ห่างออกไปพันลี้ทางทิศใต้ของอารามเสวียนอู้
ควันพิษห้าสีราวกับก้อนเมฆชั้นหนาลอยอยู่กลางอากาศ
แท่นบูชาโบราณแปลกประหลาดแท่นหนึ่งที่สร้างขึ้นจากซากกองกระดูก หญิงผู้หนึ่งที่หน้าตาอัปลักษณ์น่าหวาดกลัวราวกับผีผู้หนึ่ง โบกสะบัดเล็บมือคมกริบสีดำ กำลังพูดอะไรบางอย่าง
เด็กชายเด็กหญิงิัดำคล้ำที่สวมอาภรณ์ชุดสั้นห้าคนต่างก็กำลังรับฟังอย่างสงบ
“หอหลิงเป่า สำนักหลิงอวิ๋น หุบเขาเทา และอารามเสวียนอู้สี่สำนัก ก่อนหน้านี้ทำงานใหญ่ของพวกเราพัง พวกเราคงต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว” ในแววตาของหญิงผู้นั้นฉายแสงสีเขียวเป็มันขลับ กล่าวด้วยเสียงเย็นเยียบว่า “ที่ให้พวกเ้าไปโลกมายามรกต มีเพียงเป้าหมายเดียวคือฆ่าพวกเด็กรุ่นเดียวกับพวกเ้าของสี่สำนักนั่นให้เกลี้ยง!”
“ใต้เท้าเย่กุ่ย ท่านโปรดวางใจ ก่อนที่พวกเราจะกลับออกมาจากโลกมายามรกต คนรุ่นเดียวกันจากทั้งสี่สำนักนั่นต้องตายเกลี้ยงอย่างแน่นอน” เด็กชายผอมแห้งผู้หนึ่งแสยะปากพูด เลียริมฝีปากบนด้วยท่าทางโเี้ ราวกับสัตว์ร้ายกระหายเืตัวหนึ่ง
เด็กชายผู้นั้นชื่อว่าโม่ซี ขอบเขตหลอมลมปราณขั้นเก้า เป็ลูกศิษย์ของสำนักภูตผี
ตรงหน้าอกของพวกเขาแขวนสร้อยคอที่ร้อยกระดูกนิ้วมือไว้เป็พวง กระดูกนิ้วมือแต่ละนิ้วนั้นต่างก็เป็นิ้วมือของศัตรูที่พวกเขาสังหาร และเป็คนขอบเขตเดียวกันกับพวกเขา
ลูกศิษย์สำนักภูตผี ทุกครั้งที่ฆ่าศัตรูซึ่งอยู่ในขอบเขตเดียวกันคนหนึ่งก็จะตัดนิ้วหัวแม่มือของศัตรูคนนั้นมาร้อยเป็พวง
ลูกศิษย์สำนักภูตผีอีกสี่คนที่เหลือ พวงกระดูกที่ทำมาจากกระดูกนิ้วของศัตรูทำได้เพียงเอามาร้อยเป็กำไลข้อมือเท่านั้น
มีเพียงโม่ซีที่ฆ่าศัตรูรุ่นเดียวกันได้มากกว่า ถึงสามารถเอากระดูกนิ้วพวกนั้นมาร้อยเป็สร้อยคอสวมไว้ได้
เห็นได้ชัดว่าเขาเป็คนที่แข็งแกร่งที่สุด น่ากลัวที่สุดในบรรดาห้าคนนี้
“อืม หากเ้าไป แน่นอนว่าข้าย่อมวางใจ” หญิงชราที่ถูกเรียกว่าเย่กุ่ย หัวเราะเสียงประหลาดหลอกหลอนสองที กล่าวว่า “คนของสำนักโลหิตก็มาถึงแล้ว”
เพิ่งจะพูดจบไปก็พลันมองเห็นชายฉกรรจ์ร่างบึกบึนที่ผมสีแดงสยายยุ่งเหยิงผู้หนึ่ง นำเด็กของสำนักโลหิตห้าคนมาถึงหน้าแท่นบูชาซากกระดูก
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นเส้นผมของเขาสีแดงราวกับเื ผมแต่ละเส้นของเขาสยายลงมาที่หน้าผากกว้างใหญ่นั้น มองแวบๆ ราวกับรอยเืหลายเส้น
ชายหญิงห้าคนที่ตามมาด้านหลังของเขา บนร่างต่างมีกลิ่นของคาวเืลอยออกมาอย่างชัดเจน ราวกับว่าเด็กเ่าั้เพิ่งจะดื่มเืสดจากงานเลี้ยงฉลองแห่งคาวเืกันมา
เด็กหญิงที่เป็ผู้นำคนหนึ่ง แต่งกายเต็มยศ ใบหน้างดงามราวภาพวาด ทว่าสีหน้ากลับเ็า ท่าทางไม่น่าเข้าใกล้
“อวี๋ถง! คราวนี้สำนักโลหิตมีเ้าเป็ผู้นำรึ?” พอโม่ซีแห่งสำนักภูตผีมองเห็นเด็กหญิงคนนั้นก็ร้องอุทานขึ้นมาอย่างตกตะลึงว่า “เ้ากำลังจะฝ่าขอบเขตท้าย์อยู่มิใช่หรือ?”
“ข้าจะเหยียบย่างเข้าขั้นท้าย์ในโลกมายามรกต” อวี๋ถงแห่งสำนักโลหิตพูดด้วยเสียงเย็นเยียบ
“หึ ดูท่าเื่คราวก่อนคงทำให้สำนักโลหิตของเ้าโกรธเข้าจริงๆ ถึงได้ส่งอวี๋ถงเข้าไปในโลกมายามรกต” หญิงชราสำนักภูตผีหัวเราะเสียงต่ำน่าสยดสยอง นางพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “เป็เช่นนี้ก็ดี ลำพังแค่โม่ซีคนเดียว ข้ายังรู้สึกว่าไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่นัก ถ้ามีอวี๋ถงด้วยก็ไม่มีปัญหาแล้ว”
“ภารกิจที่คนของสี่สำนักได้รับในการประลองก็คือสังหารสัตว์วิเศษระดับสองสี่ตัว” ชายฉกรรจ์ของสำนักโลหิตหัวเราะหึหึแล้วกล่าวกับลูกศิษย์สำนักโลหิตเ่าั้ที่อยู่ด้านหลังว่า “ภารกิจของพวกเ้า ไม่ใช่สัตว์วิเศษสี่ตัวนั่น แต่เป็ลูกศิษย์ทั้งสี่สำนักทุกคนที่เข้าร่วมการประลองในโลกมายามรกตในครั้งนี้!”
“พวกเ้าก็คือนักล่า!”
“เหยื่อที่สำคัญที่สุดมีสี่คน ก็คืออันอิ่งแห่งหอหลิงเป่า เจียงหลิงจูแห่งสำนักหลิงอวิ๋น หยวนเฟิงแห่งหุบเขาเทา และยังมีเจิ้งปินแห่งอารามเสวียนอู้!”
“พวกมันต่างก็เป็ลูกศิษย์คนสำคัญที่ทั้งสี่สำคัญต่างมองเป็เมล็ดพันธ์ชั้นดี สังหารพวกเขา ใครที่สามารถถือหัวของพวกมันออกมาจากโลกมายามรกตได้ ข้าจะตบรางวัลให้อย่างงาม!”
“หนี้เืต้องชดใช้ด้วยเื สี่สำนักกล้าทำลายงานใหญ่ของพวกเราก็อย่ามาโทษว่าพวกเราทำลายรากฐานในอนาคตของพวกมัน!”
ชายฉกรรจ์ของสำนักโลหิตกล่าวเสียงเ็า
“สมควรแก่เวลาแล้ว” หญิงชราสำนักภูตผี หยิบเอากระดูกแท่งหนึ่งออกมาโยนลงไปในแท่นบูชาซากกระดูกนั้น
ตรงกลางแท่นบูชาซากกระดูกนั้น ประตูแสงสีเขียวเข้มบานหนึ่งค่อยๆ ปรากฏรูปร่างขึ้นมา
“อย่างไรเสียโลกมายามรกตก็ไม่ใช่โลกลึกลับของพวกเรา การที่พวกเราเปิดประตูโลกลึกลับแห่งนั้นออกต้องใช้เวลามาก พวกเ้าจำเอาไว้ว่าต้องทำงานให้เสร็จภายในครึ่งปี เพื่อกลับมาก่อนกำหนด” ขณะที่หญิงชราเปิดประตูก็กำชับด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “กลับมาช้า ถูกคนของสี่สำนักเจอตัวก็จงรอความตายอยู่ในโลกมายามรกตเถอะ”
“รับทราบ”
“แค่สามเดือนพวกเราก็ทำงานนี้เสร็จแล้ว ผู้ที่ไร้ฝีมือกลับมาก็สมควรตายอยู่ในโลกมายามรกต!”
“ประตูเปิดแล้ว!”
สายตาน่าสะพรึงกลัวของหญิงชรากวาดมองไปทั่วร่างของผู้ฝึกลมปราณทั้งสิบคนของสำนักภูตผีและสำนักโลหิต
......
ณ โลกมายามรกต
เนื่องจากเนี่ยเทียนไม่ใช่ลูกศิษย์ของตระกูลภายใต้สังกัดสำนักหลิงเป่า ดังนั้นตลอดทางที่เดินทางมาจึงไม่มีคนสนใจเขาสักคน
เขาเองก็มีความสุขกับการอยู่อย่างอิสระ แล้วก็ไม่ได้สนใจจะพูดคุยกับเด็กหนุ่มเด็กสาวพวกนั้นด้วย ระหว่างทางยังจงใจทิ้งระยะห่างอยู่ด้านหลัง แค่ตามพวกเขาไปห่างๆ
ก่อนที่อันอิ่งจะเข้ามาน่าจะได้รับคำแนะนำจากผู้าุโของหอหลิงเป่าแล้ว นางมักจะหยิบเอาแผนที่แผ่นหนึ่งขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา หลังจากอ่านอย่างละเอียดถึงจะระบุทิศทางได้
เห็นได้ชัดว่าจากแผนที่แผ่นนั้น ทำให้นางรู้ว่าเส้นทางไหนสามารถนำไปสู่งูเหลือมเพื่อแลกมาด้วยโอสถบรรลุ์ได้
บนพื้นที่รกร้างเปล่าเปลี่ยว อันอิ่งนำพาคนเ่าั้ของหอหลิงเป่าเร่งรุดเดินทางอยู่ตลอดเวลา
โลกมายามรกตไม่มีดวงจันทร์และดวงดาว ไม่มีความแตกต่างระหว่างกลางวันและกลางคืน หากไม่มีสิ่งของที่ช่วยคำนวณเวลาเป็พิเศษก็ยากที่จะรู้เวลาที่แน่นอนได้
เนี่ยเทียนมาจากตระกูลเนี่ย แน่นอนว่าย่อมไม่มีทางมีอุปกรณ์ประเภทนี้ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าพวกเขาใช้เวลาอยู่ในป่ารกร้างไปนานเท่าไหร่แล้ว
ในความรู้สึกของเขา ในป่าเปลี่ยวร้างที่เงียบเหงาแห่งนี้ อย่างน้อยพวกเขาก็ต้องอยู่มาแล้วสองวัน
สองวันมานี้ พวกเขาไม่ได้เจอสัตว์วิเศษใดๆ สักตัว เห็นแค่เพียงโครงกระดูกของสัตว์วิเศษที่กลาดเกลื่อนเต็มพื้น
“ใกล้จะลอดผ่านป่ารกร้างได้แล้ว เกาะน้ำแข็งด้านหน้าก็คือพื้นที่เป้าหมายของพวกเรา งูเหลือมน้ำแข็งตัวนั้นอยู่ในเกาะน้ำแข็งเ่าั้ นับั้แ่ตอนนี้ไปทุกคนต้องระวังตัวให้มากหน่อย” วันนี้อยู่ๆ อันอิ่งก็หยุดชะงักฝีเท้า ชี้ไปยังูเาหลายลูกที่พอเห็นได้ลางๆ กล่าวอธิบายกับทุกคนว่า “ป่ารกร้างเดิมทีเป็พื้นที่อยู่อาศัยของชนเผ่าดุร้าย เคยเป็ขอบเขตอำนาจของชนเผ่าเ่าั้”
“แต่คนต่างเผ่าตายกันไปหมดนานแล้ว ดังนั้นตลอดทางที่ผ่านมาพวกเราถึงได้ปลอดภัย”
“ทว่าหากออกจากผืนป่ารกร้างแห่งนี้เข้าไปในเขตของเกาะน้ำแข็ง ก็ต้องเริ่มเผชิญหน้ากับสัตว์วิเศษของโลกมายามรกตแล้ว สัตว์วิเศษเ่าั้ที่ยังมีชีวิตอยู่ในโลกมายามรกต มองทุกคนที่มาเยือนเป็ศัตรู หากพบพวกเรา พวกมันก็จะโจมตีทันที”
“อย่างไรเสียสัตว์วิเศษระดับสูงทั้งหมดก็ล้วนตายด้วยน้ำมือของพวกเราสี่สำนักแล้ว และพวกมันก็เข้าใจในข้อนี้ดี”
ขณะที่อันอิ่งพูด อยู่ๆ สายตาก็หันมาจับจองเนี่ยเทียนที่อยู่ด้านหลังสุด
ใบหน้าเนี่ยเทียนเผยความงงงัน ไม่รู้ว่าเหตุใดตอนนี้อันอิ่งถึงหันมาจ้องเขากะทันหัน
“ต่อไปอาจพบเจอสัตว์วิเศษได้ตลอดเวลา คนที่อยู่ด้านหน้าสุดจะถูกสัตว์วิเศษโจมตีได้ง่ายที่สุด” อันอิ่งหัวเราะเสียงต่ำหนึ่งครั้ง “สภาพแวดล้อมของเกาะน้ำแข็งนั้นช่างซับซ้อนนัก ต่างก็ไม่รู้ว่าสัตว์วิเศษหลบอยู่ที่ไหน จะโจมตีกะทันหันจากสถานที่ใด”
เมื่อนางพูดเช่นนี้ เจิ้งรุ่ยและพันเทาต่างก็เผยสีหน้าประสงค์ร้ายออกมาทันที
“เนี่ยเทียน เ้าไม่ใช่คนของหอหลิงเป่าของพวกเรา ในเมื่อเ้าได้เปรียบคนของหอหลิงเป่า ได้ป้ายคำสั่งให้เข้ามาร่วมประลองในโลกมายามรกต ถ้าเช่นนั้นเ้าก็ควรทำอะไรเพื่อพวกเราบ้าง หึหึ ภารกิจตรวจสอบเส้นทางด้านหน้าสุด แน่นอนว่าย่อมตกเป็หน้าที่ของเ้า” อันอิ่งหรี่ตาหัวเราะชั่วร้าย
ภายในพริบตาเดียวสายตาของผู้ประลองทุกคนก็ล้วนมารวมกันอยู่บนตัวเนี่ยเทียน
ตอนที่เด็กชายเด็กหญิงเ่าั้ที่มาจากแต่ละตระกูลมองมายังเขา สายตาล้วนเต็มไปด้วยความชั่วร้าย
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต่างก็รู้สึกว่าการที่ให้เนี่ยเทียนซึ่งเป็คนนอกรับหน้าที่สำรวจเส้นทาง เพื่อเผชิญอันตรายก่อนใครนั้น เป็เื่ที่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง
“ข้ายังจะพูดอะไรได้อีกหรือ?” เนี่ยเทียนกล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ
“ไม่เลวเลยนี่” อันอิ่งยิ่งยิ้มเบิกบานมากขึ้น “เพียงเ้าไปจากพวกเรา เดินทางเพียงลำพังในโลกมายามรกต ก็ไม่ต้องฟังคำสั่งของข้าอีก”
เนี่ยเทียนลูบจมูก พยักหน้า “ก็ได้ ข้าจะสำรวจเส้นทางอยู่ด้านหน้าสุดเอง”
คนฉลาดต้องรู้จักอะไรควรไม่ควร โลกมายามรกตเป็โลกที่แปลกใหม่สำหรับเขาอย่างสิ้นเชิง หากไปจากคนของหอหลิงเป่า เขาก็ไม่ต่างอะไรไปจากคนตาบอด
แผนที่แผ่นนั้นในมือของอันอิ่ง สามารถทำให้พวกเขาหาสัตว์วิเศษระดับสองสี่ตัวเจอได้ นี่เป็สิ่งที่เขาให้ความสำคัญมากที่สุด
หากไปจากอันอิ่ง ในโลกมายามรกตอันแสนกว้างใหญ่ใบนี้ เขาก็คลำทางเดินไปไม่ถูกราวกับงมเข็มในมหาสมุทร
เขาอาจถึงขั้นหาทางกลับไม่เจอ ครึ่งปีให้หลังอาจไม่ได้ออกไปจากโลกมายามรกตแห่งนี้ได้
ด้วยเหตุนี้ แม้จะรู้ว่าอันอิ่งจงใจกลั่นแกล้งเขา เขาเองก็ทำได้เพียงอดทนไว้ก่อนชั่วคราว ไว้ครั้งหน้าค่อยเอาคืนก็ยังไม่สาย
“เชื่อฟังคำสั่งก็ดีแล้ว ไปสิ เ้าพาพวกเราเข้าไปในเกาะน้ำแข็งด้านหน้า ให้พวกเราได้เจอกับสัตว์วิเศษของโลกมายามรกตหน่อยสิว่าร้ายกาจจริงอย่างที่พวกผู้าุโบอกหรือไม่” อันอิ่งกล่าวอย่างลำพองใจ
“อืม” เนี่ยเทียนตอบรับอย่างว่าง่าย
ไม่นานเขาก็เดินผ่านคนทั้งกลุ่มมาเดินนำอยู่ด้านหน้าสุด
ภายใต้สายตาเร่งเร้าของอันอิ่น เขาก้าวเดินยาวๆ ไปด้านหน้า ใช้เวลาครึ่งชั่วยามก็สามารถลอดผ่านผืนป่ารกร้างออกมายังเขตเกาะน้ำแข็งที่สัตว์วิเศษเข้าๆ ออกๆ ได้จริง
“โฮก! โฮก!”
เพิ่งจะเข้ามาสู่เกาะน้ำแข็ง เสียงร้องคำรามด้วยความโกรธแค้นของสัตว์วิเศษก็พลันดังขึ้น
“สวบ สวบ!”
ด้านหลังต้นไม้น้ำแข็งโปร่งใสหลายต่อหลายต้น ทันใดนั้นมีสัตว์วิเศษจำนวนมากพากันดาหน้าเข้ามา ดวงตาของสัตว์วิเศษเ่าั้ล้วนฉายแววของความเคียดแค้นออกมา พร้อมกระโจนเข้ามาหาเขาก่อนเป็อันดับแรก
------
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้