ในสถานที่ไม่คุ้นเคย ยามหลับไปก็ไม่พูดถึง แต่เมื่อตื่นขึ้นมาแล้ว ก็มิอาจนอนหลับไปได้อีก
เปิดประตู มองจันทราสีเงินที่อยู่ภายนอก แสงจันทร์ในคืนนี้ไม่เลว ทั่วทั้งสี่ทิศล้วนเงียบสงัด ราวกับจะได้ยินเสียงตีบอกโมงยามอย่างเลือนราง
หลิงมู่เอ๋อร์กำลังลังเลว่าจะกลับบ้านหรือไม่ ตอนนี้ดึกมากแล้ว หากจากไปโดยไม่บอกกล่าว ก็จะเสียมารยาทอยู่บ้าง ทว่าหากไม่กลับบ้าน นางก็นอนไม่หลับแล้ว
ปึง! ในตอนที่หันกลับไปนั้น เงาร่างหนึ่งก็ชนเข้ามา ร่างของหลิงมู่เอ๋อร์ล้มไปด้านหลัง ที่ตามมาคือมือใหญ่ข้างหนึ่งโอบอุ้มเอวของนางไว้ ดึงนางขึ้นมา
“ขอโทษด้วย” เสียงทุ้มต่ำเสียงหนึ่งลอยเข้ามาในหูของนาง
เสียงนั้นทุ้มต่ำแหบพร่าและดึงดูด ไพเราะเป็พิเศษ ในคืนอันเงียบสงัด น้ำเสียงชัดเจนถึงเพียงนั้น ทำให้หูของนางสั่นไหว หัวใจก็เต้นระส่ำไม่เป็จังหวะขึ้นมา
เงยหน้ามองชายที่อยู่เบื้องหน้า แก้มของหลิงมู่เอ๋อร์ก็แดงในทันที เรียกอย่างลองเชิงว่า “พี่ใหญ่?”
ไม่ผิด! ชายเบื้องหน้าก็คือซั่งกวนเซ่าเฉิน เพียงแต่ซั่งกวนเซ่าเฉินในยามนี้ ตลอดทั้งร่างสวมอาภรณ์งดงามหรูหรา ที่เอวประดับกระบี่พกไว้ ดวงตาของเขาเลื่อนลอย แก้มแดงก่ำ ดูแล้วดื่มสุราไปไม่น้อย
ซั่งกวนเซ่าเฉินได้ยินคำพูดของหลิงมู่เอ๋อร์ ในดวงใจก็อดสั่นไหวไม่ได้ ดวงตาที่เลื่อนลอยนั้นพลันลุ่มลึกขึ้นมา ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความงุนงง “มู่เอ๋อร์?”
หลิงมู่เอ๋อร์ผงกศีรษะเบา ๆ “เป็ข้า เหตุใดท่านจึงดื่มจนเป็เช่นนี้?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินฝืนไม่อยู่นานแล้ว เมื่อได้ยินเสียงของหลิงมู่เอ๋อร์ และยืนยันฐานะของนางแล้ว ตลอดทั้งร่างของเขาก็ผ่อนคลายลง
ร่างล้มไปทางนาง นางรีบประคองเขาไว้ แบกร่างของเขาไว้อย่างกินแรง มองไปรอบทิศ ได้แต่พาเขาเข้าไปในห้องที่พักผ่อนเมื่อครู่
ซั่งกวนเซ่าเฉินนอนลงบนเตียงภายใต้การประคองของนาง
หลิงมู่เอ๋อร์เห็นอาภรณ์ของเขาไม่เป็ระเบียบ เส้นผมก็หลุดลุ่ย นางจึงปลดครอบเกี้ยวหยกบนผมของเขาลงมา ปล่อยผมดำทั่วทั้งศีรษะของเขาให้สยายออก เช่นนี้จึงจะสบายขึ้นบ้าง
มือน้อยนั้นลูบไล้ผมของเขาเบา ๆ ซั่งกวนเซ่าเฉินรู้สึกเพียงว่า ในบริเวณที่ว่างเปล่าไปมากนั้นได้รับการเติมเต็มแล้ว เขาจับมือของนางมาวางไว้บนใบหน้าของตน
“มู่เอ๋อร์?” เสียงนี้แฝงด้วยความไม่มั่นใจ ราวกับกำลังลองเชิงบางสิ่ง “เ้ามาเมืองหลวงั้แ่เมื่อใด? เหตุใดจึงไม่มาหาข้า?”
หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกเพียงว่าฝ่ามือแผดเผาร้อนถึงเพียงนั้น นางดึงกลับมา แต่กลับไม่อาจรั้งกลับมาได้ เห็นคนผู้นี้เมามายจนไม่มีสติ กลัวว่า แม้แต่ตัวเขาก็ไม่รู้ว่าพูดอะไร นางได้แต่นั่งลงด้านข้าง เข้าใกล้เขากล่าวว่า “ข้าพึ่งมาถึงได้ไม่นาน ที่จริงแล้วมีครั้งหนึ่งที่เห็นท่านบนถนนใหญ่ เพียงแต่ถูกควบม้าผ่านไป”
“อื้ม” ซั่งกวนเซ่าเฉินไม่พูดอะไรอีก ในสมองของเขาบัดนี้ขาวโพลนไปหมด นึกอะไรไม่ออกแล้ว
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่พูดอะไรอีก จนกระทั่งซั่งกวนเซ่าเฉินหลับลึกไป นางจึงดึงมือของตนออกมา
ขยับข้อมือที่เ็ป มองชายที่อยู่เบื้องหน้า คลุมผ้าห่มให้เขา เวลานี้ความง่วงงุนพลันเข้าจู่โจม นางจึงฟุบลงข้างกายเขาเสียเลย
เพล้ง! มีเสียงดังกระจายมาจากที่ประตู
หลิงมู่เอ๋อร์ได้ยินเสียงก็ลืมตาขึ้นโดยสัญชาตญาณ สิ่งที่เข้ามาในดวงตาเป็สิ่งแรก คือดวงตาลุ่มลึกที่พึ่งเปิดขึ้นเช่นเดียวกับนาง
คนทั้งสองตกตะลึงไปพร้อมกัน จากนั้นก็ค่อนข้างจะกระดากใจแล้ว
หลิงมู่เอ๋อร์แสร้งสะบัดมืออย่างไร้เื่ราว มองสาวใช้ที่อยู่หน้าประตู นางกล่าวอย่างสงบว่า “ตระหนกอะไรกัน?”
สาวใช้ใบหน้าแดงระเรื่อ พูดในใจว่า “ท่านถึงขนาดอาศัยอยู่กับผู้ชายในห้องแล้ว ยังไม่อนุญาตให้คนใอีกหรือ”
แต่ว่า แม่นางผู้นี้ไม่ใช่ผู้ที่ซื่อจือต้องตาหรือ? เหตุใดจึงมาเกี่ยวพันกับคุณชายซึ่งเป็ญาติผู้พี่ได้ ? หรือว่านางเหยียบเรือสองแคม?
เมื่อคิดถึงจุดนี้ สีหน้าของสาวใช้ตัวน้อยก็ไม่พอใจต่อความอยุติธรรมขึ้นมาเล็กน้อย ไม่อาจไม่พูดว่า สมองของสาวน้อยคนนี้ ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่
“มู่เอ๋อร์น้อย หลับเป็อย่างไรบ้าง?” เสียงร่าเริงเสียงหนึ่งลอยมาจากทางประตู คนผู้นั้นยืนอย่างมั่นคงอยู่ที่ประตู ในยามที่เห็นคนทั้งสองที่อยู่ด้านในนั้น ก็พลันเงียบขรึมลง
หลิงมู่เอ๋อร์สีหน้าแข็งค้าง พลันลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ทว่า นางลุกขึ้นอย่างเร่งร้อนเกินไป ร่างจึงพุ่งไปด้านหน้า มือข้างหนึ่งโอบนางไว้และดึงนางขึ้นมา
คนทั้งสองแนบชิดอยู่ด้วยกัน พวกเขาสามารถรับรู้ถึงลมหายใจของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน รวมไปถึงอุณหภูมิร่างกายของอีกฝ่ายด้วย
เมื่อคืนแสงสว่างมืดครึ้มเกินไป พวกเขาต่างมิได้เห็นอีกฝ่ายอย่างชัดเจน โดยเฉพาะซั่งกวนเซ่าเฉิน เขาดื่มจนมึนเมา ความทรงจำก็เปลี่ยนเป็เลือนราง บัดนี้ เมื่อเห็นสาวน้อยเบื้องหน้าในระยะประชิด จึงพบว่านางเปลี่ยนไปมาก รูปลักษณ์ที่เคยผอมเล็กดั่งเมล็ดถั่ว บัดนี้ได้เปลี่ยนเป็งดงามอรชรแล้ว
“เฉินเอ๋อร์ หากยังกอดไม่พอ มิสู้แต่งกลับบ้านไปค่อย ๆ กอดเถิด?” เสียงเล็ก ๆ ของอวิ๋นซื่อดังมา
สายตาของซั่งกวนเซ่าเฉินเต็มไปด้วยอารมณ์ ไม่หลบเลี่ยงการมองสำรวจของหลิงมู่เอ๋อร์เลยแม้แต่น้อย แม้อวิ๋นซื่อจะเย้าแหย่พวกเขาเช่นนี้ เขาก็มิได้ประหม่า แต่กลับปล่อยนางออกอย่างสงบมาก
“เมื่อคืนข้าดื่มจนเมามายแล้ว” ซั่งกวนเซ่าเฉินอธิบายกับอวิ๋นซื่อ “มู่เอ๋อร์ยกเตียงให้ข้า นางฟุบไปตลอดคืน ท่านน้า ข้าไม่อยากได้ยินสิ่งที่ไม่ควรได้ยิน มู่เอ๋อร์เป็เด็กสาวที่ดี ข้าไม่อนุญาตให้ผู้ใดมารังแกนาง”
อวิ๋นซื่อพูดอย่างยิ้มแย้มว่า “เมื่อครู่เกิดสิ่งใดขึ้นหรือ? เหตุใดข้าจึงไม่รู้อะไรเลย? เสี่ยวเจวียนเ้ารู้หรือไม่?”
สาวใช้ที่อยู่ด้านข้างรีบกล่าวว่า “บ่าวไม่เห็นสิ่งใดทั้งนั้น ไม่ทราบสิ่งใดทั้งสิ้นเ้าค่ะ”
[1] สามเชื่อฟังสี่คุณธรรม คือ เป็กรอบความคิดที่ใช้อบรมสตรีในสมัยโบราณ สามเชื่อฟังคือ ก่อนออกเรือนเชื่อฟังบิดา แต่งงานแล้วเชื่อฟังสามี ยามสามีเสียชีวิตให้เชื่อฟังบุตรชาย ส่วนสี่คุณธรรมหมายถึง สตรีที่ดีงามควรประกอบไปด้วยคุณสมบัติสี่ประการคือ มีคุณธรรมที่ดี มีมธุรสวาจา แต่กายเรียบร้อย และขยันงานบ้านงานเรือน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้