หลังจากยวี้เอ๋อร์ออกไป ชิงยวี่ก็ปิดประตูเรือน เขาปรบมือ ไม่คาดคิดว่าจะมีคนชุดดำมากกว่าสิบคนกระโจนออกมาจากที่มืด
“เฝ้าดูให้ดี อย่าปล่อยให้คนนอกเข้ามาอย่างเด็ดขาด!”
“รับทราบ!”
มู่หรงฉิงมองไปทางชิงยวี่อย่างสงสัย ชายชุดดำมากกว่าสิบคนเ่าั้มาจากไหน แล้วจะกลับไปที่ใดกัน มู่หรงฉิงกวาดสายตามองทั้งซ้ายขวา ท้ายที่สุดนางก็ไม่เข้าใจว่าคนเ่าั้มาจากทิศทางใด
“น้องหญิง เข้ามาเร็วเข้า! จุ๊กกรู๊ทำตัวไม่ดีอีกแล้ว!”
“น้องหญิง เข้ามาเร็วเข้า! จุ๊กกรู๊ทำตัวไม่ดีอีกแล้ว!”
เสียงะโโง่ๆ ของเฉินเทียนหยูดังมาจากในห้อง ทำให้มู่หรงฉิงหัวใจเต้นแรง เสียงแรกเป็เสียงโง่งมดั้งเดิม แต่เสียงที่พูดซ้ำๆ ในรอบที่สองกลับรู้สึกเหมือนเป็เสียงเลียนคำพูดของคนอื่น ทว่าไม่ได้มีความโง่จริงๆ
หรือว่าจะเป็เสียงของจุ๊กกรู๊คนนั้น?
เมื่อหันกลับมาและเข้าไปในห้อง ก็เห็นจุ๊กกรู๊ยืนอยู่บนศีรษะของเฉินเทียนหยูด้วยท่าทางหยิ่งผยอง “น้องหญิงเข้ามาเร็วเข้า! จุ๊กกรู๊ทำตัวไม่ดีอีกแล้ว!”
ปรากฏว่าเป็เช่นนั้นนี่เอง
มู่หรงฉิงเดินไปหาเฉินเทียนหยู พลางเงยหน้าขึ้นมองจุ๊กกรู๊ และมันก็ก้มหน้ามองมู่หรงฉิง “แม่นางหน้าตาดี! แม่นางหน้าตาดี! แม่นางหน้าตาดี!”
จุ๊กกรู๊พูดประโยคนั้นซ้ำๆ หลายหน ข้อสำคัญสายตาที่มองมู่หรงฉิงกลับทำให้มู่หรงฉิงรู้สึกคุ้นเคย แต่ภายในระยะเวลาอันสั้น นางจำไม่ได้ว่าเคยเห็นสายตาเช่นนั้นจากที่ไหน?
“แม่นางหน้าตาดี! แม่นางหน้าตาดี! แม่นางหน้าตาดี!”
จุ๊กกรู๊พูดประโยคดังกล่าวซ้ำๆ หลายหน มู่หรงฉิงรู้สึกคุ้นเคยอยู่หลายส่วน แต่นางจำไม่ได้ว่านางเคยได้ยินเสียงนั้นจากที่ไหน
“จุ๊กกรู๊ได้รับการเลี้ยงดูจากเฉินเทียนหยูั้แ่ยังเล็ก หลังจากเฉินเทียนหยูประสบกับเหตุการณ์ไม่คาดคิด จุ๊กกรู๊ก็หายตัวไปในระยะเวลาหนึ่ง และหลังจากนั้นสองสามเดือน จุ๊กกรู๊ก็กลับมา มันผอมแห้งราวกับกิ่งไม้ ปากของเขาก็เอาแต่ะโร้องว่า ‘เ้าบังอาจหักหลังข้า! ข้าจะฆ่าเ้า!’”
“เดิมทีฮูหยินเฉินก็วิตกกังวลถึงอุบัติเหตุที่เฉินเทียนหยูต้องประสบ และเมื่อเห็นจุ๊กกรู๊จากไปและกลับมาอีกหน ฮูหยินเฉินจึง้าให้มันอยู่เป็เพื่อนเฉินเทียนหยูและมอบจุ๊กกรู๊ให้ข้าดูแล”
“ในกรณีนี้เหตุใดจึงเลี้ยงจุ๊กกรู๊ไว้ตามลำพังในเรือนแห่งนี้ล่ะ?” มู่หรงฉิงหันกลับไปเห็นจ้าวจื่อซินกำลังเดินใกล้เข้ามา นางถึงได้เบนสายตากลับไปมองจุ๊กกรู๊อีกรอบ “เป็ไปได้หรือไม่ว่าเ้าจะได้ยินอะไรบางอย่างจากปากจุ๊กกรู๊?”
“จุ๊กกรู๊แค่ะโร้องคำว่า ‘เ้าบังอาจหักหลัง! ข้าจะฆ่าเ้า!’ นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรอีกแล้ว” จ้าวจื่อซินก้าวเท้าไปข้างหน้า และนำจุ๊กกรู๊ออกจากศีรษะของเฉินเทียนหยู จุ๊กกรู๊ดิ้นรนอยู่สองหน จากนั้นจึงยอมเกาะมือของจ้าวจื่อซินอย่างเชื่อฟัง ในขณะที่เฉินเทียนหยูกำลังยิ้มร่าและลูบศีรษะของตัวเอง ท่าทางร่าเริงของเขาดูสะอาดสะอ้านคล้ายเด็ก
“เนื่องจากเ้า้าป้องกันไม่ให้คนทำร้ายจุ๊กกรู๊ จึงเลี้ยงมันไว้ในเรือนแห่งนี้ใช่หรือไม่?” มู่หรงฉิงยกมือขึ้นด้วยอยากจะััขนสีเขียวมรกตของจุ๊กกรู๊ แต่มันกลับกระดกหางขึ้นทันทีเมื่อมือของนางเข้าใกล้ ทั้งยังตั้งท่าคล้ายจะโจมตีมู่หรงฉิงราวกับเตือนนางว่าถ้าเอามือเข้าใกล้อีก มันจะกัดมือให้เละเป็ชิ้นเล็กๆ อย่างไรอย่างนั้น
มู่หรงฉิงใและรีบชักมือของนางออก
“ชิงยวี่ยกถังน้ำเข้ามา” จ้าวจื่อซินะโเรียก ชิงยวี่ผู้ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกประตูก็ตอบรับ จากนั้นจึงยกถังน้ำใสเข้ามาก่อนจะหายตัวไปเพียงเวลาชั่วพริบตา
“ล้างน้ำหอมบนมือก่อนเถอะ!” จ้าวจื่อซินพูดกับมู่หรงฉิงระหว่างเล่นกับจุ๊กกรู๊
“วันนี้ข้าไม่ได้ทาน้ำมันชนิดนั้นเสียหน่อย” เนื่องด้วยนางทาน้ำมันชนิดนั้นบนศีรษะ เพราะคิดว่าถ้าทาสิ่งนั้นบนมือมากเกินไป เกรงว่ามันจะเป็อันตรายต่อนาง
“เ้าแน่ใจหรือว่าเ้าไม่ได้ทาน้ำมันนั้นลงบนผมของเ้า หลังจากชำระร่างกาย?” จ้าวจื่อซินเงยหน้าขึ้นมองมู่หรงฉิงด้วยสีหน้าเ็า มู่หรงฉิงผงะไปชั่วครู่หนึ่งและไม่ได้เอื้อนเอ่ยวาจาใด หลังจากทำความสะอาดมืออย่างเชื่อฟังทั้งเช็ดคราบน้ำที่มือแล้ว นางก็เดินเท้าไปข้างหน้าเพียงสองก้าวและ้าลองอีกหน
นางเหยียดมือออกไปอีกหน แต่จุ๊กกรู๊ยังมีทีท่าเหมือนจะโจมตี ขณะที่นางกำลังจะถอนมือ ฝ่ามือใหญ่ก็จับยึดมือที่กำลังถอนกลับของนาง “ไม่ต้องกลัว มันจะไม่ทำร้ายเ้าอย่างแน่นอน!”
มู่หรงฉิงประหลาดใจแต่มากกว่านั้นคือความโกรธ จ้าวจื่อซินคนนี้ไม่รู้จักสถานะสูงต่ำจริงๆ หรือ? ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ปัจจุบันนางเป็ภรรยาของเฉินเทียนหยู จ้าวจื่อซินผู้นี้ดีเสียจริง เขาทำกิริยาหยาบคายกับนางต่อหน้าต่อตาเฉินเทียนหยู นี่เขาไม่เห็นเฉินเทียนหยูในสายตาหรืออย่างไร? หรือรังแกนาง เพราะนางไม่มีที่พึ่งใช่หรือไม่?
“จุ๊กกรู๊มีความเป็ศัตรูกับผลไม้นิรนามอย่างไม่อาจอธิบายสาเหตุได้ แม้ก่อนหน้านี้มันจะเป็ลูกรักของเฉินเทียนหยู แต่ใน่หลายปีที่ผ่านมา เฉินเทียนหยูกินผลไม้นิรนามเป็จำนวนมาก ดังนั้นจุ๊กกรู๊จึงไม่มีความใกล้ชิดกับเฉินเทียนหยูเช่นแต่ก่อน” มู่หรงฉิงรู้สึกหงุดหงิด แต่จ้าวจื่อซินปล่อยมือนางด้วยท่าทีสบายๆ หลังจากเห็นจุ๊กกรู๊หยุดโจมตี ราวกับในสายตาของเขา มือที่เขาััเมื่อครู่เป็เพียงการจับไม้ จับใบหญ้า มันไม่ใช่ข้อห้ามอะไรใดๆ
“ข้าหาข้อผิดปกติของผลไม้นั่นมาโดยตลอด แต่ท้ายที่สุดก็ไม่พบว่าปัญหานั้นมันอยู่ที่ใด สำหรับยาที่เฉินเทียนหยูดื่มมาเป็เวลาสามปีก็ไม่พบปัญหาใด” จ้าวจื่อซินเงยหน้าขึ้นมองเฉินเทียนหยูซึ่งยืนอยู่ด้านข้างมู่หรงฉิง เขากำลังยิ้มอย่างร่าเริง ก่อนเลื่อนสายตามองมู่หรงฉิงที่ยังคงมีอาการโกรธ “ถ้าทำได้ ข้าหวังว่าเ้าจะพบจุดเชื่อมโยงระหว่างทั้งสอง”
พูดมากไปแล้ว ปรากฏว่าเขา้าให้นางออกไปเสี่ยงค้นหาความเชื่อมโยงระหว่างทั้งสอง เขาประเมินความสามารถของนางสูงจริงๆ จ้าวจื่อซินรับใช้เคียงข้างเฉินเทียนหยูเป็เวลานานแล้วไม่ใช่หรือ? แม้กระทั่งเขาเองก็ยังไม่สามารถค้นพบจุดเชื่อมโยงระหว่างทั้งสองด้วยซ้ำ นางเป็ฮูหยินน้อยที่เพิ่งแต่งเข้ามาในจวนเฉิน นางจะรู้ได้อย่างไร?
“เ้ารู้หรือไม่ว่าเฉินเทียนหยูชอบเ้ามาก?” จ้าวจื่อซินย่อมรู้โดยธรรมชาติว่ามู่หรงฉิงคิดอะไรอยู่ในใจ นางหันศีรษะและถามอย่างใจเย็น
“เขาชอบข้าที่ไหนกัน? เห็นๆ อยู่ว่าเขาชอบกลิ่นหอมของผลไม้นั่น” มู่หรงฉิงเปล่งเสียงฮึ เทความคับข้องใจลงบนร่างของจุ๊กกรู๊ จ้าวจื่อซินเห็นเพียงขนสีเขียวมรกตของจุ๊กกรู๊ยุ่งเหยิงไม่เป็ระเบียบอยู่ใต้ฝ่ามือสีขาวนวลเนียนของมู่หรงฉิง จุ๊กกรู๊ที่ถูกทรมานได้แต่ซ่อนตัวอยู่บนแขนของจ้าวจื่อซินโดยไม่มีการโจมตีมู่หรงฉิง ก่อนร้องะโด้วยเสียงอันแหลมคม “แม่นางคนนี้หน้าตาดี! ได้โปรดออมมือ! ได้โปรดออมมือ!”
มู่หรงฉิงถึงกับใ ทำไมคำเหล่านี้ถึงได้รู้สึกคุ้นเคย?
“เ้าเห็นหรือไม่ ไม่ใช่แค่เฉินเทียนหยูที่ชอบเ้า แม้กระทั่งจุ๊กกรู๊ที่พูดไม่เกินหนึ่งประโยคต่อวัน วันนี้ยังพูดกับเ้าถึงสองประโยคมิหนำซ้ำยังไม่เหมือนกันเสียด้วย”
“ไม่เกินหนึ่งประโยคต่อวันกระนั้นหรือ?” นางเงยหน้าขึ้นมองจ้าวจื่อซินด้วยความประหลาดใจ “ฟังจากเสียงเลียนแบบของมัน มันพูดได้ชัดเจนมากจริงๆ”
“เมื่อก่อนมันก็พูดมาก ทว่าสามปีที่แล้วั้แ่เฉินเทียนหยูประสบกับเหตุการณ์ไม่คาดคิด มันดูเหมือนจะใ และไม่ว่าข้ากับชิงยวี่จะสอนอย่างไร เขาก็ไม่สามารถพูดอะไรมากกว่านั้นได้” สิ่งหนึ่งที่จ้าวจื่อซินไม่พูด หลังจากกลับมาที่จวนเฉิน มันก็ไม่ยอมเจอคนแปลกหน้าโดยเฉพาะผู้หญิง นั่นเป็เหตุผลที่จ้าวจื่อซินต้องย้ายจุ๊กกรู๊มาอยู่ในเรือนหยางเซิงเพื่อเลี้ยงดูมันตัวเดียว
่เวลาสามปีที่ผ่านมา คนที่จุ๊กกรู๊ได้พบมีเพียงเฉินเทียนหยู จ้าวจื่อซินและชิงยวี่สามคนเท่านั้น แม้กระทั่งฮูหยินเฉินและคนอื่นๆ ก็ยังไม่กล้ามาที่เรือนนี้ เนื่องด้วยกังวลว่าจุ๊กกรู๊จะใกลัวและะโแค่สองครั้งก็ตายแล้ว!
แม้ว่าในปัจจุบันจุ๊กกรู๊ไม่้าเข้าใกล้เฉินเทียนหยูมากเกินไป แต่ท้ายที่สุดมันก็เป็ที่รักและเฉินเทียนหยูก็ใส่ใจมันอยู่ทุกวัน ถ้ามันตายอย่างกะทันหัน เกรงว่าเฉินเทียนหยูจะเป็อะไรไปอีก ดังนั้นเรือนหยางเซิงแห่งนี้จึงกลายเป็สถานที่ต้องห้ามในจวนเฉิน!
ความคิดนั้นทำให้สายตาของจ้าวจื่อซินที่จ้องมองมู่หรงฉิงยิ่งลึกลงไปเรื่อยๆ มู่หรงฉิงผู้นี้ช่างเป็คนที่น่าสนใจมากกว่าที่เขาคิดด้วยซ้ำ
“ข้าไม่รู้เื่ด้วย แต่เฉินเทียนหยูชอบกลิ่นผลไม้นั่นก็เท่านั้น ใครก็ตามที่ทากลิ่นนี้บนร่างกาย เขาย่อมต้องชอบที่จะอยู่ใกล้อย่างแน่นอน!” เมื่อถูกจ้าวจื่อซินมองด้วยสายตาเช่นนั้น มู่หรงฉิงพลอยรู้สึกอึดอัดขึ้นเล็กน้อย นางจึงรีบดึงมือและหย่อนตัวลงนั่งด้านข้าง นางยอมที่จะมองเฉินเทียนหยูซึ่งขยับตัวเข้ามานั่งด้วยมากกว่าที่จะมองจ้าวจื่อซิน
มู่หรงฉิงมักจะรู้สึกว่า จ้าวจื่อซินผู้นี้แปลกพิกลอยู่เสมอ
ตามที่มู่หรงฉิงได้กล่าว หว่างคิ้วของจ้าวจื่อซินเกิดรอยย่นเล็กน้อย และหลังจากผ่อนคลายรอยย่นที่หว่างคิ้วเขาก็เรียก “ชิงยวี่”
“เ้านาย้าให้ทำอะไรหรือ?” ชิงยวี่เข้ามาในห้องและยืนอยู่ตรงหน้าจ้าวจื่อซินด้วยความหวาดกลัวระคนนอบน้อม
เ้านายหรือ?
มู่หรงฉิงประหลาดใจเพิ่มมากขึ้น นางชายตามองจ้าวจื่อซินอีกหน พริบตาก่อนชิงยวี่เรียกขานจ้าวจื่อซินว่าเ้านายหรือ? จ้าวจื่อซินผู้นี้มีภูมิหลังมาจากที่ใดกัน?
“ทาสิ่งนี้ไว้บนมือของเ้า พยายามล่อเฉินเทียนหยูอย่างสุดความสามารถ และดูว่าเขาตอบสนองอย่างไร” พร้อมโยนกล่องน้ำมันทาผมให้ชิงยวี่ ชายหนุ่มเ้าของชื่อไม่แม้กระทั่งจะเอ่ยถาม เขาเปิดกล่องทันที และเทน้ำมันใส่มือ
ในจังหวะที่มู่หรงฉิงยังคงมึนงง ชิงยวี่ได้ละเลงน้ำมันทาผมบนฝ่ามือและเดินไปหาเฉินเทียนหยู โดยยื่นฝ่ามือใหญ่ทั้งสองข้างของเขาเข้าใกล้เฉินเทียนหยู “คุณชายรองกลิ่นหอมของผู้น้อยเหมือนกับฮูหยินน้อยหรือไม่?”
การเอ่ยกับเฉินเทียนหยูด้วยวิธีตั้งคำถามของคนทั่วไปย่อมไม่ได้รับคำตอบปกติ
หลังจากเฉินเทียนหยูดมกลิ่นชั่วครู่หนึ่ง ในดวงตาของเขากลับเป็ประกายสีแดงวับ เวลาเพียงชั่วพริบตา เขาก็แสดงอาการหงุดหงิดในทันที “ออกไป! ออกไป! ออกไป!”
ขณะที่เฉินเทียนหยูผลักชิงยวี่ออกไป จ้าวจื่อซินก็โยนจุ๊กกรู๊ลงบนมือของชิงยวี่ ปกติแล้วยามจุ๊กกรู๊อยู่บนมือของชิงยวี่มันจะมีท่าทีอ่อนโยนอย่างยิ่งยวด ทว่าคราวนี้มันกลับเริ่มหงุดหงิดคล้ายเฉินเทียนหยู “ผู้หญิงเลว! ผู้หญิงเลว! ผู้หญิงเลว!”
จุ๊กกรู๊กระพือปีกราวกับกำลังโกรธอย่างคลุ้มคลั่ง มันอ้าปากและจิกมือของชิงยวี่
จุ๊กกรู๊มีท่าทีดุร้าย ขณะเดียวกันดวงตาของเฉินเทียนหยูก็แปรเปลี่ยนเป็สีแดง เวลาถัดมาเขาก็วิ่งไปหาชิงยวี่ “เ้าแพศยา! เ้าหลอกข้า! เ้าหลอกข้า!”
หนึ่งคน หนึ่งตัวต่างปรี่เข้าหาชิงยวี่ สถานการณ์ชุลมุนอยู่ตรงหน้าพวกเขาทั้งสองคน ชิงยวี่ย่อมไม่ทำร้ายจุ๊กกรู๊ และเขาย่อมไม่ทำร้ายเฉินเทียนหยูอย่างแน่นอน กล่าวอีกนัยหนึ่ง ชิงยวี่มีความสามารถในการทำร้ายจุ๊กกรู๊แต่เขาก็ไม่สามารถทำร้ายมันได้ และเขาก็ไม่มีความสามารถในการทำร้ายเฉินเทียนหยู ดังนั้นเขาจึงต้องหลีกเลี่ยงให้ได้
เฉินเทียนหยูฟาดชิงยวี่ด้วยฝ่ามือจนกระเด็นไปกระแทกกับผนัง มู่หรงฉิงลุกขึ้นยืนอย่างใ ด้วยความไม่ระวังส่งผลให้ถ้วยชาบนโต๊ะตกลงกับพื้นจนได้ยินดัง ‘เพล้ง’
“คุณชายรอง ผลไม้!”
ถ้วยน้ำชาตกลงบนพื้นทำให้เฉินเทียนหยูหันศีรษะกลับมา เมื่อเขาเห็นมู่หรงฉิง ดวงตาสีแดงของเขาจึงฉายแววตกตะลึงเป็อย่างมาก จ้าวจื่อซินเห็นว่าเฉินเทียนหยูกำลังจะรีบไปหามู่หรงฉิง จึงก้าวเท้าเข้าไปยืนขวางอยู่ด้านหน้ามู่หรงฉิง โดยเหยียดแขนออกและในมือของเขาก็มีผลไม้สีแดงหนึ่งลูก
เฉินเทียนหยูผู้ซึ่งยังคงคลุ้มคลั่ง สงบลงทันทีที่เห็นผลไม้และดวงตาสีแดงของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็สดใส
ด้วยสาเหตุที่ต้องเผชิญแต่เื่น่าใใน่สองสามวันก่อนหน้า คราวนี้มู่หรงฉิงจึงสงบลงมาก แน่นอนว่ามันจะดีกว่าถ้าขาทั้งสองข้างของนางไม่อ่อนแรงไปด้วย
เด็กสาวเห็นเฉินเทียนหยูสงบลงเช่นเดิมและกินผลไม้อย่างมีความสุข นางถึงกับทรุดตัวลงบนเก้าอี้อย่างอ่อนแรง ด้วยอัตราการเต้นของหัวใจพิสูจน์ให้เห็นว่าต้องรอเวลาอีกเล็กน้อยอารมณ์ของนางถึงจะสงบลง
ทางด้านเฉินเทียนหยูสงบลงแล้ว จุ๊กกรู๊ในอีกด้านหนึ่งย่อมจัดการได้ง่าย ชิงยวี่จับจุ๊กกรู๊ด้วยมือทั้งสองข้าง แล้วโยนเข้าไปในกรง จากนั้นเดินออกไป เมื่อเขากลับเข้ามา เขาก็ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว คิดว่าเขาน่าจะล้างมือในระหว่างเปลี่ยนเสื้อผ้ากระมัง
ชิงยวี่กลับมาอีกหนพร้อมจานอาหารปรุงสุก อารมณ์ของจุ๊กกรู๊ยังไม่สงบดี มันไม่แม้กระทั่งจะดูสิ่งที่ชิงยวี่นำมา นอกจากส่งเสียง ‘จุ๊กกรู๊’ เบาๆ อยู่ในกรงอย่างต่อเนื่อง