สิบหมื่นมหาบรรพต ภายในตำหนักมืดสลัวหลังหนึ่ง!
ตำหนักสลัวรางปรากฏเงาร่างสองสายให้เห็นอยู่รำไร หนึ่งในสองกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์สูงทอดตามองคนที่กำลังหมอบอยู่ตรงพื้นอย่างเหนือกว่า
“มารอริยะ ฮ่า ฮ่าฮ่า แผนการฝันเฟื่องของเ้าถูกทำลายลงอย่างไม่เป็ท่า! พรรคเทพหมาป่า์ต่างอยู่รอดปลอดภัย พวกที่เ้าส่งไปแฝงตัวไว้ต่างก็ถูกกวาดล้างจนเหี้ยน ฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! แค่กๆ!” บุคคลที่หมอบอยู่บนพื้นเอ่ยออกมาด้วยเสียงแหบพร่า
มารอริยะบนบัลลังก์ทอดตามองบุคคลที่หมอบอยู่บนพื้น แต่แล้วกลับยิ้มเย็นออกมา “แผนล้างบางพรรคเทพหมาป่า์? ล้มเหลว? ใช่ว่าจะเป็อย่างนั้นเสมอไป!”
“มารสูงหนึ่งฉื่อ เต๋าสูงหนึ่งจั้ง! อธรรมไม่อาจเอาชนะธรรมะ! ความล้มเหลวของเ้าเป็เพียงจุดเริ่มต้น อีกไม่นานฝ่ายธรรมะก็จะกวาดล้างมารอสูรให้หมดไปจากสิบหมื่นมหาบรรพตแล้ว!” บุคคลที่หมอบอยู่บนพื้นเอ่ยออกมาอีกครั้ง
เสียงของคนผู้นั้นแหบพร่า ฟังไม่ออกว่าเป็ชายหรือหญิง ราวกับว่าได้รับาเ็อย่างรุนแรงจนเส้นเสียงเสียหาย
มารอริยะที่นั่งอยู่บนบัลลังก์พรมนิ้วลงกับที่พักแขนเป็จังหวะ “มารอสูรกระจ้อยร่อยพวกนั้นน่ะรึ? ตายได้ก็ตายไป! ครั้งนี้หว่านแหติดปลาตัวใหญ่เช่นเ้ามาถือเป็กุญแจสู่ความสำเร็จของฝ่ายมารอย่างเราแล้ว หากเ้ากลายเป็มาร อีกไม่นานพรรคเทพหมาป่า์ก็จะจบสิ้น เหอๆ ทันทีที่พรรคเทพหมาป่า์ถึงกาลล่มสลาย สำนักเซียนทั้งหลายแหล่ในสิบหมื่นมหาบรรพตก็ไม่ใช่เื่ที่ข้าต้องกังวลอีกต่อไป!”
“ข้า? กลายเป็มาร? แค่กแค่กแค่ก มารอริยะ เ้าเลิกฝันไปได้เลยว่าข้าจะคล้อยตามเ้า!” บุคคลที่นอนอยู่บนพื้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงเ็าหมางเมิน
“หากได้เป็มารไปแล้วครั้งหนึ่งก็จะกลายเป็มารไปตลอดชีวิต! เ้าเปลี่ยนอะไรไม่ได้อีกแล้ว นับแต่นี้ไป เ้าก็คือสมาชิกของลัทธิมารจันทราของข้าแล้ว ฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า!” มารอริยะะเิหัวร่อ
พรรคเทพหมาป่า์ ยอดเขาหยั่งรู้กระบี่
เมื่อหวังเค่อจัดการสะสางศิลาิญญา โอสถ ของวิเศษ และกระบี่บินที่อยู่ในกระเป๋ามิติทั้งหมดเสร็จแล้วสายตาของมันก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ ส่วนจางเจิ้งเต้าทางด้านข้างแม้จะอิจฉาตาร้อนขนาดไหนก็ยังรั้นที่จะเชื่อว่าของที่อยู่ในกำไลมิติของจางเสินซวีจะต้องมียอดสมบัติอยู่ภายใน มันแค่ยังไม่ได้เปิดออกมาชมเท่านั้น
“เมื่อครู่ลำบากท่านช่วยคลายผนึกบนกำไลมิติให้ ข้าต้องขอบคุณท่านจริงๆ องค์หญิงโยวเยว่ เอาอย่างนี้แล้วกัน เดิมทีท่านติดค้างศิลาิญญาข้าอยู่แปดพันชั่งจากเหตุการณ์กระบี่บินะเิสังหารเนี่ยเทียนป้า แต่เป็เพราะว่าเมื่อครู่นี้ท่านช่วยข้า เพราะงั้นถือว่าเราหายกัน!” หวังเค่อเอ่ยอย่างใจกว้าง
“ศิลาิญญาแปดพันชั่ง? หวังเค่อ ปกติเ้าเป็คนรักเงินยิ่งกว่ารักชีวิตของตัวเองนี่? แต่ถึงกับยอมยกหนี้ให้องค์หญิงโยวเยว่เนี่ยนะ? เป็ไปไม่ได้ นี่ไม่ใช่วิถีของเ้าเลยสักนิด! ศิลาิญญาแปดพันชั่งเชียวนะ! เ้าก็น่าจะบอกกันแต่เนิ่นๆ สิ ข้าจะได้ช่วยเ้าไง?” จางเจิ้งเต้าอุทานอย่างไม่อยากเชื่อ
หวังเค่อกลอกตามองบน ให้เ้าช่วยข้าคลายผนึก? ข้าสติฟั่นเฟือนหรือยังไง? ด้วยโฉมหน้าแสนละโมบอย่างเ้า ไม่รู้ว่าจะแอบขโมยเงินไปจากข้าสักกี่มากน้อยด้วยซ้ำ
“หวังเค่อ ข้าเข้าใจ ข้าเข้าใจแล้ว ข้าก็ว่าพวกเ้าดูแปลกๆ มาได้สักพักหนึ่งแล้ว ที่แท้เ้าก็มีจิตอกุศล เพ่งเล็งความงามขององค์หญิงโยวเยว่ไว้ ดังนั้นก็เลยจงใจทำแบบนั้น เ้าตั้งใจจะตามจีบองค์หญิงโยวเยว่อยู่ล่ะสิ?” จางเจิ้งเต้าตาวาววับ
“เ้าพูดอะไรออกมา?” องค์หญิงโยวเยว่ถามอย่างมีน้ำโห แต่บนดวงหน้ากลับปรากฏริ้วแดงขึ้นจางๆ
“เอ่ยส่งเดชพูดความจริง…เพ้ย พูดส่งเดชอะไรของเ้าอยู่กัน ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับองค์หญิงล้วนขาวบริสุทธิ์ดุจกระดาษ องค์หญิงสะอาดสะอ้านดั่งหยกบริสุทธิ์ผ่องแผ้วดั่งน้ำแข็ง ใช่คนที่เ้าจะมาให้ร้ายอย่างไม่ลืมหูลืมตาอย่างนี้ได้รึ?” หวังเค่อถลึงตาคาดโทษ
“ไม่ใช่หรอกหรือ? ตัวเ้าในอดีตแม้แต่ศิลาิญญาหนึ่งชั่งก็ยังจุกจิกหยุมหยิมอยู่ครึ่งค่อนวัน แต่ตอนนี้ศิลาิญญาแปดพันชั่ง แปดพันชั่ง! เพื่อที่จะเอาชนะใจองค์หญิง เ้าถึงกับยอมเข้าเนื้อ!” จางเจิ้งเต้ายังไม่ยินยอมเลิกราง่ายๆ
“ไสหัวไป ขืนเ้ายังให้ร้ายองค์หญิงโยวเยว่อยู่อีกละก็ ข้าจะไปฟ้องท่านอาจารย์ให้ริบฐานะาุโเค่อชิงคืนจากเ้าเสีย!” หวังเค่อถลึงตาขู่ฟ่อ
“ฮึ่ม! ข้ามีหรือจะกลัว!” จางเจิ้งเต้าหรี่ตาพินิจพิจารณาคนทั้งสองอย่างใกล้ชิด
“ข้าขอตัวก่อน ข้ายังต้องไปเลือกสวนหย่อมเพื่อเข้าพักอยู่อีก!” องค์หญิงโยวเยว่ทนบทสนทนาของคนทั้งสองต่อไปไม่ไหว รีบจ้ำออกจากตำหนักไปทันที
“จางเจิ้งเต้า ทีนี้เ้าเองก็ออกไปได้แล้ว เมื่อครู่ท่านอาจารย์ให้กุศลข้ามา ข้ายังต้องทำการดูดซับพวกมันอยู่อีก ข้าจะได้ขจัดปัดเป่าเคราะห์ร้ายที่ตามราวีไปให้พ้นจากตัวข้าสักที!” หวังเค่อเอ่ยเร่ง
“หวังเค่อ เ้าเองก็ยกเงินแปดพันชั่งให้ข้าด้วยดีหรือไม่ ข้ารับรองว่าข้าจะไม่หยิบเื่ความสัมพันธ์อันคลุมเครือระหว่างเ้ากับองค์หญิงโยวเยว่ขึ้นมาพูดอีกต่อไป!” จางเจิ้งเต้ากลับยิ้มออกมากะทันหัน
“เ้าว่าข้ากลัวว่าเ้าจะพูดออกมาหรือเปล่าล่ะ? ข้าหวังเค่อตัวเอียงไม่หวั่นเงาตั้งตรง! ถุยๆๆ ตัวตรงไม่หวั่นเงาเฉเฉียงต่างหาก![1] ถึงเ้าพูดไปก็ไม่มีประโยชน์!” หวังเค่อกลอกตาอย่างเดือดดาล
“นี่แหละถึงจะเป็โคหวังคนเก่าที่ข้ารู้จัก! มารดามันเถอะ ศิลาิญญาสักชั่งก็ยังไม่คิดจะให้ข้าเลย! ถุ้ย!” จางเจิ้งเต้าแค่นเสียงเย็นอย่างหัวเสีย จากนั้นก็จ้ำออกจากตำหนักไปเช่นกัน
“พอเ้าเอาของที่อยู่ในกำไลมิติของจางเสินซวีออกมาแล้ว อย่าลืมคืนกำไลให้ข้าด้วยล่ะ!” หวังเค่อะโไล่หลังจางเจิ้งเต้าไป
จางเจิ้งเต้ากลอกตาใส่ไอ้ไก่ขนเหล็กหวังเค่อไปอีกหลายตลบ ก่อนจะไปหาสวนหย่อมของตัวเองบ้าง
“ปัง!”
บานประตูตำหนักปิดลงทันที หวังเค่อลากฟูกมานั่งขัดสมาธิ นำผลกุศลที่เฉินเทียนหยวนเพิ่งมอบให้ออกมา
ชั้นนอกของผลกุศลคือพันธนาการชั้นหนึ่งของกระจกสะกดแสง แต่หวังเค่อััถึงความใกล้ชิดของกุศลเหล่านี้ได้ ราวกับว่านี่สมควรเป็ของตนมาั้แ่แรก
“ท่านอาจารย์บอกว่าแค่ปล่อยให้กุศลเหล่านี้เข้ามาในตัวก็พอแล้วใช่ไหม?” หวังเค่อรำพึงอย่างสงสัยใคร่รู้
เมื่อคลายพันธนาการใสแจ๋วไปอย่างแ่เบา กุศลในมือก็ดูจะจดจำหวังเค่อได้ทันที ครั้นแล้วมันก็คืนสภาพกลายเป็แสงสีทองลำหนึ่งพุ่งตรงเข้าสู่ร่างของหวังเค่อ
“อึก!”
หวังเค่อรู้สึกว่าร่างของมันกำลังสั่นสะท้าน เป็ความอึดอัดไม่สบายตัวอย่างยิ่ง ความคิดอ่านกลายเป็เฉียบแหลมว่องไวขึ้นหลายเท่าตัว ราวกับว่าความทรงจำส่วนลึกที่ใกล้จะลบลืมไปกลายเป็แจ่มชัดขึ้นมาในเสี้ยวพริบตา ในขณะเดียวกันนั้นชายหนุ่มก็ััได้ว่าด่านพลังที่ไม่อาจทะลวงมาเป็เวลานานพลันรู้แจ้งหลักการน่ามหัศจรรย์บางอย่างได้โดยกะทันหันจนทำทีคล้ายจะทะลวงด่านอยู่รอมร่อ ความรู้สึกนี้ช่างวิเศษสุดบรรยาย ทำให้หวังเค่อจมดิ่งอยู่ในห้วงภวังค์ความรู้สึกนี้ไปโดยไม่รู้ตัว
“นี่รึกุศล? ถึงว่าทำไมผู้ฝึกฌานพวกนั้นถึงได้แย่งชิงกันอย่างกระเหี้ยนกระหือรือกันเสียขนาดนั้น ที่แท้ก็วิเศษถึงเพียงนี้!” หวังเค่อเอ่ยอย่างตื่นเต้น
แต่ในพริบตาต่อมา กุศลที่อยู่ในร่างพลันถูกบางสิ่งบางอย่างดึงความสนใจ สุดท้ายก็มุ่งตรงไปยังจุดตันเถียนของหวังเค่อ
ภายในตันเถียนของหวังเค่อมีกระบี่ยาวสีทองอยู่เล่มหนึ่ง กระบี่เทพมหาสุริยันมิดับสูญ!
นี่คือสมบัติที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษของหวังเค่อสมัยที่มันยังอยู่บนโลก ด้วยความบังเอิญล้วนๆ ที่เืของมันไปกระตุ้นกระบี่เล่มนี้เข้า กระบี่เล่มนี้ก็เลยพาหวังเค่อข้ามมิติเวลามาโผล่ยังดาวดวงปัจจุบันที่มันอาศัยอยู่นี้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่น่าเสียดายที่หลังจากมาถึงดาวดวงนี้ พลังที่ประจุอยู่ในตัวกระบี่เทพมหาสุริยันมิดับสูญก็ร่อยหรอไปหมดสิ้น ตัวกระบี่เทพมหาสุริยันมิดับสูญเองก็เปลี่ยนเป็แสงลำหนึ่งพุ่งหายเข้าไปในตัวหวังเค่อก่อนจะหลับใหลมานับั้แ่นั้น
เดิมทีหวังเค่อนึกว่าไม่อาจขับเคลื่อนกระบี่เทพมหาสุริยันมิดับสูญได้ แต่ตอนที่หวังเค่อและจางเจิ้งเต้าไปขุดสุสานบรรพบุรุษาาปีศาจเมื่อสิบปีก่อนด้วยกัน พวกมันดันขุดเจอมารอสูรที่ฟื้นกลับมามีชีวิต จางเจิ้งเต้าหมุนตัวสับเท้าหนีอย่างไม่คิดชีวิต ทิ้งให้หวังเค่อต้องยืนประจันหน้ากับอีกฝ่ายเพียงลำพัง หวังเค่อนึกว่าตนจะต้องตายอยู่ในน้ำมือของมารอสูรตัวนี้แล้ว แต่ผลกลับกลายเป็ว่ามารตัวนั้นกลับถูกกระบี่เทพมหาสุริยันมิดับสูญที่ปกป้องผู้เป็นายโดยอัตโนมัติคร่าชีวิตไป
แต่หลังจากที่สังหารมารตัวนั้นไปแล้วกลับมีไอดำเข้าพัวพันกระบี่เทพมหาสุริยันมิดับสูญเอาไว้ จากนั้นตลอดเวลาสิบปีที่ผ่านมา ตัวหวังเค่อเองก็ต้องประสบเคราะห์กรรมมาโดยตลอด
ตอนนี้เมื่อกุศลเข้าร่าง จู่ๆ ก็ถูกกระบี่เทพมหาสุริยันมิดับสูญดูดซับเข้าไป เพียงเสี้ยวพริบตา แสงสีทองสว่างบาดตาก็ลุกวาบออกจากตัวกระบี่เทพมหาสุริยันมิดับสูญอย่างกะทันหัน
“กระบี่วิเศษของบรรพบุรุษข้าเล่มนี้้ากุศลเพื่อขับเคลื่อนใช้หรือนี่?” หวังเค่ออุทาน
แต่แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงกรีดร้องโหยหวนดังมาจากในร่างของหวังเค่ออย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย หวังเค่อลองเพ่งจิตดูก็พบว่าเสียงนั้นกลับมาจากไอดำที่พัวพันกระบี่เทพมหาสุริยันมิดับสูญอยู่ ไอดำเหล่านี้ผนึกตัวเป็เงาร่างมารอสูรที่หวังเค่อเคยเจอเมื่อครั้งกระโน้น มันกำลังดิ้นรนขัดขืนสุดกำลัง แต่สุดท้ายก็ดูเหมือนโดนกระบี่เทพมหาสุริยันมิดับสูญผ่าร่างจนได้
“กรร ไม่ ไม่นะ ผสานกับข้า ผสานกับข้า! ไม่ ไม่~~~~~!”
มารอสูรที่แปลงมาจากไอดำตัวนั้นเปล่งเสียงกรีดร้องโหยหวน
แต่หวังเค่อนั้นตกตะลึงจนหนังศีรษะแทบลุกไหม้ไปแล้ว
“สิบปีก่อน กระบี่เทพมหาสุริยันมิดับสูญกลับไม่ได้กำจัดฆ่ามารร้ายตนนั้นไปอย่างสิ้นซากหรอกหรือนี่? มารตนนั้นถึงกับแอบมุดเข้ามาในร่างข้า? หากไม่ใช่ว่าได้กระบี่เทพมหาสุริยันมิดับสูญช่วยยันเอาไว้ตลอดสิบปีที่ผ่านมา ข้าก็คงจะถูกมารตนนี้ชิงร่างไปแล้วสินะ?” หวังเค่อหน้าเปลี่ยนสีอย่างเฉียบพลัน
“เ้าเด็กน้อย เก็บกระบี่เทพไปก่อน รีบเก็บกระบี่เทพลงไปก่อน ข้ามีเคล็ดลมปราณมากมาย ข้ามีของวิเศษเยอะแยะ ทั้งหมดล้วนให้เ้า ให้เ้าหมดเลย หากเ้ายินยอมผสานร่างกับข้า เคล็ดลมปราณทั้งหมดที่ข้ามีข้าขอยกให้เ้า แล้วเ้าจะได้เป็ที่หนึ่งในใต้หล้า ที่หนึ่งในใต้หล้า!” มารร้ายไอดำตนนั้นกรีดร้องโหยหวน
ตอนนี้คนเดียวที่สามารถขยับกระบี่เทพมหาสุริยันมิดับสูญได้แม้จะแค่นิดเดียวก็คือหวังเค่อ ขอเพียงหวังเค่อยินยอม มารร้ายที่แปลงมาจากไอดำนั่นก็จะรอดชีวิต
“เ้าเห็นข้าโง่มากรึไง? ผสานร่าง? ผสานกับน้องสาวเ้าสิ! แม้แต่กระบี่ของบรรพบุรุษข้าเ้าก็ยังจะรับมือไม่ได้เลย ยังมีหน้ามาอวดโอ่ว่าที่หนึ่งของใต้หล้าอีก? ถุ้ย!” หวังเค่อถ่มน้ำลายอย่างรังเกียจ
“อ้าก อย่านะ อ้าก~~~~!” มารร้ายไอดำส่งเสียงกรีดร้องเป็ครั้งสุดท้าย
“ปง!”
จากนั้นมารร้ายไอดำตนนั้นก็ถูกกระบี่เทพมหาสุริยันมิดับสูญสับสังหารจนไม่เหลือซาก ในชั่วพริบตา ตลอดร่างของหวังเค่อก็ทอแสงสีทองอร่าม
หลังจากที่กระบี่เทพมหาสุริยันมิดับสูญได้รับกุศลผลบุญก็ดูจะใกล้ชิดสนิทใจกับหวังเค่อขึ้นมา
แต่น่าเสียดายที่หวังเค่อในตอนนี้ไม่อาจนำมันออกมาจากจุดตันเถียนของตัวเองได้
“ในเมื่อเอาออกมาไม่ได้ก็ช่างปะไร แค่เ้าปกป้องผู้เป็นายได้เองก็เพียงพอแล้ว ตอนนี้เมื่อได้พลังกุศลเข้าไป พลังของเ้าก็คงจะเพิ่มขึ้นถูกไหม เ้าคือสมบัติที่ตกทอดกันมาจากบรรพบุรุษข้า สมบัติของบรรพบุรุษ ต่อไปเ้าต้องปกป้องข้าให้ดีๆ ล่ะ! ข้าเป็ทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลหวังจากดาวโลกนะ!”
หวังเค่อคาดหวังว่ากระบี่เทพมหาสุริยันมิดับสูญจะตอบกลับ แต่น่าเสียดายที่กระบี่เทพมหาสุริยันมิดับสูญอย่างไรก็เป็แค่ของไร้ชีวิต จึงไม่มีการตอบกลับอันใด
เพียงแต่หลังจากที่ได้พลังกุศลเข้าไป กระบี่เทพมหาสุริยันมิดับสูญก็เริ่มฉายตัวอักษรขนาดจิ๋วที่เรียงขนัดกันเป็แพออกมาในจุดตันเถียนของหวังเค่ออย่างช้าๆ
แม้ว่าอักษรจะมีขนาดเล็ก แต่หวังเค่อที่ใช้ใจเข้าไปัักลับ ‘มองเห็นได้ชัดเจน’ ว่าเป็ตัวอักษรอะไร
“เคล็ดบำเพ็ญชุดนี้ ฝากไว้แด่อนุชนสกุลหวังเรา จงใช้ใจฝึกวิชา ไม่ช้าก็จะบรรลุขอบเขตเซียนปฐี! ระหว่างฝึกฝนจำไว้ว่าต้องค่อยเป็ค่อยไปล่ะ!” หวังเค่ออ่านตัวอักษรแถวแรกออกมา
“บรรพบุรุษข้ามีผู้ที่สำเร็จเป็เทพเซียนอยู่จริงๆ หรือนี่? กระบี่เทพมหาสุริยันมิดับสูญเล่มนี้เป็กระบี่ของบรรพบุรุษข้าจริงๆ? แถมยังทิ้งเคล็ดบำเพ็ญไว้ให้ชุดหนึ่งอีกต่างหาก? เซียนปฐี? นั่นมันระดับขั้นไหนกันแน่? เคล็ดวิชาของเซียนอย่างนั้นหรือ?” หวังเค่อเอ่ยอย่างตื่นเต้นยินดี
ขณะกำลังตื่นเต้น หวังเค่อก็พินิจมองดูให้แน่ชัด
“《เคล็ดเทพมหาสุริยันมิดับสูญ》? เป็ชื่อวิชาที่อหังการดีแท้ ในที่สุดบิดาก็มีวาสนากับเขาบ้างสักที กุศลเอ๋ย กุศลจ๋า ฮ่าฮ่าฮ่า เคล็ดเทพมหาสุริยันมิดับสูญ?” หวังเค่อเอ่ยอย่างตื่นเต้นดีใจ
แต่ขณะที่กำลังตื่นเต้นดีใจอยู่นั้น สีหน้าของหวังเค่อก็ค่อยๆ แข็งค้าง เพราะถึงแม้ว่า《เคล็ดเทพมหาสุริยันมิดับสูญ》นี้จะเป็เคล็ดวิชาที่สมบูรณ์ แต่ตัวอักษรกลับมีมากเกินไป มากชนิดที่นำไปขู่ให้คนหัวใจวายตายก็ยังได้
ตัวอักษรเล็กจิ๋วที่เบียดตัวกันอยู่ในจุดตันเถียนของหวังเค่อเรียงซ้อนกันเป็ชั้นๆ หวังเค่อจึงคาดคะเนตัวเลขคร่าวๆ ออกมาได้
“หลังจากนับดูคร่าวๆ จำนวนตัวอักษรของเคล็ดลมปราณชุดนี้อย่างน้อยก็มีมากถึงสองร้อยล้านตัว สรุปแล้วนี่คือเคล็ดลมปราณที่เซียนเขาฝึกกันหรือว่านิยายบนเว็บกันแน่? ตัวอักษรเยอะแยะปานนี้? ต่อให้ข้าไม่กินไม่นอนพากเพียรท่องอ่านโดยไม่หยุดพักก็ยังต้องใช้เวลาสามสี่ปีเลยถูกไหม? นับรวม่เวลาที่รีบเร่งถอดความหมายของเคล็ดวิชาเข้าไปด้วย ห้าหกสิบปีก็คงจะผ่านไปในเสี้ยวพริบตา! แถมนี่ยังไม่เริ่มฝึกกันเลยด้วยซ้ำ เพราะงั้นกว่าข้าจะได้ฝึกก็คงจะ...!” ใบหน้าของหวังเค่อค่อยๆ เปลี่ยนเป็สีดำไปทีละน้อย
“สาเหตุที่เทพเซียนบนทีวีต่างก็โผล่มาในรูปลักษณ์ของอาม่าอาแปะก็เป็เพราะว่าเคล็ดลมปราณสำเร็จเป็เซียนมีตัวอักษรให้ท่องจำยาวเหยียดเป็กำแพงเมืองจีนนี่เอง ต้องอ่านไปจนถึง่วัยหนึ่งก่อนจึงจะค่อยเริ่มต้นฝึกเป็เซียนกันอย่างนั้นใช่ไหม?” หวังเค่อเผยสีหน้าประหลาดพิกลออกมา
[1] หมายถึงขอแค่ไม่ได้ทำอะไรผิด ก็ไม่จำเป็ต้องกลัว
