หนิงอ้ายรู้สึกดีใจและพึงพอใจเป็อย่างมากที่เขาสามารถทำการปลุกพลังิญญาได้สำเร็จและกลายเป็ผู้ฝึกตนราชทินนามก่อเกิดิญญาระดับสิบได้เช่นนี้ หลังจากที่จัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วไม่รอช้าออกจากไปหามารดาที่ห้องโถงของเรือนนี้ในทันที
“หนิงเอ๋อร์ รู้สึกอย่างไรบ้างเ้า?” เยว่ซินที่ััได้ถึงพลังลมปราณอ่อน ๆ จากตัวของเด็กหนุ่ม นั่นย่อมหมายความว่าในตอนนี้อีกฝ่ายสามารถข้ามผ่านเป็ผู้ฝึกตนได้สำเร็จแล้ว อย่างไรนางก็ถามกลับไปเพื่อความแน่ใจอีกครั้งว่าอีกฝ่ายไม่ได้รับผลกระทบใด
ยอมรับว่าตลอดทั้งคืนนางได้แต่เป็ห่วงกระวนกระวายจนนอนหลับไม่สนิท ในขณะที่หนิงอ้ายกำลังปลุกพลังิญญานางได้ยินเสียงกรีดร้องของเด็กหนุ่มอย่างทรมานดังขึ้นอยู่หลายชั่วยามจนหายเงียบไปที่สุด ในใจของนางเต็มไปด้วยความเป็ห่วงยิ่งนัก แต่นางก็ไม่สามารถเข้าไปขัดขวางในขณะทำการปลุกพลังิญญาของเด็กหนุ่ม เพราะหากทำอย่างย่อมที่จะส่งผลเสียต่อเด็กหนุ่มมากมายเพียงใดก็สุดจะรู้ได้
บิดาของนางก็เคยบอกเอาไว้ว่าในการปลุกพลังิญญาจะสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับลิขิตฟ้าชะตา์ถือว่าเป็การทดสอบทั้งร่างกายและจิตใจของผู้ฝึกตนเพราะเมื่อได้ทำการเลือกใช้ชีวิตตามวิถีผู้ฝึกตน หนทางข้างหน้าย่อมไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบนี่คือสัจธรรมของชีวิตที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
“ท่านแม่ไม่ต้องกังวลขอรับ...ตอนนี้ข้ารู้สึกว่าร่างกายแข็งแรงกว่าเดิมมาก” หนิงอ้ายตอบกลับมารดาไปเพื่อให้นางคลายกังวล
“ได้ยินแบบนี้มารดาก็สบายใจ...” เยว่ซินว่าพลางตักของโปรดให้หนิงอ้ายด้วยความเอาใจใส่และเด็กหนุ่มไม่ลืมตักอาหารบางส่วนให้แก่มารดาของตนได้ทานด้วยเช่นกัน แม้จะมีรวดเร็วแต่ยังคงเป็ไปด้วยกริยามารยาทอันงดงาม
หลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้นทั้งสองจึงพากันเดินตรงไปยังศาลาริมสระบัว จากนั้นนางจึงให้หนิงอ้ายมายืนตรงหน้านางอีกครั้งเพื่อที่จะทำการตรวจสอบปราณธาตุให้เด็กหนุ่มเสียที
“ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นเ้าอย่าได้ใ...จากนั้นจงหลับตาลงแล้วค่อยปล่อยพลังิญญาของเ้าออกมา...”
พรึบ!
วูบ!
ิญญายุทธ์บุปผาอัปสราเหมันต์อัคคี จงสถิตร่าง!!!
ตรงพื้นที่เยว่ซินยืนอยู่ปรากฏกลุ่มหมอกควันสีเหลืองเข้มเปล่งประกายงดงามผนึกขึ้นเป็บุปผาเพลิงดอกใหญ่อยู่ตรงด้านหลังบ่งบอกว่านางเป็ผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิิญญาผู้หนึ่งที่ใกล้ทะลุเขตขั้นต่อไปแล้ว ขณะเดียวกันนางก็ได้ทำการยกแขนทั้งสองข้างขึ้นก่อนที่จะขยับไปมาคล้ายกับเป็ท่ารำที่ทั้งงดงามอ่อนช้อยแต่ก็ดุดันอยู่ในที กลิ่นไอพลังิญญาและปราณธาตุออกมาอย่างหนาแน่น เพียงอึดใจมือทั้งสองของนางได้แผ่พลังปราณบริสุทธิ์ยิ่งยวดไปโดยรอบ สร้างความตื่นตะลึงกับหนิงอ้ายเป็อย่างมาก
“นี่คือิญญายุทธ์ของมารดาเ้า ‘บุปผาอัปสราเหมันต์อัคคี ’ หลังจากที่เ้าถึงเขตขั้นที่สิบเอ็ดหรือราชทินนามขุนพลิญญา ย่อมสามารถปลุกิญญายุทธ์ของตนได้เช่นกัน...”
ทันใดนั้นพื้นด้านล่างของหนิงอ้ายก็ปรากฏเป็วงแหวนเวทย์สีน้ำเงินเข้มที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าเป็ละอองเรืองแสงลอยฟุ้งไปทั่ว ขณะเดียวกันวงเวทย์อักขระโบราณดังกล่าวได้วิ่งวนเป็ลักษณะวงกลมหมุนรอบตัว และเมื่อวงแหวนเวทย์อักขระโบราณได้หยุดนิ่งลง หนิงอ้ายรู้สึกได้ถึงขุมพลังบริสุทธิ์บางอย่างที่ถูกชักนำเข้าสู่ร่างกายโดยที่เขาไม่สามารถควบคุมได้ความรู้สึกอันอบอุ่นได้แทรกซึมราวกับว่าร่างกายนี้กำลังถูกห่อหุ้มด้วยแสงแดดยามเย็นที่ไม่ร้อนหรือไม่เย็นจนเกินไป แม้จะใไปบ้างเล็กน้อยแต่ก็ััได้ว่าไม่มีอันตรายเกิดขึ้นกับตนแน่
ความรู้สึกเช่นนี้มันคืออันใดกัน? คล้ายกับว่าพลังิญญาในร่างกายกำลังถูกชักนำออกมาเสียอย่างนั้น...
หนิงอ้ายหลับตาลงเพื่อทำสมาธิเดินพลังปราณภายในปล่อยพลังดังกล่าวให้ลื่นไหลตามจุดชีพจรต่าง ๆ อย่างไม่ขัดข้องตามคำแนะนำมารดาของตน เนื่องจากพลังลมปราณในร่างกายของผู้ฝึกตนจะถูกกักเก็บและปลดปล่อยจากจุดเดียวกันที่เรียกว่าจุดตันเถียร วงแหวนเวทย์ดังกล่าวนี้ได้ชักนำพลังิญญาจากในร่างกายออกสู่ภายนอก
ในโลกของผู้ฝึกตนิญญายุทธ์ได้ถูกแบ่งออกเป็ทั้งหมดสามประเภทนั่นคือ
ิญญายุทธ์ประเภทสัตว์อสูร
ิญญายุทธ์ประเภทธรรมชาติ
ิญญายุทธ์ประเภทศาสตราวุธ
นอกจากนั้นแล้วยังถูกแบ่งออกตามความโดดเด่นที่เรียกว่าสายิญญายุทธ์ดังนี้
ิญญายุทธ์สายสนับสนุน
ิญญายุทธ์สายโจมตี
ิญญายุทธ์สายป้องกัน
ิญญายุทธ์สายควบคุม
และเเบ่งออกเป็ิญญาธาตุทั้งเก้าซึ่งจะมีการสืบทอดจากทางสายเืเท่านั้น สำหรับสีของิญญายุทธ์จะบ่งบอกได้ถึงความเเข็งแกร่งของิญญาธาตุต้นกำเนิดที่ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่สามารถผลักดันผู้ฝึกตนคนหนึ่งให้โดดเด่นอยู่แถวหน้าในโลกยุทธภพแห่งนี้ได้
"หนิงเอ๋อร์เ้ามีพลังิญญาสมบูรณ์แต่กำเนิดเช่นนี้นับว่าเป็เื่ที่น่ายินดียิ่ง! มีผู้ฝึกตนไม่น้อยที่แม้จะสามารถปลุกพลังิญญาได้สำเร็จ แต่หากไร้ซึ่งพลังิญญาแต่กำเนิดก็ไม่สามารถปลุกิญญายุทธ์ได้"
"..."
"นอกจากนั้นความสมบูรณ์ของพลังิญญาจะเป็ตัวชี้วัดตัดสินความช้าเร็วในการเพิ่มระดับพลังิญญาในแต่ละเขตขั้น ยิ่งมีพลังิญญาที่สมบูรณ์มากเท่าไหร่ ความเร็วในการฝึกฝนตลอดเส้นทางของผู้ฝึกตนนี้ก็จะมากขึ้นตามไปด้วย"
"ระดับของพลังิญญาในทุก ๆ สิบขั้นย่อยจะมีสมญานามให้เรียกขานระดับแรกเริ่มคือก่อเกิดิญญาระดับหนึ่งและระดับสูงสุดคือระดับสิบ กับเ้าที่มีพลังิญญาสมบูรณ์แต่กำเนิดเช่นนี้จึงทำให้หลังจากปลุกพลังิญญาสำเร็จจึงมีสมญานามเรียกขานว่าราชทินนามก่อเกิดิญญาระดับที่สิบนั่นเอง" เยว่ซินอธิบายออกมาให้หนิงอ้ายเข้าใจมากยิ่งขึ้น
"เอาละ หนิงเอ๋อร์ต่อไปมารดาจะทดสอบหาปราณธาตุต้นกำเนิดของเ้ากัน..." เยว่ซินระบายยิ้มด้วยความพึงพอใจ บุตรชายของนางถึงกับมีพลังิญญาสมบูรณ์แต่กำเนิด นับได้ว่าเป็เื่ที่ดียิ่งนัก
"ขอรับท่านแม่..." หนิวอ้ายได้วางฝ่ามือด้านขวาทาบไปกับลูกแกวทดสอบที่เยว่ซินหยิบออกมาจากแหวนมิติ เนื่องจากผู้ฝึกตนที่พึ่งปลุกพลังิญญาได้สำเร็จนั้น โดยทั่วไปแล้วพลังของปราณธาตุไม่ได้มีความเข้มข้นเด่นชัด ดังนั้นจึงต้องอาศัยลูกแก้วทดสอบนี้เป็สื่อกลางชักนำปราณธาตุให้ปรากฏเห็นเด่นชัด
วูบ!
จากลูกแก้วสีใสว่างเปล่าได้ปรากฏเป็กลุ่มหมอกควันสีน้ำเงินเข้ม ก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็รัศมีแสงสาดส่องไปทั่วทั่งบริเวณ ผ่านไปเพียงชั่วครู่กลุ่มหมอกสีน้ำเงินที่ผนึกขึ้นเป็รูปร่างที่ไม่อาจคาดเดาได้ในยามนี้หมุนวนโดยรอบตัวของเด็กหนุ่ม พร้อมกับส่งกลิ่นอายความเยือกเย็นออกมาจนส่งผลให้บรรยากาศโดยรอบลดลงโดยเฉียบพลัน
"โอ้! ปราณธาตุน้ำระดับสาม ระดับสูงสุดอย่างนั้นเลยหรือนี่..." เยว่ซินร้องออกมาด้วยความใ นางไม่คาดคิดว่าเด็กหนุ่มจะสามารถปราณธาตุน้ำที่มีความแข็งแกร่งสูงสุดเช่นนี้
“หนิงเอ๋อร์ เ้ามีปราณธาตุน้ำเช่นเดียวกับบิดาของเ้า แต่ดูเหมือนว่าได้มีการยกระดับประสานเป็ปราณธาตุน้ำแข็งโดยที่ไม่ต้องประสานกับปราณธาตุลมไปในตัวเเล้ว ช่างยอดเยี่ยมเสียจริง!!!” แม้เย่วซินจะเสียใจเล็กน้อยด้วยเพราะนางคิดว่าบุตรของนางจะมีปราณธาตุไฟเฉกเช่นลูกหลานของตระกูลหวัง แต่ถึงอย่างไรนางได้แต่ยิ้มออกมาด้วยความภูมิใจเช่นกัน เพราะตอนนี้บุตรชายของนางสามารถทำการปลุกพลังิญญาเป็ผู้ฝึกตนได้สำเร็จแล้วนั่นเอง
ปราณธาตุน้ำถือว่าเป็ค่อนข้างมีประโยชน์ในหลากหลายด้าน เพราะว่าปราณธาตุน้ำจะมีความลื่นไหลผันแปรได้อย่างอิสระไร้ซึ่งการควบคุม เท่ากับว่าบุตรของนางจะสามารถใช้ปราณธาตุน้ำออกมาได้หลากหลายรูปแบบไม่มีขีดจำกัด อีกทั้งยังสามารถประสานเข้ากับกระดูกิญญาได้เกือบทุกเผ่าพันธ์อสูร ด้วยว่าสิ่งที่ไหลเวียนอยู่ในตัวของพวกสัตว์อสูรเ่าั้ย่อมเป็โลหิตที่ถือว่าเป็น้ำชนิดหนึ่งไม่ต่างกัน ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดความยากลำบากในการประสานกระดูกิญญาและไม่ต้องกังวลถึงความเข้ากันได้ของกระดูกิญญากับปราณธาตุต้นกำเนิดเลยแม้แต่น้อย
“ท่านแม่ขอรับ...” ขณะเดียวกันหนิงอ้ายรู้สึกว่าอีกปราณธาตุในตัว ที่ก่อนหน้านี้เขาสงสัยว่าเป็ธาตุใดในตอนนี้เหมือนมันกำลังจะปะทุออกมาจากร่างกายของเขาตามแรงดึงดูดของวงเวทย์ดังกล่าวอย่างไม่สามารถควบคุมได้เลยแม้เพียงนิด
“ว่าอย่างไรเล่า?” เย่วซินที่กำลังดีใจกับหนิงอ้ายจนไม่ทันได้สังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้น
ทันใดนั้นรอบตัวของเด็กหนุ่มปรากฎอีกกลุ่มหมอกควันขึ้นเป็สีแดงทองที่แผ่ความร้อนระอุเเต่เต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของพลังชีวิตที่เข้มข้นอย่างบอกไม่ถูก อีกทั้งยังส่งผลให้บรรดาเหล่าต้นไม้หรือดอกไม้ในบริเวณที่โดนกลุ่มหมอกควันสีเเดงทองประหลาดนี้ต่างค่อย ๆ เหี่ยวเฉายืนต้นตายและกลับมาเติบโตขึ้นเหมือนเดิมโดยใช้เวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ
'เป็ไปได้อย่างไรกัน!!! ท่านพ่อบอกว่าเป็ปราณธาตุที่สาบสูญไปจากตระกูลหวังนานเเล้ว?' เย่วซินเมื่อครั้นได้สติก็ได้แต่ขบคิดด้วยความสงสัยอีกทั้งแปลกใจเป็อย่างยิ่ง
“นี่แหละขอรับที่ข้าจะสอบถามว่าความจริงแล้วมันคือปราณธาตุใด?” หนิงอ้ายที่สงสัยจึงตั้งใจรอฟังคำตอบจากมารดาของตนให้คลายสงสัยเสียที เยว่ซินที่ระงับความตื่นเต้นได้แล้วจึงตอบกลับไป
“ดวงแสงสีแดงทองที่ปรากฏขึ้น...ตามตำราตระกูลหวังกล่าวว่าเป็ปราณสุริยะธาตุอันเป็ต้นกำเนิดบริสุทธิ์แห่งปราณธาตุไฟทั้งปวงและเป็ปราณธาตุประจำตระกูลหวัง เพียงเเต่ว่าสุริยะธาตุที่นับได้ว่าคือธาตุบริสุทธิ์นี้ไม่ได้ปรากฎในตระกูลหวังเรามาหลายชั่วอายุคนในรอบหลายร้อยปีมาแล้ว ซึ่งปราณธาตุดังกล่าวนี้นับว่าเป็พลังต้นกำเนิดบริสุทธิ์แห่งปราณธาตุไฟที่ไร้ซึ่งรูปลักษณ์ แต่ทว่าเปลวเพลิงความร้อนนี้กลับร้ายกาจไปไม่ด้อยกว่าเพลิงแท้เเห่งัเลยทีเดียว อีกทั้งยังเต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายพลังชีวิตที่เข้มข้นยิ่ง!!”
“การที่เ้ามีสุริยะธาตุอันเป็ต้นกำเนิดบริสุทธิ์แห่งธาตุไฟนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับความเป็มาของต้นตระกูลหวังก็เป็ได้ เพราะว่าผู้ก่อตั้งของตระกูลหวัง เป็ผู้มีิญญายุทธ์มากกว่าหนึ่งและสามารถใช้ได้ถึงสามปราณธาตุนั่นคือสุริยะธาตุ ปราณธาตุไฟและปราณธาตุลม เพียงเเต่ว่าหลายพันปีมานี้ไม่ปรากฎปราณสุริยะธาตุนี้ในตระกูลหวังมานานเเล้ว เพราะโดยปกติส่วนใหญ่ผู้มีเชื้อสายของตระกูลหวังจะเป็ผู้ใช้พลังปราณธาตุไฟแต่เพียงเท่านั้น!”
“การที่ท่านบรรพพชนตระกูลหวังได้มีการส่งต่อหีบสมบัติดังกล่าวนี้จากรุ่นสู่รุ่นและท่านเจาะจงว่าต้องเป็ทายาทในรุ่นที่เก้าเท่านั้นที่ควรค่าแก่การสิ่งที่อยู่ในหีบสมบัติ บางทีเื่ราวที่เกิดขึ้นกับเ้าก็อาจจะเป็ลิขิต์เป็ได้...” เยว่ซินตอบกลับเด็กหนุ่ม พร้อมกับครุ่นคิดอยู่ในใจว่าในเมื่อหนิงอ้ายสามารถปลุกพลังิญญาเป็ผู้ฝึกตนได้สำเร็จ อีกทั้งสืบทอดปราณธาตุจากบรรพบุรุษตระกูลหวังเช่นนี้ หากท่านพ่อและทางตระกูลหวังทราบคงดีใจกันเป็แน่
“แม้จะเป็เื่ดีที่เ้าสามารถได้ถึงสองปราณธาตุย่อมหมายถึงว่าเ้าสามารถเรียกใช้สองิญญายุทธ์ได้เช่นกัน เพียงแต่มารดาไม่แน่ใจว่าในลักษณะนี้สามารถเรียกว่าอริธาตุได้หรือไม่ อย่างไรมารดาคงต้องสอบถามท่านตาของเ้าเสียก่อนเพื่อความมั่นใจว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเ้าเอง”
“สำหรับิญญายุทธ์ของเ้า หลังจากที่สามารถทะลุเขตขั้นเป็ผู้ฝึกตนขุนพลิญญาได้สำเร็จมารดาจะตรวจสอบให้เ้าอีกครั้งแล้วกัน แต่สิ่งที่ยืนยันได้ในตอนนี้เ้าย่อมสามารถเรียกใช้ิญญายุทธ์มากกว่าหนึ่งได้เป็แน่...” เยว่ซินเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยความภูมิใจ
ทางฝั่งของหนิงอ้ายที่อยากรู้ถึงิญญายุทธ์ของตัวเองแต่ก็ไม่สามารถทำสิ่งใดได้ในตอนนี้ นอกจากที่เขาต้องเลื่อนระดับพลังลมปราณของตนเองถึงเขตขั้นขุนพลิญญาให้ได้เร็วที่สุด และด้วยแรงสนับสนุนจากจี้หยกทับทิมที่เขาได้รับมาหนิงอ้ายเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ย่อมไม่ใช่เื่ยากอย่างแน่นอน
“มารดาจำได้ว่าก่อนหน้านี้จางเลี่ยงหวงบิดาของเ้าได้เคยมอบตำราเคล็ดวิชาฝ่ามือของตระกูลจางให้ เช่นนั้นเ้าจงศึกษาย่อมไม่เสียหายอันใดอย่างน้อยเคล็ดวิชาดังกล่าวก็หาได้ธรรมดาสามัญอีกทั้งยังส่งเสริมกับผู้ใช้ที่มีปราณธาตุน้ำอีกด้วย สำหรับตำราเคล็ดวิชาตระกูลหวังมารดาจะเป็ผู้ถ่ายทอดให้กับเ้าด้วยตนเอง”
หนิงอ้ายที่ได้ยินดังนั้นจึงรู้สึกดีใจเป็อย่างมาก จากความทรงจำเดิมทำให้รู้ว่าหวังเยว่ซินถือเป็ผู้ฝึกตนสตรีที่มีชื่อเสียงอยู่ไม่น้อย แม้ว่าในปัจจุบันระดับพลังิญญาจะลดลงด้วยเพราะให้กำเนิดหนิงอ้ายรวมไปถึงได้ประสบพบเจอเื่ราวทำร้ายจิตใจเช่นนี้ และเขาเชื่อว่าหากมารดาของเขาสามารถปลดเปลื้องพันธนาการเหล่านี้ได้ หนทางหวนคืนสู่ความรุ่งโรจน์ในวิถีของผู้ฝึกตนคงไม่ยากเกินไปนัก
เสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของเยว่ซินกับหนิงอ้ายได้ดังขึ้นไปตลอดยามบ่ายนี้ บรรยากาศแห่งความสุขอบอวนไปจนััได้ ข้ารับใช้ทุกคนที่ทราบเื่น่ายินดีเช่นนี้ต่างล้วนดีใจเป็อย่างมากที่คุณชายใหญ่สามารถปลุกพลังิญญาและเป็ผู้ฝึกตนได้สำเร็จ และคำกล่าวปรามาสดูถูกว่าคุณชายใหญ่จางหนิงอ้ายที่เปรียบดั่งสวะไร้ค่าของตระกูลจาง แต่วันนี้กลับเป็ผู้ฝึกตนที่มีมากกว่าหนึ่งิญญายุทธ์เสียด้วยซ้ำ เห็นทีคงจะต้องมีผู้ขายหน้าเสียแล้วกระมัง...
หลังจากที่หนิงอ้ายทำการปลุกพลังิญญาได้สำเร็จและทราบถึงปราณธาตุของตนแล้ว เด็กหนุ่มได้ทำการดูดซับพลังปราณฟ้าดินในทุกคืนอย่างสม่ำเสมอตามเคล็ดวิชาตระกูลหวังที่มีชื่อว่า เคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆา เป็เคล็ดวิชาลับที่บรรพชนผู้ก่อตั้งตระกูลหวังได้คิดค้นและถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น เป็เคล็ดวิชาการฝึกฝนบ่มเพาะบ่มปราณที่แข็งแกร่งและทรงพลังเป็อย่างมาก ที่หากฝึกฝนสำเร็จแล้วไม่เพียงแต่เพิ่มประสิทธิภาพความรวดเร็วในการดูดซับลมปราณฟ้าดินเท่านั้น แต่ยังจะสร้างความแข็งแกร่งให้กับเส้นชีพจรลมปราณรวมไปถึงจุดตันเถียรรวมไปถึงอวัยวะภายในอีกด้วย และอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือยังเพิ่มััประสาทการรับรู้ทั้งห้าให้แม่นยำเฉียบคมอีกด้วย
หนิงอ้ายััได้ว่าการดูดซับพลังปราณตามเคล็ดวิชาดังกล่าว สามารถทำการขยายจุดตันเถียรและเส้นลมปราณให้ขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่าตัวเพื่อที่จะสามารถดูดซับพลังลมปราณฟ้าดินได้เพิ่มขึ้นเช่นกัน มารดาของเขาได้บอกว่าไม่ใช่ทุกคนที่เป็ลูกหลานตระกูลหวังจะได้รับการฝึกวิชานี้ ผู้สืบทอดตระกูลคนต่อไปของตระกูลหรือสุดยอดรุ่นเยาว์ที่มากไปด้วยฝีมือและพร์เท่านั้นจึงจะได้รับอนุญาติฝึกเคล็ดวิชาดังกล่าวได้ อีกทั้งวิชาดังกล่าวนี้เหมาะกับผู้มีพลังหยางหรือผู้ชายเสียมากกว่า
หากมองว่าเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาเป็หนึ่งในสุดยอดวิชาดูดซับปราณฟ้าดินที่ขึ้นชื่อในยุทธภพแล้ว ยิ่งกับหนิงอ้ายที่มีแรงหนุนจากจี้หยกทับทิมที่ได้รับมาก่อนหน้าหากจะกล่าวว่าไม่ต่างไปจากพยัคฆ์ติดปีกคงไม่เกินจริงไปนัก เพราะว่าในการเลื่อนระดับแต่ละขั้นย่อยของหนิงอ้ายได้เป็ไปด้วยความรวดเร็วอย่างถึงที่สุด ด้วยระยะเวลาเพียงสามเดือนเท่านี้หนิงอ้ายก็สามารถเลื่อนขั้นเป็ผู้ฝึกตนขุนพลิญญาได้แล้วอย่างไม่ยากเย็นนัก สำหรับการเลื่อนระดับแต่ละขั้นใหญ่เช่นนี้หากเป็ผู้ฝึกตนทั่วไปแล้วคงต้องใช้เวลามากถึงหนึ่งหรือสองปีเลยทีเดียว
หลังจากที่เยว่ซินได้ส่งสารไปยังตระกูลหวังเมื่อหลายเดือนก่อน หวังจิ่งหลงและซ่งเหมยฮวาผู้เป็ตาและยายที่ได้รู้ว่าหนิงอ้ายหลานชายของพวกเขาสามารถปลุกพลังิญญาเป็ผู้ฝึกตนได้สำเร็จและเป็ผู้ฝึกตนที่มีปราณธาตุมากกว่าหนึ่ง อีกทั้งยังสามารถเรียกใช้ปราณสุริยะธาตุอันเป็เปลวเพลิงต้นกำเนิดของตระกูลหวังได้ สิ่งเหล่านี้ย่อมทำให้ทั้งสองคนรวมไปถึงผู้าุโสูงสุดของตระกูลบางคนที่ได้รับรู้ถึงการตื่นของสายเืที่มากไปด้วยพร์นี้ล้วนต่างดีใจกันทั้งสิ้น
นอกจากนั้นแล้วท่านตาของเขายังได้ส่งหวังฮุ่ยผู้เป็ดั่งมือขวาคนสนิทและผู้ติดตามที่มากฝีมืออีกสามคนให้มาดูแลเยว่ซินกับหนิงอ้ายผู้เป็บุตรสาวและหลานชายที่แคว้นหงส์แดงนี้โดยที่มารดาของเขาไม่อาจปฏิเสธได้อีกแล้ว พร้อมกับมอบทรัพยากรอันล้ำค่าในการฝึกตนอย่างมากมายไม่ว่าจะเป็ผลึกปราณธาตุต่าง ๆ รวมไปถึงยังฝากฝังให้อีกฝ่ายสั่งสอนหนิงอ้ายในสิ่งที่จำเป็อีกด้วย
แน่นอนว่าด้วยทักษะเดิมของนทีที่เป็ถึงนักฆ่าผู้มากไปด้วยฝีมือที่เชี่ยวชาญในศาสตร์ของการต่อสู้ทุกแขนง จึงทำให้ความก้าวหน้าของเขาไม่ต่างไปจากผู้ฝึกตนมากฝีมือที่อยู่ในเส้นทางนี้หลายสิบปี จนขนาดที่หวังฮุ่ยผู้ที่เป็ดั่งอาจารย์ฝึกสอนในยามนี้ถึงกับชื่นชมนายน้อยของตนเป็อย่างมาก กล่าวได้ว่านายน้อยหนิงอ้ายของเขานั้นมากไปด้วยพร์ที่เหนือชั้นกว่ารุ่นเดียวกันอย่างแท้จริง...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้