ทว่า ชายคนนั้นจะตายหรืออยู่ ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเ่ิู
เื่ที่เ่ิูอยากรู้ก็คือ ทำไมท่านชายหลิวต้องบอกเล่าเื่ราวนี้ให้เขาฟังมากเพียงนี้
ตัวเป็ถึงเสนาธิการและฝ่ายวางแผนของสำนักเ้าด่าน ภาระของท่านชายหลิวอาจใช้เวลาสาธยายทั้งวันก็ยังไม่หมด คนที่สามารถเข้ารับหน้าที่ในหอบัญชาการได้ ย่อมต้องได้รับความไว้วางใจจากเทพาลู่เฉาเกอ แล้วคราวนี้ทั้งกองทัพยังทุ่มเทสุดกำลังเพื่อจะปราบบุรุษผู้นั้นให้ราบคาบ ว่ากันตามเหตุผลแล้ว ตอนนี้ท่านชายหลิวควรจะยุ่งจนหัวหมุนเสียมากกว่า แต่กลับมานั่งพูดกับเขายาวๆ บนเรือเหาะอักขระที่ไม่รู้จะเหาะไปไหนลำนี้เสียอย่างนั้น...
เ่ิูไม่คิดว่าเป็เพราะท่านชายหลิวพักจนเมื่อย เบื่อจัดจนไม่มีอะไรจะทำจึงมาฆ่าเวลากับเขา
บัณฑิตเฉกเช่นท่านชายหลิว ไม่รู้ว่าในพริบตาเดียวนี้จะมีแผนการกี่อย่างแลบแล่นขึ้นมาในหัว
ทุกเื่ที่เขากระทำ ทุกคำที่เขาพูด ล้วนมีเป้าหมายที่ชัดเจนและตรงไปตรงมา
เช่นนั้นตอนนี้ เป้าหมายของเขาคืออะไรกันเล่า?
เ่ิูนิ่งไปพักหนึ่งค่อยเงยหน้าถาม “เช่นนั้นที่พวกเราเหาะลับๆ ล่อๆ มานาน ทะลวงเข้าอาณาเขตของเผ่าปีศาจ หลบหลีกป้อมกับหน่วยลาดตระเวนของเผ่าปีศาจอย่างระแวดระวังมาตลอดทาง แอบซ่อนอยู่ในกลีบเมฆเช่นนี้เพื่ออะไรกันเล่า? หรือเป็เพราะอยากลอบโจมตีชายคนนั้น?”
ท่านชายหลิวยิ้ม
“ไม่ใช่อยู่แล้ว ไม่ใช่เพราะข้าดูถูกตัวเองหรอกนะ แต่พลังของคนๆ นั้นน่ากลัวขนาดไหน ทั้งกองทัพด่านโยวเยี่ยน นอกจากท่านเ้าด่านลู่และคนน้อยคนที่เอาชนะเขาได้แล้ว การจะหาคนที่ประจันหน้ากับเขา ถูกโจมตีสิบครั้งแล้วยังรอดได้นั้นยากมาก พวกเราทั้งหมดบนเรือเหาะอักขระลำนี้ ต่อให้รวมพลังกันก็อาจถูกคนๆ นั้นะเิเละได้โดยการกระดิกนิ้วเดียว อย่าพูดเื่ลอบโจมตีเลย แค่โดนเขาจับได้ก็ตายสถานเดียว ใครลอบโจมตีใคร? พวกเราไม่มีปัญญาทำได้อยู่แล้วน่า”
เ่ิูพยักหน้ารับ
เขารู้ว่าสิ่งที่ท่านหลิวว่ามาคือเื่จริง
ความน่ากลัวของบุรุษผู้นั้น จากบทสนทนาสั้นกระชับที่ผ่านมาก็พออนุมานได้
แผนการหลายสิบปีของราชสำนักล้วนไม่อาจบุกสังหาร ไม่สามารถพอจะให้เขาสำแดงพลังที่แท้จริง
ตัวเขาและทุกคนที่อยู่บนเรือเหาะนี้ พอไปอยู่ต่อหน้าคนๆ นั้น น่ากลัวว่าจะเป็ได้แค่ฝูงมด ไม่อาจสร้างภัยคุกคามอะไรได้เลย แม้ว่าคนๆ นั้นจะยืนให้เขาประเคนพลังทุกอย่างเข้าใส่ ตัวเขาคงไม่พ้นถูกปราณคุ้มร่างบุรุษผู้นั้นกระเทือนจนตายทั้งเป็
“เช่นนั้นข้าขอบังอาจถามท่าน พวกเรามาที่นี่เพื่อเหตุใด?” เ่ิูไม่เดาสุ่มอีกต่อไป เขาเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา
ท่านชายหลิวยิ้มอีกรอบ “ภาระรับผิดชอบของพวกเราในคราวนี้ง่ายดายมาก คือมาลอบดูธารน้ำแข็งหิมะ บันทึกสภาพภูมิศาสตร์โดยรอบนี้ให้หมด”
“ท่านหมายความถึง...วาดแผนที่หรือ?” เ่ิูใจเต้น
“เ้าพูดถูกต้อง แต่ไม่ใช่แค่วาดแผนที่เท่านั้น หลายปีมานี้ เพราะการหักหลังของคนๆ นั้น กองทัพชายแดนเหนือของเราถึงตกเป็รองมาโดยตลอด พลังอำนาจไม่มีทางแทรกซึมเข้ามาในทุ่งน้ำแข็งทลายหิมะได้ พวกเราไม่รู้สภาพภูมิศาสตร์ของที่นี่ รวมทั้งระดับปราณิญญาใต้หล้า คราวนี้ที่กองทัพวางแผนจะทำยุทธการกำจัดคนๆ นั้น นอกจากจะได้ฆ่าคนทรยศครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สำเร็จแล้ว ยังหวังว่าจะหยิบยืมโอกาสครานี้เข้าใจภูมิประเทศของทุ่งน้ำแข็งทลายหิมะแห่งนี้ได้ชัดเจน ติดตามดูกำลังทัพกับการวางกำลังทหารของกองพลสู่ทักษิณแห่งนี้ เ้าลองคิดดู รอจนเริ่มเผชิญหน้ากัน กองพลสู่ทักษิณต้องเสร็จเราแน่ บางทีอาจแทรกเข้าไปตอนกำลังอลหม่าน นั่นแหละโอกาสเหมาะของพวกเรา”
ท่านายหลิวอธิบายอย่างใจเย็น
ที่แท้ก็เช่นนี้นี่เอง
เ่ิูเข้าใจแจ่มแจ้งขึ้นมาบ้าง
ยุทธการเดินทัพวายุว่องคราวนี้วางแผนมาอย่างดีจริงแท้
มองอีกด้าน สิ่งนี้ก็สะท้อนความทะเยอทะยานของกองทัพด้วย
ไม่เพียงจะฆ่าคนทรยศเท่านั้น ยังจะทำแผนที่แสดงภูมิประเทศและภูมิศาสตร์ของเขตในความควบคุม เข้าใจการจัดกำลังทหาร...นี่มันเตรียมการเพื่อบุกรุกทุ่งน้ำแข็งทลายหิมะชัดๆ
หรือว่าอาณาจักรจะเตรียมก่อมหาากับเผ่าปีศาจแดนหิมะเป็ครั้งที่สาม?
“หากแผนไม่ผิดพลาด ควรเป็พรุ่งนี้เช้าที่การปะทะซึ่งๆ หน้าจะเริ่มขึ้น ครั้นกองพลสู่ทักษิณตื่นตระหนก คนๆ นั้นจะเข้าสู่สมรภูมิ มันจะติดกับดักที่พวกเราวางเอาไว้ เมื่อมันตาย ทุ่งน้ำแข็งทลายหิมะต้องโกลาหลแน่ ตอนนั้นก็ถึงโอกาสของพวกเราแล้ว” ท่านชายหลิวประดับรอยยิ้มบนใบหน้า ลิ้มรสน้ำชาอย่างแช่มช้า
แม้ว่าเป็บัณฑิต พลังน้อยนิด ทว่าในสถานการณ์อันตราย เขากลับไม่ลนลานเลยแม้แต่น้อย
ความสงบเย็นและจิติญญาที่มั่นคงนี้ชวนให้คนนับถือยิ่งนัก
แม้แต่เด็กหนังสือข้างกายเขาอย่างซิ่งเอ๋อร์ก็มั่นคงราวกับไม่กลัวสิ่งใดเหมือนๆ กัน
เ่ิูดื่มชารวดเดียวสี่ถ้วย
ตอนซิ่งเอ๋อร์ยกชาถ้วยที่ห้าเข้ามานั้นเอง เขาก็ส่ายหน้าปฏิเสธแล้วลุกขึ้นยืน “หากท่านไม่มีสิ่งใดจะกำชับกำชาแล้ว ข้าขอตัว ข้าต้องไปเตรียมตัวสำหรับวันพรุ่งนี้”
ท่านชายหลิวพยักหน้า
ตอนเ่ิูหันหลังเดินออกจากห้องเรือเหาะนั้นเอง หางตาพลันเหลือบเห็นซิ่งเอ๋อร์ ดวงตาโตๆ ของเขาจับจ้องมองเด็กหนุ่มไม่วางตา
...
...
เมื่อมาถึงบนแผงเกราะ
“เอ๋? เปลี่ยนเกราะกันหมดแล้วหรือ?”
เ่ิูค้นพบอย่างไม่คาดฝันว่าเหล่าทหารชุดเกราะบนแผงเกราะเหล่าเดิมล้วนเปลี่ยนเกราะสีเงินเป็เกราะหนังอสูรประหลาดของพวกปีศาจแทน
เกราะปีศาจหนังอสูรนี้ เป็เสื้อเกราะทางการของพลทหารเผ่าปีศาจ ทำขึ้นอย่างสุกเอาเผากิน รูปแบบอ้วนฉุ ใช้ขนและหนังของอสูรร้ายรวมทั้งโลหะแร่ของธารน้ำแข็งแดนหิมะอันสมบูรณ์มาหล่อหลอม แตกต่างกับชุดเกราะของทัพมนุษย์อย่างสิ้นเชิง เต็มเปี่ยมไปด้วยลักษณะทรงพลัง เนื้อเกราะอบอวลด้วยไอปีศาจอ่อนจาง
กระทั่งหลิวจงหยวนแม่ทัพกองโจรยังเปลี่ยนเป็เกราะปีศาจ
“เห็นทีคงเพื่อป้องกันอีกขั้นหนึ่งถึงได้แสร้งปลอมตัวกลายเป็แบบเผ่าปีศาจ เวลาคับขันอาจตบตาผ่านด่านไปได้”
เ่ิูตระหนักเอาเช่นนี้
เขานั่งขัดสมาธิอยู่ที่หัวแผงเกราะนั้น กระตุ้นกำลังภายใน ใช้วิชาลมหายใจไร้ชื่อควบคุมลมหายใจ กำกับสภาวะร่างกายตัวเองไม่หยุดหย่อน เห็นได้ชัดว่าเตรียมตัวเพื่อออกศึกในวันพรุ่งนี้
สามชั่วยามผ่านพ้นไป
มีพลทหารนายหนึ่งเดินถือเกราะปีศาจเข้ามาส่งให้เ่ิู
เ่ิูสวมเกราะศึกอาชาขาวไว้บนร่าง ตามมาด้วยเกราะปีศาจทับไว้อีกชั้น หนังหมีดำบดบังรูปหน้าไว้ครึ่งหนึ่ง ทั่วร่างเต็มไปด้วยไอปีศาจเช่นกลิ่นคาวเืและกลิ่นเหม็นเปรี้ยว หากไม่มองหน้าแล้วไซร้ คงนึกว่าเขาเป็พลทหารปีศาจคนหนึ่ง
ตอนเปลี่ยนเสื้อเกราะนั้นเอง กลางนภาไกลออกไปก็ปรากฏท้องแสงสีขาวผ่องราวกับท้องปลา
รุ่งเช้าวันใหม่กำลังเยื้องกราย
สายลมยามอรุณแตะต้องดวงหน้าราวกับมีดตัด
ท่านชายหลิวเดินออกมาจากตัวเรือเหาะ
ด้านหลังมีซิ่งเอ๋อร์เด็กหนังสือที่เปลี่ยนเป็เกราะปีศาจแล้วเดินตามมา
เขาพยักหน้าทักทายเ่ิู เ่ิูภายใต้ความคุ้มครองจากทหารเกราะชั้นสูงหกนายและแม่ทัพกองโจรหลิวจงหยวนรุกมาจนถึงหัวเรือเหาะ เขายืนไหล่ชนไหล่กับเ่ิู
“จะเริ่มแล้ว!”
เขาชูนิ้วขึ้นมาคำนวณเวลา จากนั้นจึงเงยหน้าไปทางทิศทักษิณ เอื้อนเอ่ยแ่เบา
เอ่ยไม่ทันขาดคำ
ตูม!
คลื่นพลังประหลาดคลับคล้ายจะไม่มีเลือนลั่นอยู่ไกลออกไปทางทิศใต้
ความจริงแล้วจุดที่เ่ิูยืนอยู่นี้ห่างจากจุดศูนย์กลางที่คลื่นพลังปราณะเินั้นมากเสียยิ่งกว่ามาก ปรายตามองไปจนสุดสายก็มองไม่เห็นอะไรผิดแปลก เงี่ยหูฟังก็ไม่ได้ยินเสียงใดๆ ไม่ว่าจะจอมยุทธ์หรือปีศาจหน้าไหนก็ตามแต่ ล้วนรู้สึกถึงคลื่นน่ากลัวในรูปแบบที่ตัวเองยังไม่อาจอธิบายได้
ความรู้สึกที่ได้มานั้น เสมือนอสนีบาตผ่าลงกลางใจ
ราวกับเป็พลังะเืิญญาและประสาท
น่ากลัว!
ยอดยุทธ์!
“ปณิธานวรยุทธ์!”
หลิวจงหยวนที่เงียบมาตลอดทางเปิดปากพูดในที่สุด
“ร้อยลี้ต่อจากนี้ มีผู้แข็งแกร่งระดับอาณาทะเลระทมขึ้นไปลงมืออยู่ เป็แรงปณิธานจิตที่น่าครั่นคร้ามยิ่งนัก”
ใบหน้าของแม่ทัพกองโจรมีแววเลื่อนลอย
ปณิธานวรยุทธ์?
เ่ิูนิ่งจบแล้วก็คิดขึ้นได้
คลื่นพลังประหลาดเมื่อครู่นี้คือปณิธานวรยุทธ์จากจอมยุทธ์นั่นเอง
เขาเคยอ่านเจอที่สำนักกวางขาว คัมภีร์ประวัติศาสตร์เจาะจงเื่ปณิธานนี้โดยเฉพาะ กล่าวกันว่าผู้แข็งแกร่งขั้นสูงสุดแท้จริงนั้น ไม่เพียงจะฝึกฝนพลังปราณและกายเนื้อจนถึงขีดสุดเท่านั้น กระทั่งปณิธานจิตยังเหมือนเหล็กกล้าที่ไม่อาจหักล้าง หลายครั้งเหลือเกินที่แค่คิด ก็มีพลังจิตเฉิดฉายไปทั่วสารทิศ มากพอจะทำให้สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในระยะหลายพันลี้รู้สึกถึงปณิธานที่ไม่อาจสั่นคลอนนี้ ตัวสั่นงันงกราวกับเห็นิญญาศักดิ์สิทธิ์ตัวเป็ๆ
สิ่งที่เรียกว่าปณิธานวรยุทธ์นั้น เ่ิูเคยเห็นแต่ตัวหนังสือ
ตอนนี้ที่เผชิญกับพลังที่ว่าด้วยตัวเองนั้นลึกยิ่งกว่า มันะเืถึงแก่นใจยิ่งกว่าคราไหนๆ
อีกฝ่ายแค่คิดในระยะหลายพันลี้ออกไปกลับทำให้ใจเขากระทบกระเทือนอย่างหนัก น่ากลัวอะไรอย่างนี้
หรือว่าจะเป็ลู่เฉาเกอ?
ตอนที่เ่ิูคลำทางไม่ถูกนี้เอง
ตูม!
คลื่นปณิธานวรยุทธ์กระหน่ำเข้ามาอีกครั้ง
ปณิธานวรยุทธ์ครานี้ไม่เงียบสงบเหมือนคราวแรก แต่แฝงไปด้วยความดุร้ายและจิตสังหารพุ่งสู่เบื้องฟ้า ราวกับทะเลเืคลุมทับลงมาอย่างไรอย่างนั้น
เ่ิูตั้งตัวไม่ทัน เขารู้สึกตามืดบอด ร่างกายสั่นไหว ขาดอีกนิดก็จะร้องลั่นออกมาอยู่แล้ว วินาทีนั้นเขารู้สึกเหมือนจมจ่อมอยู่ในน้ำเื ความกลัวอบอวลทั่วกายอย่างไม่อาจระงับได้ ราวกับว่ามีมัจจุราชปรากฏกายไปหลายสิบเมตร เหมือนถูกสัตว์อสูรดึกดำบรรพ์จดจ้องจะกินเืกินเนื้อ เหงื่อเย็นๆ ผุดจากหน้าผากไม่ได้ขาดสาย...
บนแผงเกราะ
ทหารคนอื่นบางคนะโออกมา
ทหารที่พลังอ่อนที่สุดร้องทุรนทุราย ก่อนล้มหัวคะมำ ถูกจิตสังหารซ่อนเร้นในปณิธานวรยุทธ์ทำใกลัวจนสลบ
กระทั่งหลิวจงหยวนยังส่งเสียงครางต่ำๆ ออกมาอย่างรุนแรง
เห็นได้ชัดว่าได้ผลกระทบจากปณิธานวรยุทธ์นี้อย่างเลี่ยงไม่ได้
ขณะนั้นที่สิ่งมีชีวิตในระยะหลายร้อยลี้ไม่ว่าจะมีสติปัญญาหรือเป็แค่หนอนปลวกไร้สมอง บนท้องนภา ใต้พื้นน้ำแข็ง สิ่งมีชีวิตทุกอย่างล้วนตกตะลึงในปณิธานวรยุทธ์เืร้ายนี้ หวั่นกลัวจนเนื้อตัวสั่นเทาเป็ลูกนก
ชั่วเวลาจุดอัคคีติด เ่ิูเริ่มมีปฏิกิริยา เขานึกบางอย่างออก ลอบส่งเสียงโชคไม่ดีแล้วกระตุ้นกำลังภายในเข้าสกัดหน้าท่านชายหลิวที่อยู่ข้างๆ
ท่านชายหลิวไม่รู้วรยุทธ์ เจอการจู่โจมเช่นนี้เข้าไป มิใช่ว่าจะมีอันตรายถึงชีวิตหรือ?
ทว่าตอนที่เ่ิูเบนหน้าไปมองนั้นเอง กลับพบอย่างตกตะลึงว่าท่านชายหลิวมีหยกอยู่หว่างคิ้ว มันส่องแสงสีเงินอ่อนจาง มีรูปร่างแต่ไร้ตัวตนราวกับโคมไฟมืด ทำลายการโจมตีของปณิธานวรยุทธ์อันน่าครั่นคร้ามสิ้นไป
และซิ่งเอ๋อร์เด็กหนังสือซิ่งยืนข้างท่านชายหลิว ไม่รู้เพราะเหตุใด กลับสีหน้าสงบนิ่ง ราวกับว่าไม่ได้รับผลกระทบจากเกลียวคลื่นอันน่าหวาดหวั่นนี้เลย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้