“พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ ฉี่ชิ่ง ฉี่เสียง พวกท่านมาแล้วหรือ เข้ามานั่งข้างในก่อนสิ!” อวิ๋นโส่วจงได้ยินเสียงก็รีบออกมาต้อนรับพร้อมกับฟางซื่อและลูกๆ
อวิ๋นโส่วกวงหน้าแดงก่ำ ยิ้มแห้งๆ พลางกล่าวว่า “ไม่ต้องเกรงใจหรอก พวกเรามีธุระ... พูดไม่กี่คำก็จะไปแล้ว”
อวิ๋นโส่วจงไม่รอช้า รีบโอบไหล่พี่ชายเดินนำไปที่ห้องโถง “มีอะไรก็เข้ามานั่งคุยกันข้างในก่อนเถอะ พอดีให้พวกเราสองพี่น้องได้ดื่มสุราด้วยกันสักสองจอก”
ส่วนฟางซื่อก็เข้าไปคว้าแขนจ้าวซื่อ พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “พวกเราก็เพิ่งทำงานเสร็จ เตรียมอาหารไว้นิดหน่อย พี่สะใภ้ใหญ่อย่าได้รังเกียจ กินข้าวพร้อมกันกับพวกเราสักหน่อยเถิด ยิ่งคนเยอะยิ่งครึกครื้น”
จ้าวซื่อรู้สึกเกรงใจ แต่พวกนางดันมาถึงในเวลานี้ เกรงว่าฟางซื่อจะเข้าใจผิด ว่าพวกนางจงใจมาตอนใกล้เวลาอาหาร จึงรีบโบกมือปฏิเสธ “ไม่ต้องหรอกๆ พวกเรากินข้าวที่บ้านมาแล้ว ท่านพ่อท่านแม่แค่ให้พวกเรามาแจ้งข่าว”
อวิ๋นเจียวกับพี่ชายทั้งสองคนก็เดินตามออกมา พอเห็นว่าจ้าวซื่อกับฉี่ชิ่ง ฉี่เสียงดูลำบากใจ นางจึงรีบเอ่ยขึ้น “พี่ฉี่ชิ่ง พี่ฉี่เสียง พอดีพวกข้ากำลังเบื่อๆ พวกท่านเล่าเื่สนุกๆ ในหมู่บ้านกับบนเขาให้ข้าฟังหน่อยได้ไหมเ้าคะ”
อวิ๋นฉี่ซานรีบพูดด้วยความดีใจ “ดีเลยๆ ข้าเองก็อยากฟัง!”
ฉี่ชิ่งเกาหัวอย่างเขินอาย “ที่ชนบทไม่มีเื่อะไรน่าสนใจหรอก!”
“น้องเจียวเอ๋อร์อยากฟังเื่อะไร? ข้าเล่าให้ฟังเอง!” ฉี่เสียงชอบน้องสาวคนนี้มาก นางทั้งฉลาดและน่ารัก ผิวพรรณผุดผ่อง เวลาได้ยินนางพูดหรือเห็นนางยิ้ม หัวใจของเขาก็อ่อนยวบไปหมด
อวิ๋นเจียวจึงเอ่ยขึ้น “เช่นนั้นพวกเราไปคุยกันที่ห้องครัวเถอะ อย่าไปรบกวนพวกท่านผู้ใหญ่คุยธุระเลย!”
ฟางซื่อมองเด็กๆ ด้วยสายตาเอ็นดู ก่อนจะกำชับอวิ๋นฉี่เยว่ “ดูแลน้องๆ ให้ดี อย่าปล่อยให้เ้าลิงสองตัวนี้ไปก่อกวนพี่ฉี่ชิ่งกับพี่ฉี่เสียงเข้าล่ะ!”
อวิ๋นฉี่เยว่พยักหน้า แล้วกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “ขอรับ ท่านแม่!”
ในห้องครัวมีโต๊ะกับม้านั่งอยู่แล้ว เป็ที่ที่ชุนเหมยกับอากุ้ยใช้กินข้าวเป็ประจำ แม้ว่าตอนอยู่ที่เมืองหลวง ครอบครัวอวิ๋นโส่วจงจะเป็เพียงครอบครัวเล็กๆ ใช้ชีวิตอย่างประหยัดมัธยัสถ์ ปฏิบัติต่อคนรับใช้สองคนนี้เป็อย่างดี แต่ฟางซื่อก็ตั้งกฎเกณฑ์ไว้อย่างเคร่งครัด
คนรับใช้ก็คือคนรับใช้ ไม่อาจนั่งร่วมโต๊ะอาหารกับเ้านายได้
อวิ๋นเจียวเป็คนจากยุคปัจจุบัน แต่ก็ไม่ได้คิดที่จะท้าทายกฎของฟางซื่อ เพราะที่นี่คือยุคโบราณ นางไม่มีความกล้าหาญที่จะปฏิวัติ และไม่มีความสามารถที่จะล้มล้างระบบศักดินา
สิ่งที่นาง้าในชีวิตนี้ก็คือใช้ประโยชน์จากระบบเถาเป่า เพื่อให้คนในครอบครัวของนางได้มีชีวิตที่ร่ำรวยขึ้น สะสมที่ดิน สร้างคฤหาสน์ใหญ่โต ซื้อบ่าวไพร่ นี่คือความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ของนาง
หลังจากทุกคนนั่งลงที่โต๊ะ ชุนเหมยก็ยกขนมออกมาให้ จากนั้นก็รีบไปก่อไฟ ต้มบะหมี่ไข่ไก่ใส่กากหมูหลายชามและยกมาให้
ทันทีที่บะหมี่ถูกยกมาวาง ความหิวในท้องของอวิ๋นฉี่เสียงก็เริ่มก่อขึ้น กลืนน้ำลายไม่หยุด ส่วนอวิ๋นฉี่ชิ่งไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน ตอนนี้มีบะหมี่ที่มันเยิ้มชามโตวางอยู่ตรงหน้า ท้องของเขาก็พลันร้องจ๊อกๆ
ใบหน้าของเขาแดงก่ำในพริบตา กำลังจะปฏิเสธ อวิ๋นฉี่เยว่ก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน “พี่ฉี่ชิ่ง พี่ฉี่เสียง ทานเถอะขอรับ ชุนเหมยทำเผื่อไว้เยอะ หากพวกท่านไม่ช่วยกินคงกินไม่หมดแน่!”
ฉี่เสียงรีบกล่าว “เช่นนั้นพวกข้าไม่เกรงใจแล้วนะ!” กล่าวจบก็ตักบะหมี่คำโตเข้าปาก โดยไม่สนใจว่าจะร้อนหรือไม่
เมื่อเห็นอวิ๋นฉี่เยว่กับน้องสาวเริ่มกิน อวิ๋นฉี่ชิ่งจึงไม่เกรงใจอีกต่อไป บะหมี่ชามนี้น่ากินมาก ไม่เพียงแต่ใส่ไข่ไก่ ยังใส่กากหมูด้วย! ต้องรู้ว่าพวกเขาสองพี่น้อง มีเพียงแค่่วันตรุษจีนเท่านั้น ถึงจะได้กินไข่ต้มคนละฟอง โดยต้องให้ผู้เฒ่าอวิ๋นเอ่ยปากกับเถาซื่อหลายครั้ง
หลังจากกินบะหมี่เสร็จ อวิ๋นฉี่เสียงก็เล่าเื่สนุกๆ ในหมู่บ้านไหวซู่ ให้อวิ๋นเจียวกับพี่ชายทั้งสองคนฟัง ทั้งสามคนฟังอย่างตั้งใจ โดยเฉพาะอวิ๋นเจียว พอถึงตอนสนุกๆ ก็จะหัวเราะออกมาทุกครั้ง อวิ๋นฉี่เสียงเห็นดังนั้นก็ยิ่งเล่าอย่างออกรสชาติ
เทียบกับบรรยากาศผ่อนคลายในห้องครัวแล้ว บรรยากาศในห้องโถงกลับดูอึมครึมกว่ามาก
“รังแกกันเกินไปแล้ว!” หลังจากฟังอวิ๋นโส่วกวงกับจ้าวซื่อเล่าเื่ที่เกิดขึ้นที่บ้านใหญ่ อวิ๋นโส่วจงก็โกรธจนต้องวางตะเกียบลงกับโต๊ะเสียงดัง หน้าอกของเขากระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง
จ้าวซื่อนั่งอยู่ข้างๆ ฟางซื่อ นางยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา “...ปกติท่านแม่รังแกครอบครัวพวกเราก็ช่างเถิด แต่ตอนนี้ยิ่งแล้วใหญ่ กลับโยนความผิดมาให้ฉี่ชิ่ง บอกว่าฉี่ชิ่งแอบขโมยรถม้าที่เอาไปส่งให้อาห้าของเขาที่สำนักศึกษาไปขาย ฉี่ชิ่งอายุสิบห้าปีแล้ว ถูกผู้ใหญ่ในบ้านใส่ร้ายเช่นนี้ ถูกตราหน้าว่าเป็ขโมย หากเื่นี้แพร่ออกไป ภายภาคหน้าฉี่ชิ่งจะหาภรรยาได้อย่างไร?”
อวิ๋นโส่วกวงถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง “เื่นี้ไม่ใช่เื่สำคัญ ที่สำคัญคือรถม้าสองคันนั้น อย่างน้อยก็ราคาหกสิบตำลึงเงินเชียวนะ! คืนนี้ท่านแม่โยนความผิดนี้มาให้บ้านใหญ่ของพวกข้า คงไม่คิดจะจ่ายเงินคืนแล้ว! น้องรอง เ้าจะทำอย่างไรก็ทำเถิด ส่วนพวกเราน่ะ เ้าไม่ต้องสนใจ! ยังไงรถม้าคันนั้น ฉี่ชิ่งก็ไม่ได้เป็คนเอาไป”
อวิ๋นโส่วกวงรู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง ที่ผ่านมาต่อให้เถาซื่อจะทำเกินไปมากแค่ไหน ครอบครัวพวกเขาก็ได้แต่ยอมทน อาจเพราะครอบครัวของพวกเขาไม่มีอะไรให้เถาซื่อโลภมาก หรือบางทีเพราะที่ผ่านมาเ้าสี่แอบขโมยของในบ้านไปขาย ก็ไม่ได้มีค่าอะไรมากมาย ต่อให้โยนความผิดมาที่บ้านใหญ่ของพวกเขา เถาซื่อดุด่าแค่ไม่กี่คำก็แล้วกันไป ไม่เคยมีครั้งไหนที่ร้ายแรงเท่าวันนี้... ให้พวกเขาออกหน้า เพื่อให้บ้านของน้องรองต้องจำยอมรับความเสียหายนี้!
ฟางซื่อไม่รู้ว่าจะปลอบใจจ้าวซื่ออย่างไร และไม่รู้จะพูดห้ามอย่างไร ตราบใดที่พวกเขายังไม่แยกบ้าน ชีวิตเช่นนี้ก็จะยังคงดำเนินต่อไป
“พี่ใหญ่ พี่ไม่คิดอยากแยกบ้านออกมาอยู่เองหรือ?” อวิ๋นโส่วจงไม่ได้พูดถึงเื่รถม้า แต่กลับพูดถึงเื่แยกบ้านอีกครั้ง
อวิ๋นโส่วกวงถอนหายใจ “ท่านพ่อไม่ยอมให้แยกบ้านหรอก แม้แต่เถาซื่อก็ไม่ยอมเช่นกัน!”
จ้าวซื่อกล่าว “ที่นาของบ้านเรามีทั้งหมดสามสิบหมู่ พึ่งพาบ้านพวกเรากับบ้านสามช่วยกันทำไร่นา ส่วนบ้านสี่แม้จะทำเป็ลงไปช่วยทำงานในไร่นา แต่จริงๆ แล้วแค่ทำเป็พิธีพอให้ท่านพ่อท่านแม่เห็นเท่านั้น หากแยกบ้านกันอยู่ อาศัยแค่บ้านสาม ที่ไร่นาพวกนั้นคงทำไม่หมดไม่สิ้น! เพื่อส่งเสียให้เ้าห้าให้ได้เรียนหนังสือ ที่บ้านขายที่นาไปแล้วห้าสิบหมู่ เหลือเพียงสามสิบหมู่นี้ ไม่ว่าจะจ้างคนงาน หรือให้คนอื่นมาเช่า ก็ไม่คุ้มทุน”
ยิ่งจ้าวซื่อพูด น้ำเสียงก็ยิ่งเบาลงเรื่อยๆ หัวใจก็ยิ่งหนาวเหน็บ พวกนางก็เป็แค่แรงงานที่ไม่ต้องจ่ายเงิน เถาซื่อไม่มีทางปล่อยพวกนางไปแน่
อวิ๋นโส่วจงเอ่ย “พี่ใหญ่ ขอแค่ท่านบอกมาว่าอยากแยกบ้านหรือไม่? ถ้าอยาก ยังไงก็ต้องมีวิธีการ!”
จ้าวซื่อได้ยินดังนั้นก็หันไปมองอวิ๋นโส่วกวง ดวงตาที่มืดมัวพลันเปล่งประกายแห่งความหวัง มือที่กำชายเสื้อแน่นขึ้นกว่าเดิม
อวิ๋นโส่วกวงก้มหน้า พูดด้วยน้ำเสียงหดหู่ “ก่อนที่ท่านแม่จะจากไปท่านแม่ฝากฝังให้ข้าดูแลท่านพ่อกับเ้าให้ดี... ยิ่งไปกว่านั้น หากพวกข้าแยกบ้านออกมาอยู่เอง ที่บ้านก็จะขาดแรงงานหลายคน... เ้าห้าก็ต้องเรียนหนังสือที่สำนักศึกษาไปสอบเป็บัณฑิต ท่านพ่อ... ท่านก็อายุมากแล้ว!”
เมื่อเขาพูดจบ ร่างของจ้าวซื่อก็พลันหมดเรี่ยวแรง ดวงตาว่างเปล่าราวกับร่างไร้ิญญาที่เดินได้ ฟางซื่อลูบหลังจ้าวซื่อเบาๆ นางเข้าใจความเสียใจของจ้าวซื่อ ผู้หญิงคนหนึ่ง หลังจากแต่งงานแล้ว ชั่วชีวิตจะดีหรือร้าย ล้วนขึ้นอยู่กับสามีทั้งสิ้น
มองเห็นท่าทางของอวิ๋นโส่วกวงเช่นนี้ หัวใจของอวิ๋นโส่วจงก็เ็ป “พี่ บอกข้ามาเถิดว่าท่านอยากแยกบ้านหรือไม่ ไม่ต้องไปสนใจเื่อื่น!”
“อยากสิ ทำไมจะไม่อยากล่ะ แต่แค่อยากแล้วมีประโยชน์อันใด?”