“หรือว่าเืสัตว์ร้ายในตัวท่านยังสงบอย่างนั้นหรือ? เป็ไปไม่ได้ เห็นได้ชัดว่ากลิ่นหอมเย็นหายไปนานแล้วนี่”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ มู่เทียนอินก็รู้สึกลังเลใจเล็กน้อย
นางต้องแยกแยะ
แม้ว่าบุรุษผู้นี้จะเอาแต่ใจและน่ารังเกียจก็ตาม
ทว่านางก็พลาดพลั้งไปฝึกเคล็ดวิชาดวงใจจักรพรรดิก่อน แล้วจึงมารับปากอุ่นเตียงให้เขาเป็เวลาหนึ่งเดือนภายหลัง
หากเกิดอะไรขึ้นกับเืสัตว์ร้ายในตัวเขาเกิดปัญหาอะไรขึ้น นางจะไม่ยอมนิ่งดูดายอย่างแน่นอน
“เ้าไม่เข้าใจ”
ซู่หลิงอุ้มร่างเล็กที่บอบบางของนางไว้ในอ้อมแขน
ริมฝีปากบางกดแนบลงบนพวงแก้มของนาง และเสียงทุ้มเย็นก็ดังขึ้นอย่างแ่เบา
“ซู่! หลิง!”
น้ำเสียงของเขาเป็ปกติธรรมดา
ทว่าหลังจากที่มู่เทียนอินได้อยู่ใกล้ชิดกับเขามาเป็เวลาหนึ่งเดือน ทว่าก็สามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกรังเกียจเล็กน้อยที่แฝงอยู่ในนั้น
มู่เทียนอินโกรธมากจนใบหน้าขาวผ่องแดงก่ำ
ใช่แล้ว นางไม่เข้าใจอะไรเลย
เคล็ดวิชาดวงใจจักรพรรดิบ้าอะไรนั่น การบำเพ็ญคู่อะไรนั่นอีก และยังมีเืสัตว์ร้ายที่ไม่อาจคาดเดาได้...
นางไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเื่นี้เลย
นางเป็เพียงผู้ฝึกตนธรรมดาเท่านั้น
ใครจะไปเข้าใจเคล็ดวิชาขั้นสูงที่ทั้งประหลาดเต็มไปด้วย ‘ตัณหา’ เช่นนี้ได้ล่ะ!
“ทำตัวให้ดี จดจ่อกับลมปราณภายใน”
เมื่อมองพวงแก้มของนางที่แดงก่ำด้วยความโกรธ ดวงตาสีดำขลับงดงามที่ขุ่นมัว
ดวงตาของซู่หลิงก็ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ริมฝีปากบางสีแดงอ่อนพึมพำเบาๆ
เพื่อเื่นั้นแล้ว จำเป็ต้องเตรียมการอย่างรอบคอบอยู่เสมอ
หากฝึกฝนเคล็ดวิชานี้สำเร็จ ก็จะไม่เสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียวเลย
เป็ไปได้หรือไม่ว่าเขา้า 'ปราบเืสัตว์ร้าย' จริงๆ?
เมื่อได้ยินเสียงเ็าที่คุ้นเคยดังขึ้น มู่เทียนอินก็ถูกดึงเข้าสู่สภาวะนั้นทันที
…
เขาอุ้มมู่เทียนอินกลับไปที่พระราชวังอวี้ชิง
เมื่อนึกถึงบรรยากาศในตระกูลมู่ แม้นางจะลอบหนีกลับไป
ไม่ต้องพูดถึงว่าจะผ่านด่านท่านปู่ที่เป็ห่วงหนักหนาไปได้อย่างไร
เมื่อคิดถึงสายตาที่ซ่อนความหมายลึกซึ้งของทุกคน แค่คิดก็มากพอแล้ว
“สามวันก็สามวัน อีกสิบวันให้หลัง ข้าจะต้องเข้าร่วมในพิธีทดสอบใหญ่ คืนนี้ข้าจะต้องทะลวงผ่านระดับิญญาสีชาดให้ได้”
มู่เทียนอินเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย และบอกกับเขาอย่างจริงจัง
ต่อให้ต้องชดเชยเป็เวลาสามวัน
ทว่าหาก้าอันดับที่ดีจริงๆ เมื่อมีระดับิญญาสีชาดจึงจะมีความมั่นใจ
“อืม เ้าไม่ต้องแช่ยา เพียงอยู่นิ่งๆ บนเตียงก็พอ การบำเพ็ญคู่จะทำให้ยาออกฤทธิ์เร็วขึ้น”
ซู่หลิงไม่แปลกใจที่นางจะ้าฝึกสมาธิ จึงพูดออกมาอย่างใจเย็น
"ตกลง"
มู่เทียนอินพยักหน้ารับและไม่คิดว่ามีสิ่งใดผิดปกติ หากสามารถทะลวงระดับได้เร็วขึ้น นางก็ปรารถนาให้มันเกิดขึ้น
เมื่อเทียนเฟิงและหลิงอวิ๋นได้ยินบทสนทนาระหว่างนายน้อยของพวกเขากับมู่เทียนอิน ทั้งสองคนก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก
นี่... นี่ใช่นายน้อยผู้สง่างามและบริสุทธิ์ของพวกเขาอยู่หรือเปล่า ?!
อะไรคือ "การให้นางอยู่นิ่งๆ บนเตียง" และอะไรคือ "วิถีบำเพ็ญคู่"
พูดต่อหน้าพวกเขาเช่นนี้ มันดีจริงๆ อย่างนั้นหรือ?
เมื่อนึกถึง่เวลาที่อยู่บนเขาซู่เสวี่ย นอกเหนือจากการฝึกฝนและตรวจตราเอกสารแล้ว นายน้อยก็จะไปเรียนรู้กับท่านผู้เฒ่าเป็ครั้งคราว
เพียงเขียนตัวอักษร วาดภาพ เล่นฉินและอื่นๆ
บรรยากาศและทุกองค์ประกอบ ต่างก็สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ
เหล่าสตรีที่พยายามอย่างหนักเพื่อเข้าหาเขานั้น ต่างถูกกีดกันให้อยู่ห่างจากเขาเสมอ และเขาก็ไม่เคยจะชายตามองเลยสักครั้ง
ทว่ายามนี้ 'วิถีบำเพ็ญคู่' ที่เหล่าผู้เฒ่าชอบพูดถึง กลับดังออกมาจากปากของนายน้อยแล้ว
และยังไม่มีทีท่าจะเลี่ยงการใช้คำเลย!
ใบหูของเทียนเฟิงและหลิงอวิ๋นแดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อย
พวกเขาไปรับใช้นายน้อยที่ยอดเขาอวี้เซียนมาั้แ่เด็ก ทั้งสองคนล้วนเป็ชายบริสุทธิ์!
“คราวนี้ข้าต้องรีบเข้าบำเพ็ญ หากวิถีบำเพ็ญคู่จะสามารถกระจายฤทธิ์ยาได้เร็วยิ่งขึ้น ก็ถือว่าเป็โอกาสอันดี”
ทั้งสองคนที่มีสีหน้ากระอักกระอ่วนยังเห็นมู่เทียนอินเงยหน้า มองนายน้อยของพวกเขาด้วยสีหน้าจริงจังและพูดขึ้น
“ยิ่งไปถึงตอนท้าย เ้าก็จะยิ่งได้รับประโยชน์มากขึ้น”
เซียนผู้ถูกเนรเทศในชุดขาวตอบ...อย่างจริงจัง...
ใบหน้าหล่อเหลาขาวซีดของเทียนเฟิงและหลิงอวิ๋นมีสีระเรื่อขึ้น อยากจะเดินหนีไป ทว่าก็กลัวจะถูกสังเกตเห็น
เมื่อกลับไปยังห้องบรรทมของซู่หลิง มู่เทียนอินกลืนโอสถเสวียนหลิงที่ช่วยเสริมการฝึกสมาธิ
โอสถเสวียนหลิงเป็โอสถคุณภาพสูงระดับห้าที่เยว่เยากลั่นให้นาง
นางฝึกฝนจิติญญามาไม่ถึงสามเดือน
แม้ว่าจะบรรลุขั้นได้อย่างรวดเร็ว ทว่ารากฐานก็ไม่มั่นคง
เมื่อถึงจุดที่ต้องก้าวข้ามขีดจำกัด ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะหลงผิด
เพื่อช่วยให้นางก้าวข้ามขีดจำกัดไปได้ เยว่เยาจึงเลือกยาที่มีสรรพคุณอ่อนโยนและออกฤทธิ์ยาวนานอย่างโอสถเสวียนหลิงมาเป็พิเศษ
เมื่อกลืนเข้าไปแล้ว ฤทธิ์ยาอันมหาศาลก็เริ่มแพร่กระจายออกมา
มู่เทียนอินมุ่งมั่นรักษาตันเถียน ใช้พลังิญญาทั้งหมดพุ่งทะลวงไปยังระดับิญญาสีชาด
ยาสีหมึกค่อยๆ กระจายออกไปทั่วร่างกาย รู้สึกราวกับมีเข็มร้อนทิ่มแทงไปทั่วทุกส่วนของร่างกาย
ฤทธิ์ยาที่แผดเผาและพลังิญญาที่อ่อนโยนปะทะกันอย่างต่อเนื่องภายในร่างกายของมู่เทียนอิน และเคลื่อนที่ไปตามเส้นลมปราณครั้งแล้วครั้งเล่า
ยามค่ำคืน เมื่อซู่หลิงกลับมาและเห็นมู่เทียนอินกำลังเข้าบำเพ็ญ
นางเผลอเม้มริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าสะสวยดูเ็าและจริงจัง
เขายิ้มบางๆ และเดินเข้าไปอย่างเชื่องช้า
ห้าวันให้หลัง พลังิญญาภายในร่างกายของมู่เทียนอินก็หมุนเวียนครบแปดสิบเอ็ดรอบ
ในแต่ละระดับจะมีมีกำแพงขวางกั้นอยู่ตลอดเวลา ไม่ขยับเขยื้อน
ผ่านไปสี่วันอย่างรวดเร็ว
เหลือเวลาอีกเพียงวันเดียว ก่อนจะถึงพิธีทดสอบใหญ่ที่จัดขึ้นทุกสามปี
ตระกูลมู่ไม่รู้เลยว่ามู่เทียนอินกำลังเข้าบำเพ็ญ
ทุกคนยังคงคาดหวังเป็อย่างสูงว่านางจะคว้าอันดับที่ดีมาให้ตระกูลมู่ได้
ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าใน่เวลาที่ใกล้จะถึงวันงานพิธีสำคัญนี้ นางจะเลือกที่จะเข้าบำเพ็ญเพื่อทะลวงระดับิญญาสีชาด!
ดวงอาทิตย์ขึ้นและตกลง
ไม่นาน วันสุดท้ายก็ผ่านพ้นไป
เมื่อแสงแรกยามเช้าสาดส่องลงมา เมืองหลวงก็ตื่นขึ้นแต่เช้าตรู่
ทุกๆ สามปีจะมีพิธีทดสอบจัดขึ้น ซึ่งเป็เวทีที่เหล่าอัจฉริยะรุ่นเยาว์ของจากมู่สุ่ยกั๋วจะได้เฉิดฉาย
นี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เหล่ายอดฝีมือประสบความสำเร็จและเป็ที่รู้จัก
อัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่สามารถพิสูจน์ความสามารถในพิธี ล้วนเป็เสาหลักสำคัญในอนาคตของมู่สุ่ยกั๋ว
ในวันนี้ ผู้คนต่างมารวมตัวกันอยู่บนถนนที่มุ่งหน้าไปยังหอสักการะ เพื่อรอต้อนรับเหล่าบุตรแห่ง์ในอนาคต
พิธีทดสอบใหญ่ก่อนหน้านี้จัดขึ้นที่หอสักการะในเมืองหลวง
โดยทั่วไปแล้ว สถานที่แห่งนี้จะเปิดให้เฉพาะราชวงศ์เข้าใช้เท่านั้น
มีเพียงงานใหญ่ เช่น พิธีทดสอบเท่านั้น ที่จะเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมได้ใน่เวลาสั้นๆ
บุตรหลานของตระกูลใหญ่ต่างก็มีความมั่นใจและกระตือรือร้นอย่างมาก มีเพียงตระกูลมู่เท่านั้นที่เป็กังวล
เมื่อวานนี้ พวกเขายังคงตั้งตารอให้งานใหญ่เช่นนี้มาถึง
จนกระทั่งจวนตระกูลมู่ส่งคนไปรับคุณหนูสาม จึงได้รู้ว่านางกำลังเข้า! บำเพ็ญ! ใน่เวลาสำคัญนี้!
ในเวลานั้น เมื่อตระกูลมู่ที่เข้าไปในพระราชวังก็ต้องตกตะลึงในทันที
เมื่อพวกเขาแจ้งข่าวนี้แก่ท่านปู่มู่และเหล่าผู้เฒ่า เหล่าผู้เฒ่าที่มักจะนิ่งเฉยก็ถึงกับตกตะลึงไป
การเข้าบำเพ็ญเพื่อทะลวงระดับเป็เื่ที่ดี ทว่าเหตุใดจึงต้องทำในเวลานี้ล่ะ?
ใครในมู่สุ่ยกั๋วไม่รู้ว่าการเข้าบำเพ็ญเพื่อทะลวงระดับต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามเดือน?
คุณหนูสามผู้นี้ นางช่าง...
ทว่าเื่ราวได้เกิดขึ้นไปแล้ว ทำได้เพียงติดตามกลุ่มอำนาจอื่นไปยังหอสักการะเท่านั้น
หอสักการะแห่งนี้สูงหลายสิบจั้ง
หลังจากที่ทุกคนเข้ามาแล้วก็รู้สึกราวกับอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆ มีความยิ่งใหญ่และอลังการจนไม่อาจพรรณนาได้
เมื่อเหล่าผู้มีอำนาจต่างทยอยเข้ามาในงาน พิธีจึงเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็ทางการ
้าเวที เสียงกระตือรือร้นของฮ่องเต้เย่ก็ดังก้องไปทั่ว
ด้านล่าง เหล่าบุตรหลานของตระกูลหลักต่างรอคอยที่จะขึ้นไปประลองอย่างใจจดใจจ่อ
มีเพียงตระกูลมู่เท่านั้นที่อยากให้เวลาหยุดนิ่ง และท่านปู่มู่ก็ยิ่งกังวลมากขึ้น
พิธีทดสอบครั้งใหญ่ที่จัดขึ้นทุกสามปี ไม่เพียงเป็เวทีให้คนหนุ่มสาวจะได้แสดงความสามารถและเป็ที่รู้จักเท่านั้น ทว่ายังเป็โอกาสอันดีที่หาได้ยากอีกด้วย
ในทุกครั้งที่มีการจัดพิธี ราชวงศ์มักจะเชิญสำนักต่างๆ จากแคว้นระดับกลางและแคว้นระดับสูงมาชมการประลอง
คนหนุ่มสาวที่มีความสามารถเป็ที่ประจักษ์ จะเป็ที่หมายตาของกลุ่มผู้มีอำนาจ จากนั้นปลาก็จะทะยานข้ามประตูั1 และทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
…
ตำหนักด้านในของพระราชวังอวี้ชิง เยว่เยากำลังมองเทียนอินที่กำลังเข้าสมาธิอย่างสงบ ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความร้อนรน
เมื่อสองวันก่อน มันรู้สึกได้ว่าเสี่ยวอินเอ๋อร์ได้เข้าสู่ระดับที่สูงขึ้นแล้ว
ทว่านางกลับยังไม่รู้สึกตัว
เพื่อให้นางทะลวงผ่านได้อย่างรวดเร็วและราบรื่น เขาจึงค่อยๆ ปรับยาอย่างระมัดระวัง
ยามนี้เป็ยามซื่อ2 พิธีทดสอบอะไรนั่นคงเริ่มขึ้นแล้วใช่หรือไม่?
เยว่เยาเป็พวกไม่ชอบอยู่นิ่งเฉย และยามนี้ก็ยิ่งกระวนกระวาย เดินไปเดินมาไม่หยุด
ทว่ามู่เทียนอินยังคงนิ่งเฉยราวกับนักบวชที่กำลังเข้าสมาธิ โดยมีเพียงลมหายใจทั่วร่างกายที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น
เวลาล่วงเลยไปทีละน้อย
ฮ่องเต้เย่กล่าวสุนทรพจน์และประกาศเริ่มการประลอง ทว่ามู่เทียนอินก็ยังไม่ปรากฏตัว
การประลองรอบแรกดำเนินไปเป็เวลาสามวันเต็ม
ผู้เข้าแข่งขันที่มีพลังิญญาหลายพันคนถูกกำจัด เหลือเพียงสามถึงสี่ร้อยคน
ในบรรดาสามถึงสี่ร้อยคนเหล่านี้ มีการประลองรอบที่สองระหว่างผู้ที่อยู่ต่ำกว่าระดับิญญาสีชาด
หลังจากการประลองอย่างดุเดือดเป็เวลาสองวัน ผู้เข้าแข่งขันจำนวนมากต้องตกรอบไป
เหลือเพียงสองร้อยคนสุดท้ายที่ต้องประลองเพื่อชิงตำแหน่งหนึ่งร้อยอันดับแรก
หลังจากการประลองทั้งสองรอบสิ้นสุดลง ตระกูลมู่หมดหวังอย่างสิ้นเชิง ไม่มีใครใส่ใจกับเื่ที่มู่เทียนอินไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันอีกต่อไป
เมื่อพิธีที่จัดขึ้นเป็เวลาสิบวัน ได้ผ่านไปแล้วเจ็ดวัน
แม้จะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น ทว่าคุณหนูสามก็เสียสิทธิ์ไปนานแล้ว
เมื่อสถานการณ์มาถึงขั้นนี้ ท่านปู่มู่กลับหวังว่าเทียนอินจะเข้าบำเพ็ญได้อย่างเต็มที่
เมื่อพลาดโอกาสสำคัญไปแล้ว ก็อย่าไปยึดติดกับมันจนเกินไป
หลังจากการประลองสองรอบ ผู้แข่งขันสองร้อยคนที่เหลือก็ได้พักผ่อนหนึ่งวัน
วันรุ่งขึ้น ผู้เข้าแข่งขันที่ผ่านการคัดเลือกมาอย่างเข้มข้นต่างทยอยมาที่หอสักการะั้แ่เช้าตรู่
"ทุกท่าน..."
ฮ่องเต้เย่บนแท่นสูงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น และกำลังจะประกาศกฎกติกาของรอบชิงชนะเลิศ
“ช้าก่อน ยังมีข้า!”
ในเวลานี้ เสียงใสเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ผู้ที่มาใหม่สวมใส่ชุดรัดรูปสีดำ รูปร่างเพรียวบาง ดวงตาสว่างใส ฟันขาวเรียงสวยและผิวพรรณขาวผ่อง
คนที่มาถึงล่าช้าผู้นั้นคือมู่เทียนอิน
นี่ไม่ใช่คนขี้โรคอันโด่งดังของตระกูลมู่หรอกหรือ?เหตุใดจึงมาที่หอสักการะอย่างกะทันหันเช่นนี้ได้ล่ะ?
กลุ่มผู้เข้าแข่งขันต่างมองไปที่ผู้มาเยือนใหม่ที่โผล่มาอย่างไม่คาดคิด และขมวดคิ้วพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
"อสรพิษเขมือบนภาตกไปอยู่ในมือของสตรีผู้นี้ ช่างเสียของเสียจริง..."
สัตว์อสูรที่ทุกฝ่ายปรารถนาได้ตกไปอยู่ในมือของคนธรรมดาคนหนึ่ง เหล่าผู้คนที่รู้สึกอิจฉาต่างก็คิดที่จะร่วมมือกันโจมตี
ในบรรดาเหล่าผู้มีอำนาจทั้งหมด ที่มีเพียงไม่กี่คนที่ไม่ได้พูดจาเยาะเย้ยดูถูก และเสวี่ยเชียนซีก็คือหนึ่งในนั้น
ในขณะนี้ นางกำลังมองไปที่มู่เทียนอินด้วยความสนใจ
นับั้แ่ที่นางทำพันธสัญญากับอสรพิษเขมือบนภาอย่างไม่คาดคิด เสวี่ยเชียนซีก็เริ่มจับตามองนางมาโดยตลอด
ยิ่งมองมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้ว่านางแตกต่างจากที่เคยได้ยินมาโดยสิ้นเชิง
เมื่อเผชิญกับการเยาะเย้ยถากถางจากคนรอบข้าง ตระกูลมู่ต่างจ้องมู่เทียนอินด้วยสีหน้าดีใจอย่างเห็นได้ชัด
คุณหนูสามอายุเพียงสิบสี่ปี ทว่าอยู่ขั้นที่ห้าของระดับิญญาขาวแล้ว ถือเป็อัจฉริยะที่ไม่มีใครในงานนี้เทียบได้!
ทว่าหลังจากที่ดีใจกันเสร็จสิ้นแล้ว พวกเขาก็นึกขึ้นได้ว่าพิธีได้ดำเนินมาถึงรอบชิงชนะเลิศแล้ว
แม้ว่าคุณหนูสามจะออกจากสมาธิได้สำเร็จ ทว่าก็สายเกินไปเสียแล้ว
“มู่เทียนอิน เ้ามีเื่อันใด?”
ฮ่องเต้เย่มองไปที่มู่เทียนอินที่บุกเข้ามาอย่างกะทันหัน และรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย
ราชวงศ์ให้ความสำคัญกับหน้าตาเป็อย่างมาก โดยเฉพาะในระหว่างการประลอง ไม่มีใครสามารถเข้าหรือออกจากหอสักการะได้ตาม้า
หากไม่ใช่เพราะสตรีผู้นี้เป็ทายาทสายตรงของตระกูลมู่ และผู้เฒ่ามู่ยังเป็ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของมู่สุ่ยกั๋ว
อีกทั้งบิดาของนาง มู่หรูเฟิงและเขาก็เคยเป็สหายคนสนิทต่อกันมาก่อน
เกรงว่ายามนี้ฮ่องเต้เย่คงจะโกรธจัดเป็แน่แล้ว!
“ทูลฝ่าา เทียนอินมาที่นี่เพราะเื่สัญญาหมั้น หม่อมฉัน ขอท้าประลองกับองค์ชายห้าเพคะ”
มู่เทียนอินก้าวไปข้างหน้า แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
เดิมทีการหมั้นหมายระหว่างทั้งสองสิ้นสุดลงด้วยดี จึงไม่มีสิ่งอะไรเกี่ยวข้องกันอีกแล้ว
ทว่าผู้ใดใช้ให้นางเข้าบำเพ็ญจนมาถึงงานพิธีสายกันล่ะ...
-------------------------------------
[1] ปลาทะยานข้ามประตูั หมายถึง เจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
[2] ยามซื่อ หมายถึง ่เวลาระหว่าง 09:00 น. - 11:00 น.
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้