“เสี่ยวหลันของเราก็สวยงามขึ้นทุกวัน คนในหมู่บ้านต่างก็กล่าวว่า นางเหมือนข้าตอนยังสาวนัก” น้ำเสียงอ่อนโยนของหลิวฉีซื่อดังมาจากในบ้าน ไม่ยากที่จะฟังออกว่าอารมณ์ของนางดีใช้ได้
หลิวเต้าเซียงคร้านจะฟังเขาพูด หันศีรษะเดินไปทางห้องครัว คิดไม่ถึงว่า มีร่างอันธพาลปรากฏตัวและขวางนางไว้
นางรู้สึกถึงความมืดมิดตรงหน้า พอเงยหน้าขึ้นมอง หากไม่ใช่ซูจื่อเยี่ยปีศาจน้อยแล้วจะเป็ใครอีก
หลิวเต้าเซียงเอื้อมมือไปลูบหน้าท้องน้อยๆ วันนี้ตื่นสายเกินไป ไม่ทันได้หุงข้าวเช้า จากนั้นพอเงยหน้าขึ้นมองท่าทางเคร่งขรึม จึงสำรวจซูจื่อเยี่ยอย่างละเอียด
ดวงตาของซูจื่อเยี่ยที่กำลังก้มลงมองนางนั้นเต็มไปด้วยความสนุกสนาน มีเด็กสาวคนไหนอีกที่จะแสดงท่าทีกับเขาได้มากมายเพียงนี้ พลันขมวดคิ้ว อีกประเดี๋ยวดวงตาก็สั่นไหว ประเดี๋ยวก็ลังเล ประเดี๋ยวก็ราวกับได้กลิ่นหอมคล้ายกับอาหาร
ตีให้ตายเขาเองก็คงไม่มีทางคาดคิดว่า ขณะนี้หลิวเต้าเซียงกำลังะโอย่างบ้าคลั่งในใจ เกิดมาหล่อนี่ช่างได้เปรียบเหลือเกิน
แน่นอนว่า ในเบื้องหน้าท่าทีของหลิวเต้าเซียงนั้นสุขุม แล้วเอ่ยถามด้วยมาดของคุณยาย “เ้าออกมาได้อย่างไร? มีเื่หรือ? อ้อ ใช่แล้ว มีอะไรก็รีบพูด อาเล็กข้ากำลังจะตื่นขึ้นแล้ว”
ปลายหูของซูจื่อเยี่ยนั้นกระดิกเล็กน้อย ยื่นนิ้วออกมาช้อนคางของนางขึ้นแล้วเอ่ย “เ้าไม่อยากรู้หรือว่าลุงรองเ้าได้เงินหรือไม่”
ใบหน้าเล็กๆ ของหลิวเต้าเซียงถูกย้อมด้วยสีชมพูระเรื่อ มนุษย์จิ๋วในใจบ่นไม่หยุดว่า หลิวเต้าเซียงนะหลิวเต้าเซียง เธอมันคนไม่เอาไหน ถูกคนอื่นเกี้ยวพาราสีแค่นี้ก็ดีใจจนแทบเป็ลม หมดหนทางเยียวยาอย่างแท้จริง
ต่อมาจึงคิดว่า อาจารย์ชีววิทยาเคยสอนว่า พลังงานนั้นทำงานร่วมกัน การััใกล้ชิดก็สามารถเป็เื่ที่ต่างคนต่างเสพสุข เขาแต๊ะอั๋งนาง อันที่จริง นางเองก็ไม่ได้เสียเปรียบนี่นา ไม่ใช่หรือ?!
ซูจื่อเยี่ยเห็นนางกำลังเหม่อลอยไปไกล จึงเริ่มสงสัยเสน่ห์ของตนเองขึ้นมา
เมื่อเห็นว่าท่าทีของนางน่ารัก จึงอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกมาบีบแก้มกลมกลึงของนาง และทำให้ดอกไม้ในหัวใจของเขาเบิกบาน ทำเช่นนี้นี่ช่างรู้สึกดีเหลือเกิน
“ทำอะไรน่ะ!” เมื่อได้สติ หลิวเต้าเซียงก็ยื่นมือไปปัดมือที่อยู่ไม่สุขคู่นั้น แล้วใช้ดวงตาดุจเม็ดอัลมอนด์ที่ฉ่ำน้ำจดจ้องเขา
“สาวน้อย ไม่อยากรู้หรือ? เชื่อว่าเ้าคงดูออกแล้ว ลุงรองของเ้าจงใจเลี่ยงครอบครัวเ้า”
หลิวเต้าเซียงอดไม่ได้ที่จะกลอกตาใส่เขา เื่นี้ใช้หัวเข่าคิดก็รู้
“เขาย่อมต้องกลัวว่าบ้านข้าจะได้เงินอยู่แล้ว” สำหรับความคิดของหลิวเหรินกุ้ย หลิวเต้าเซียงเดาออกได้ไม่ยาก ถึงอย่างไรในสายตาของหลิวเหรินกุ้ย ก็ไม่เคยมีคนที่ชื่อว่าหลิวซานกุ้ย
“เ้าไม่อยากได้ยินจริงๆ หรือ?” ซูจื่อเยี่ยไม่ให้นางสมหวัง กลับกันจึงแนบตัวเข้ามา
หลิวเต้าเซียงปั้นหน้าน้อยๆ ยื่นมือไปจะทุบหน้าอกของเขา แต่เพิ่งจะเห็นว่า รูปร่างของตนเองนั้นเตี้ยเกินไป ตำแหน่งตรงหน้าไม่เหมาะสมที่จะลงมือ หากนางทุบลงไป คงถูกหาว่าเสียมารยาท
“ขวางทางจริง!”
เมื่อเห็นว่าเขายังไม่เคลื่อนไหว นางก็ไม่ใส่ใจและยกเท้าเล็กๆ ขึ้นเพื่อเตรียมเดินอ้อมไป
“ช้าก่อน อย่าเพิ่งไป เ้าไม่อยากฟัง แต่ข้าจะบอก ฮึ ลุงรองของเ้า ลูกไม้แพรวพราว เริ่มแรกเข้าไปร้องไห้โวยวายกับหลิวฉีซื่อบอกว่าเงินของตนเองใช้จ่ายไม่คล่องเช่นไรบ้าง ต่อมาก็กล่าวถึงอาสี่ของเ้า…”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ หลิวเต้าเซียงหมดความอดทนและถามว่า “หรือเมื่อคืนเ้าไม่ได้อยู่ในห้อง?”
ความหมายคือ เมื่อคืนเสียงของหลิวซุนซื่อก็ค่อนข้างดัง แม้ว่าห้องตะวันออกของหลิวฉีซื่อจะไม่ได้ยิน แต่ปีศาจน้อยที่มีวรยุทธ์ แม้เพียงแค่เสียงลมพัดเบาหวิว จะไม่ได้ยินได้อย่างไร
เดิมทีซูจื่อเยี่ยมีท่าทีมั่นอกมั่นใจก็หยุดพูดชั่วขณะ มองนางด้วยความอึ้ง จากนั้นจึงเอ่ย “ข้าคิดอยู่ว่าเมื่อคืนมีแมวที่ไหนแอบเข้ามาในสวน ที่แท้ก็เป็ลูกแมวป่าอย่างเ้านี่เอง”
“เ้าน่ะสิเป็ลูกแมวป่า บ้านเ้าเป็ลูกแมวป่าทั้งบ้าน!” หลิวเต้าเซียงไม่ได้เข้าใจว่าเขากำลังชมว่านางนั้นมีความระแวดระวังดุจแมว มีไหวพริบ เป็คนฉลาดเฉลียวที่ทะเล้นและน่ารักต่างหาก!
แต่ในความคิดของหลิวเต้าเซียง สิ่งที่นางเข้าใจคือ เ้าน่ะเหมือนสัตว์ตัวเล็ก…
ดังนั้น นางพยายามแล้ว สรรพสิ่งล้วนเหมือนกัน ด่านางก็เท่ากับด่าตนเองไม่ใช่หรือ
“เอาเถิด เื่นี้ข้ารู้แล้ว ใช่แล้ว ลุงรองข้าได้ไปเท่าไร?”
ซูจื่อเยี่ยรู้สึกแย่ทันใด แม่สาวน้อย จะถามความอันใดก็อย่าตรงเกินไปเช่นนี้สิ นี่ทำให้เขาไม่สามารถหยอกล้อนางได้อย่างสนุกสนานไม่ใช่หรือ?
อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุดเขาก็ตอบคำถาม “ห้าตำลึงเงิน ลุงรองเ้าบอกว่าอาสี่ไหว้วานเขามาขอสิบตำลึงเงิน พอลุงใหญ่กับอาสี่ของเ้าขอเงิน ย่าเ้าก็ยกให้ แต่พอเขาขอกลับไม่ให้ จากนั้น ย่าเ้าก็ถูกโอดครวญจนหมดปัญญา จึงได้แต่คิดหาวิธีนี้ ทั้งสองคนแบ่งกันคนละห้าตำลึง”
เมื่อเห็นว่าใบหน้าเล็กๆ ของนางเริ่มกลายเป็มารร้ายขึ้นเรื่อยๆ ซูจื่อเยี่ยจึงรีบบอกสิ่งที่ตนเองรู้ออกมา
หลิวเต้าเซียงได้ยินเสียงหลิวเสี่ยวหลันตื่นนอน จึงกดเสียงต่ำแล้วเค้นถาม “ตกลงเ้าจะอาศัยที่บ้านข้าไปอีกนานเพียงใด?”
คําตอบของซูจื่อเยี่ยยียวนกวนประสาท “อาศัยไปจนกว่าข้าจะไม่อยากอยู่”
นั่นหมายถึงว่าเขาอยากอยู่นานเท่าไรก็เท่านั้น
หลิวเต้าเซียงไม่เชื่อว่าจะไม่มีคนติดต่อเขาได้ กลัวเพียงว่าอีกฝ่ายนั้นรู้นานแล้ว แต่เขาเลือกไม่ไปเพราะมีเหตุผลอื่น นางจึงไม่เชื่อเหตุผลบ้าบอของเขา
“ข้าจะไปหาพี่สาวข้า เห็นนางหรือไม่?”
“นางเดินไปด้านหลัง...” เมื่อเอ่ยถึงคอกหมู ซูจื่อเยี่ยก็อดไม่ได้ที่จะอยากอาเจียน เขาจำได้ว่าตนเองะโข้ามกำแพงเข้ามาแล้วตกลงไปในบ่อมูลหมู
เขาไม่สามารถคิดต่อไปได้จึงโบกมือ กลับไปพักที่ห้องทิศตะวันตกเพื่อสงบจิตใจ
เมื่อเห็นว่าซูจื่อเยี่ยจากไปโดยไม่ลังเล หลิวเต้าเซียงจึงได้ใจ ปีศาจน้อย คิดสู้กับข้า ฮึ ห่างชั้นกันนัก!
เมื่อนึกถึงคําพูดของซูจื่อเยี่ย นางหันหลังกลับและเดินออกจากห้องครัว แล้วเดินไปทางสวนผัก
จางกุ้ยฮัวตื่นแต่เช้าตรู่และได้ให้น้ำแก่ต้นกล้าผักแล้ว
“ท่านแม่!” เสียงที่คมชัดและอ่อนโยนของหลิวเต้าเซียงดังขึ้นที่ทางเข้าสวนผัก
“เต้าเซียงตื่นแล้วหรือ?” หากเป็อดีต จางกุ้ยฮัวคงเรียกให้นางตื่นขึ้นมาช่วยถอนหญ้าแล้ว แต่ตอนนี้ นางเพียงแต่หันไปยิ้มกับบุตรสาวคนรองของตนที่เริ่มสูงและขาวขึ้นเรื่อยๆ
คิดในใจ ไม่แปลกที่อาเล็กกับหลานสาวหลายคนล้วนดูงดงามเปล่งปลั่ง ดูดีอย่างน่าแปลกประหลาด ที่แท้ต้องได้กินดีต่างหาก!
นางกำมือแน่น ความพยายามของหลิวเต้าเซียงไม่ได้สูญเปล่า นี่ไง ความคิดของจางกุ้ยเปลี่ยนไปหมดสิ้นแล้ว
ตอนนี้นางไม่อยากเรียกให้บุตรสาวทั้งหลายมาช่วยงานมากไปกว่านี้ หนึ่งคือกลัวว่าหากเหนื่อยเกินไปจะตัวไม่สูง สองก็คือ สองคนสามีภรรยาทำงานก็มากพอแล้ว เหตุใดหลานสาวคนอื่นไม่ต้องทำงาน แต่บุตรสาวสองคนของนางกลับต้องลุกขึ้นมาทำงานแต่เช้า
“ถึงเวลาควรทำอาหารเช้าแล้วหรือ? แม่รดน้ำเสร็จแล้วจะไปเดี๋ยวนี้”
“แม่ ไม่ใช่ พี่ใหญ่ต้มโจ๊กไว้ในหม้อแล้ว แต่ว่าอาหารของคุณชายน้อยท่านนั้นยังไม่ได้ทำ แม่ ไม่รีบร้อน อีกประเดี๋ยวข้าจะไปช่วยพี่สาวทำ รอท่านรดน้ำเสร็จแล้วกลับไปพักที่ห้อง ค่อยดูน้องเล็กนะ”
หลิวเต้าเซียงไม่ได้มาเพื่อเื่นี้ นางไม่รอให้จางกุ้ยฮัวเอ่ยต่ออีก แต่เดินไปด้านหน้าจางกุ้ยฮัว เอ่ยถามด้วยสีหน้าลับๆ ล่อๆ “แม่ ท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดลุงรองจึงกลับมา?”
“เห็นบอกว่าส่งอาหารดีๆ กลับมาให้ย่าเ้าไม่ใช่หรือ?” พูดแล้วนึกถึงอาหารที่หลิวเหรินกุ้ยหิ้วกลับมา จางกุ้ยฮัวดีใจไม่น้อย อย่างน้อยบุตรสาวทั้งสองก็จะได้กินของอร่อย ได้ยินว่าเนื้อลานั้นบำรุงร่างกายดีนักเชียว
“ท่านแม่ เชื่อจริงๆ หรือ? ลุงรองดีเช่นนั้นเชียวหรือ? ตั้งใจกลับมาเพื่อสิ่งนี้? ข้ารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ลุงรองกลับมาขอเงิน อาสี่เองก็ไหว้วานให้ลุงรองมาขอเงิน ย่าเตรียมยกให้ลุงใหญ่สิบตำลึงเงินไม่ใช่หรือ ลุงรองกับอาสี่ไม่พอใจ นี่ปะไร วันนี้ตอนรุ่งเช้า ย่าจึงตัดสินใจเพิ่มอีกห้าตำลึงเงิน ให้ทั้งสองคนแบ่งกันไปคนละห้าตำลึงเงิน ไม่เกี่ยวกับครอบครัวฝั่งเราแม้แต่น้อย”
จางกุ้ยฮัวได้ยิน รอยยิ้มบนใบหน้าถึงกับแข็งชะงักไป ห้าตำลึงเงิน จำนวนไม่น้อย ที่นาสิบไร่ในบ้าน ล้วนพึ่งพาหลิวซานกุ้ยและหลิวต้าฟู่ อันที่จริงหลักๆ คงต้องเป็หลิวซานกุ้ย หลิวต้าฟู่ถึงอย่างไรก็อายุถึงวัยประมาณหนึ่ง งานที่ต้องใช้แรงงานก็ทำไม่ไหว
“เ้าได้ยินไม่ผิดแน่นะ?”
หลิวเต้าเซียงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ไม่ผิดแน่ ข้าบังเอิญได้ยินลุงรองพูดอย่างไม่ตั้งใจ ป้ารองเองยังบอกว่า ย่าลำเอียง นางอยากแยกบ้าน”
เมื่อเห็นว่าใบหน้าของจางกุ้ยฮัวดูไม่ค่อยดีนัก นางจึงแสร้งเป็เด็กดี เพื่อทำให้จางกุ้ยฮัวอารมณ์เบิกบาน
“จริงหรือ?” แน่นอน เมื่อเอ่ยถึงเื่แยกบ้าน เดิมทีจางกุ้ยฮัวที่ท่าทีซังกะตาย ก็มีชีวิตชีวาขึ้นมาในพริบตา
ดูเหมือนว่าในใจนาง อันที่จริงก็อยากแยกบ้านอย่างมาก
“จริงยิ่งกว่าทองคำ ท่านแม่ เลิกเป็กังวลได้แล้ว และไม่ต้องพูดออกไป ถึงฟ้าจะถล่ม ก็มีข้าช่วยรองรับไว้แล้ว”
จางกุ้ยฮัวรู้สึกขบขันกับท่าทีจริงจังของนาง แล้วเอ่ยอย่างขบขัน “เอ้ เ้าผีฉลาดแกมโกงของเราเล่าเรียนเพียงไม่กี่วัน พูดจาเป็หลักเป็การเชียว”
หลิวเต้าเซียงฉีกริมฝีปากสีชมพูแล้วตะครุบเข้าไป โอบกอดท่อนขาของจางกุ้ยฮัว ตอบอย่างได้ใจ “นั่นสิ ต้องดูว่าใครให้กำเนิดข้า”
คําเหล่านี้ทําให้จางกุ้ยฮัวหัวเราะทันที
ก่อนอาหารเช้า หลังจากที่หลิวซานกุ้ยกลับมาจากทุ่งนา เขาเข้าไปในห้องปีกตะวันตกเหมือนเช่นเคย แต่ที่เหนือความคาดหมายคือ วันนี้ไม่มีโจ๊กขาวที่หอมนุ่มให้กิน
จางกุ้ยฮัวเพิ่งให้นมหลิวชุนเซียงเสร็จ กำลังอุ้มนางเดินไปเดินมาในห้อง
“กุ้ยฮัว หมดแล้วหรือ?” หลิวซานกุ้ยจงใจเดินวนหลังบ้านหนึ่งรอบ แน่ใจว่าที่บ้านไม่มีร่องรอยเคยก่อไฟ
“หืม เราไม่มีเงินในมือ เราจะอิ่มได้อย่างไร” จางกุ้ยฮัวตอบเขาด้วยน้ำเสียงไม่ดี
หลิวซานกุ้ยเห็นว่าในคำตอบของนางเหมือนมีน้ำโหด้วย จึงคลำไม่ถูกและเอ่ยถามอย่างประหม่า “เอาล่ะ ใครทำให้เ้าโมโหหรือ? เพราะลูกสาวสามคนไม่เชื่อฟังหรือ?”
“หืม ลูกสาวเราใส่ใจยิ่งกว่าอะไรดี!” เงยหน้าเห็นท่าทีไม่รู้อิโหน่อิเหน่ของหลิวซานกุ้ย จึงบอกเล่าเื่ราวที่รู้มาจากหลิวเต้าเซียงให้เขาฟัง และเอ่ย “ข้าว่าสามี ในสายตาของพ่อกับแม่มีเพียงลูกชายแสนดีสามคน หนึ่งคือลุงใหญ่ อีกคนก็ลุงรอง ส่วนอีกคนก็อาสี่ ฮึ เ้าล่ะ? ลูกจ้าง แล้วยังเป็ประเภทที่ไม่ต้องจ่ายค่าแรงอีกด้วย แค่ให้ที่อยู่ที่กิน”
“แม่ทำเช่นนี้จริงๆหรือ? แม่มีเงินมากมายในมือเช่นนั้นเชียวหรือ? หลิวซานกุ้ยใมาก
เขาไม่เข้าใจว่าตนเองทำสิ่งใดผิด หลิวฉีซื่อถึงไม่เคยมีเขาอยู่ในสายตา
“เื่นี้ ข้าจะคุยกับท่านพ่อ” เทียบกับหลิวฉีซื่อ หลิวต้าฟู่น่าจะคุยง่ายกว่า
“เ้าเต็มใจที่จะพูดจริงๆ หรือ?” จางกุ้ยฮัวประหลาดใจเล็กน้อย นิสัยของสามีตนเอง มีหรือที่นางจะไม่รู้?
หากยกให้เพียงแค่ครอบครัวหลิวสี่กุ้ย หลิวซานกุ้ยคงไม่คิดมาก แต่หลิวฉีซื่อแอบหลิวต้าฟู่ยกให้พวกเขาสามคนคนละห้าตำลึง เื่นี้ในใจไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ไม่สบายใจ
“นอกจากนี้ พี่สะใภ้รอง้าแยกบ้านกัน” จางกุ้ยฮัวโล่งใจ โชคดีที่พี่สะใภ้รองก็มีความคิดนี้แล้ว ตนเองก็จะได้ไม่ต้องหัวแข็งงัดข้อกับหลิวฉีซื่อ
“เอ่อ ข้ารู้ว่าเ้าเองก็คิด เพียงแต่ว่า แม่เราคงไม่ยอม” ดวงตาของหลิวซานกุ้ยมืดมนลง หลายวันมานี้ได้รับการเป่าหูถึงผลดีของการแยกบ้าน แล้วมองดูเพื่อนพ้องในหมู่บ้านที่ตัดสินใจทำแต่เนิ่น พวกนั้นมีชีวิตที่ดีกว่าครอบครัวที่ไม่ยินดีจะแยกบ้านเสียอีก อย่างน้อยภรรยาและลูกอยากกินอะไรก็ได้กิน ขอเพียงในบ้านมี ก็จะไม่มีทางให้พวกเขาต้องอยู่อย่างอัตคัดขัดสน
-----