ภายในห้องพัก หลินเฟิงนั่งสมาธิอยู่บนเตียงอย่างสงบ ขณะเดียวกันก็เรียกจิติญญาแห่งความมืดออกมาเพื่อยกระดับความเร็วในการบ่มเพาะ และทำให้ประสาทััของเขาเฉียบคมขึ้นหลายเท่า เพียงแค่เสียงเล็กๆ น้อยๆ ในโรงเตี๊ยม ถ้าหากเขา้าเขาก็สามารถได้ยินมัน
หยวนชี่ฟ้าดินถูกดูดซึมเข้าไปในร่างของหลินเฟิงอย่างต่อเนื่อง หยวนชี่สีขาวบริสุทธิ์กะพริบวิบวับอยู่ในร่างราวกับจะส่องสว่างทะลุร่างออกมา ซึ่งนั่นเป็สัญญาณบ่งบอกว่าหลินเฟิงอยู่ในขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 9 ระดับสูงสุด
ถ้าหากหยวนชี่ฟ้าดินที่หลินเฟิงดูดกลืนเข้ามาในร่างเสถียรกว่านี้ เขาก็จะสามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตแห่งจิติญญา เพียงร้อยก้าวก็สามารถสังหารศัตรูได้โดยไม่เห็นเงา
ขณะนั้นเองบริเวณด้านนอกของโรงเตี๊ยมปรากฏเงาคนหลายคนวิ่งมาทางโรงเตี๊ยมอย่างเงียบเชียบ ทันทีที่พวกเขาเข้ามาในโรงเตี๊ยมก็ใช้เคล็ดวิชาตัวเบาเคลื่อนไหวอย่างว่องไวราวกับภูตผี ด้านหลังของพวกเขาล้วนแบกคันธนูวัวคลั่งมาด้วย คันธนูวัวคลั่งนี้ทรงพลังเป็อย่างมาก เพราะวัสดุที่ใช้สร้างมาจากเขาของสัตว์อสูรปีศาจวัวคลั่ง ซึ่งผู้ที่อยู่ในขอบเขตนักรบลมปราณสามารถถ่ายเทลมปราณของตัวเองเข้าไปในคันธนูวัวคลั่ง เพื่อเพิ่มพลังโจมตีได้
“เป้าหมายอยู่ในห้องหมายเลขสอง ทางที่ดีที่สุดอย่าทำให้มันรู้ตัว ไม่อย่างนั้นจะจัดการลำบาก” ทันใดนั้นก็มีเงาของคนคนหนึ่งเดินออกมาจากกลุ่ม ในมือของเขาถือพัดเอาไว้อันหนึ่ง พวกมันทุกคนต่างพากันขึ้นไปยังชั้นสองและมุ่งหน้าไปที่ห้องหมายเลขสองอย่างรวดเร็ว
ไม่นาน เงาคนหลายสิบคนก็ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าห้องหมายเลขสอง เคล็ดวิชาตัวเบาของพวกเขาล้วนยอดเยี่ยม ทุกการเคลื่อนไหวไม่เกิดเสียงใดๆ ขึ้นเลยแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าพลังของคนเหล่านี้ไม่ธรรมดา
พวกเขาหยิบคันธนูวัวคลั่งจากด้านหลังมาถือ แล้ววางลูกศรลงบนคันธนู เสียงดึงสายธนูดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง
“ยิง”
“ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!”
สายธนูสั่นไหวเล็กน้อยหลังจากที่ปล่อยลูกศรออกไป ด้วยความแรงของลูกศร ทำให้เจาะผ่านประตูห้องเข้าไปอย่างง่ายดาย และวินาทีต่อมาเสียงะเิก็ดังมาจากด้านใน
“รีบเข้าไปดู” คนเป็หัวหน้ากลุ่มะโสั่งทันที จากนั้นลูกน้องคนหนึ่งก็ถีบประตูห้องออกแล้วพากันกรูเข้าไป
แต่ภายในห้องกลับว่างเปล่า มีเพียงแค่เตียงไม้คุณภาพดีที่ถูกลูกศรทำลายจนแหลกกระจายไม่เป็รูปเป็ร่าง แต่กลับไม่พบร่างของคนอยู่บนเตียง
เมื่อสองคนแรกที่เข้ามาในห้องเห็นสภาพนี้ ดวงตาของพวกเขาก็ฉายแววตื่นใ
“อัสนีคำรน”
ทันใดนั้นก็มีเสียงเ็าดังขึ้น พร้อมประกายแสงดาบอันเยือกเย็นตัดผ่านอากาศ เสียงฟ้าร้องผสานกับเสียงกรีดร้องดังขึ้นมาติดๆ เงาร่างของสองคนที่เข้ามาในห้องก็ล้มลงไปกองกับพื้น
หลินเฟิงรับรู้ถึงตัวตนของคนกลุ่มนี้ ั้แ่วินาทีที่พวกมันก้าวเข้ามาในโรงเตี๊ยมแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้สนใจพวกมันในตอนแรก จนกระทั่งได้ยินว่าเป้าหมายอยู่ในห้องหมายเลขสอง หลินเฟิงจึงเริ่มตื่นตัว ดูเหมือนว่าเป้าหมายของพวกมันจะเป็เขา
ดังนั้นหลินเฟิงจึงหลบไปอยู่ข้างๆ ประตูทางเข้า โดยพิงกำแพงตลอดเวลา ซึ่งที่ตรงนั้นถือว่าเป็มุมอับสายตา ดังนั้นพวกศัตรูจึงไม่สามารถทำร้ายเขาได้หากไม่เข้ามาในห้อง และยังสะดวกในการซุ่มโจมตีอีกด้วย
ตอนที่หลินเฟิงเห็นลูกศรพุ่งเข้ามาในห้องและะเิเตียงจนกระจุย มันทำให้เขาคิดว่าโชคของเขาไม่เลวเลยทีเดียว ถ้าหากตัวเองมาหลบอยู่ที่มุมอับสายตานี่ช้าไป เกรงว่าคงถูกลูกศรยิงจนตัวพรุนไปหมดแล้ว
แต่ในตอนที่คิดว่าตัวเองโชคดีอยู่นั้น ขณะเดียวกันในใจของหลินเฟิงก็เต็มไปด้วยจิตสังหาร ดังนั้นเขาจึงลงมือสังหารสองคนแรกที่เข้ามาในห้องอย่างไร้ความปรานี
“ใครกันที่อยากจะสังหารข้า?”
หลินเฟิงกวัดแกว่งดาบไปทางประตูอย่างบ้าคลั่ง ทำให้เกิดเสียงร้องโหยหวนดังมาจากด้านนอก และในขณะเดียวกันก็ฉวยโอกาสที่พวกศัตรูด้านนอกยังไม่ทันตั้งตัว ะโหนีออกไปทางหน้าต่าง
“ตามมันไป” หัวหน้ากลุ่มแสดงสีหน้าปั้นยากขึ้นมา เมื่อเห็นว่าทุกอย่างไม่เป็ไปตามแผน เมื่อได้ยินเสียงะโที่เต็มไปด้วยความโมโหของหัวหน้า คนที่เหลือก็พากันะโออกไปทางหน้าต่าง ทันทีที่เท้าแตะพื้นก็ดีดตัวพุ่งตามหลินเฟิงไปติดๆ
ท่ามกลางสายฝนยามค่ำคืน ทุกอย่างล้วนมืดสนิท แม้แต่ผู้บ่มเพาะที่มีทักษะการมองเห็นเป็เลิศก็ยากที่จะมองเห็นเส้นทางได้อย่างชัดเจน เพียงแค่เดินปกติก็มองเห็นเส้นทางลำบากมากพออยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนวิ่ง
แต่อุปสรรคเหล่านี้ไม่ได้มีผลอะไรกับหลินเฟิง เนื่องจากจิติญญาแห่งความมืด ไม่ได้เพิ่มแค่ความเร็วและพร์ในการบ่มเพาะเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงเพิ่มความเฉียบคมให้กับประสาทััของเขาอีกด้วย ถึงแม้ว่าจะเป็ค่ำคืนที่มืดมิด แต่หลินเฟิงก็ยังสามารถมองเห็นเส้นทางที่อยู่ไกลออกไปได้
กลุ่มคนที่วิ่งตามหลังหลินเฟิงมาก็พยายามเร่งฝีเท้าให้ตามไปติดๆ เสียงย่ำพื้นดินที่เปียกเเฉะดังมาไม่ขาดสาย
“ฟิ้ว...”
หลินเฟิงโยกหัวไปด้านข้าง เมื่อลูกศรแฉลบมาที่ข้างหูของตัวเอง สายลมอันรุนแรงที่พัดผ่านข้างหูของเขาไปได้ทิ้งความแสบร้อนเอาไว้
“ดูจากพลังที่แฝงมากับลูกศรแล้ว พวกมันจะต้องเป็ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 9 อย่างแน่นอน ทักษะการยิงธนูของพวกมันเมื่อเทียบกับหลิ่วเฟยแล้ว ด้อยกว่าเล็กน้อยเท่านั้น” หลินเฟิงรู้สึกกังวลขึ้นมา หลิ่วเฟยบรรลุขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 9 และยังจิติญญาแห่งลูกศรที่แข็งแกร่ง ดังนั้นจึงไม่แปลกที่พลังลูกศรของหลิ่วเฟยจะร้ายกาจจนหาใครเทียบไม่ได้ แต่พลังลูกศรของกลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังเขาเกือบจะเทียบเคียงหลิ่วเฟยได้ แสดงว่าพวกเขาจะต้องแข็งแกร่งมาก
หลินเฟิงคาดไม่ถึงเลยว่าในยามค่ำคืนเช่นนี้ จะมีกลุ่มคนวางแผนลอบสังหารตัวเอง
“ฟิ้ว ฟิ้ว...”
ทันใดนั้นก็มีลูกศรอีกสองดอกลอยผ่านอากาศเข้ามา หลินเฟิงขยับร่างเล็กน้อย เพื่อหลบลูกศรที่ยิงเข้ามา ในใจของเขายิ่งรู้สึกสงสัยขึ้นทุกทีๆ คนเหล่านี้ไม่เพียงแค่แข็งแกร่ง แต่ยังเหมือนได้รับการฝึกฝนมาเป็อย่างดีอีกด้วย เพราะลูกศรที่ยิงออกมานั้นไม่เพียงแค่แม่นยำ แต่ยังจับจังหวะได้พอเหมาะพอดี
“ไม่ได้การล่ะ ถ้ายังเป็แบบนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วข้าจะต้องหมดแรงและโดนยิงแน่ๆ” หลินเฟิงคิดในใจพลางหลบลูกศรอีกครั้ง คนเหล่านี้ล้วนเป็ผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 9 และมีความเชี่ยวชาญในการยิงธนูระดับสูง อีกทั้งยังทำงานกันเป็กลุ่ม ต่อให้หลินเฟิงมีเคล็ดวิชาตัวเบาที่ล้ำเลิศแค่ไหน ก็ไม่มีทางสลัดคนพวกนี้หลุดแน่
ด้วยความเร็วที่วิ่งมาทำให้โคลนกระเด็นเปรอะเปื้อนไปทั่วเสื้อผ้า และยังเปียกชุ่มจากเม็ดฝนที่ตกลงมาไม่ขาดสาย ทันใดนั้นหลินเฟิงก็หลบลูกศรที่ยิงมาอีกครั้ง ก่อนจะค่อยๆ หยุดฝีเท้าลงและหันหลังกลับไป
“เคลื่อนไหวดั่งเงา”
“ตายซะ”
หลินเฟิงไม่เพียงหยุดวิ่ง แต่ยังใช้เคล็ดวิชาตัวเบาย้อนกลับไปโจมตี ลำแสงที่สะท้อนจากใบดาบสว่างวูบ ท่ามกลางเสียงฟ้าร้องผสานเสียงฝนตก เืสาดกระเซ็นไปในอากาศและหลอมรวมกับเม็ดฝน
คนที่วิ่งไล่ตามหลินเฟิงด้านหน้าสุดไม่ได้ทันป้องกันตัว ก็ถูกดาบของหลินเฟิงสังหารในพริบตา
คนอื่นๆ พากันวิ่งถอยหลังไปนับสิบเมตรเพื่อหลบซ่อนตัว สายตาของพวกเขาจ้องมองไปที่หลินเฟิงอย่างเ็าปนหวาดระแวง คิดไม่ถึงเลยว่าหน้าละอ่อนแบบนี้ จะกล้าสังหารสหายของพวกเขาโดยไม่กะพริบตา
ในขณะที่ฝนยังคงโปรยปรายอยู่นั้น หลินเฟิงก็กวาดสายตามองคนเ่าั้ แล้วไปสะดุดตาที่ร่างของคนคนหนึ่งในกลุ่มนั้น คนคนนี้สวมเสื้อกันฝนสีดำและถือพัดไว้ในมือ
“น่า... หลัน... ไห่!” สีหน้าของหลินเฟิงดูเย็นะเื ขณะที่พูดชื่อของคนคนนั้นออกมา เ้าของพัดนั่นจะต้องเป็น่าหลันไห่อย่างแน่นอน
หลินเฟิงกวาดสายตามองคนเ่าั้ แล้วแสยะยิ้มอย่างเ็า “ในเมืองหยางโจวมีไม่กี่ตระกูลเท่านั้นที่สามารถมียอดฝีมือได้เยอะขนาดนี้ แต่ด้วยคุณสมบัติของข้า ก็ไม่น่าที่จะใช้ยอดฝีมือมากขนาดนี้นะ”
เมื่อน่าหลันไห่ที่ยืนอยู่ในกลุ่มคนเ่าั้ได้ยินสิ่งที่หลินเฟิงพูด ในดวงตาของเขาก็ปรากฏร่องรอยเยาะเย้ยขึ้นมา
“หลายๆ คนอาจจะคิดว่าบุตรชายของอดีตผู้นำตระกูลหลินอย่างหลินไห่ เป็เพียงขยะคนหนึ่ง แต่หลินเฟิงที่ข้ารู้จักนั้น นอกจากจะเป็คนที่มีพร์อันโดดเด่นและมีความสามารถที่ไม่ธรรมดาแล้ว ยังฉลาดปราดเปรื่องอีกด้วย แต่น่าเสียดาย...”
“น่าเสียดายอะไร?”
“น่าเสียดายที่ถึงแม้ว่าเ้าจะเป็คนที่มีพร์ แต่กลับไม่มีใครรู้จัก” น่าหลันไห่พูดแทงใจดำ “คนตายต่อให้เป็คนที่มีพร์ล้ำเลิศมากแค่ไหน แต่สุดท้ายก็เป็ได้แค่คนตาย”
“เพราะเื่เล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ น่าหลันเฟิงก็เกลียดข้ามากถึงขนาดส่งทหารมาสังหารข้าในยามวิกาล?” คำพูดของหลินเฟิงแฝงไปด้วยการประชดประชัน คนเหล่านี้ได้รับการฝึกฝนมาเป็อย่างดี ไม่ใช่ทหารธรรมดาๆ เมื่อหลินเฟิงเห็นน่าหลันไห่ในเวลานี้ เขาก็รู้ได้ทันทีว่า คนเหล่านี้เป็ทหารส่วนตัวของท่านเ้าเมือง
แต่มีบางอย่างที่หลินเฟิงไม่เข้าใจ นั่นก็คือน่าหลันเฟิงไม่ให้เกียรติเขาก่อน ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ให้เกียรติน่าหลันเฟิงกลับ ในสายตาของเขาแล้วถึงแม้น่าหลันเฟิงจะเกลียดชังเขา แต่ไม่น่าจะถึงขั้นเอาชีวิตกันแบบนี้ ซึ่งสิ่งที่หลินเฟิงคาดเดามานั้นผิดทั้งสิ้น น่าหลันเฟิงไม่เพียงเกลียดชังเขา แต่ยัง้าสังหารเขาอีกด้วย เพราะแบบนี้นางจึงส่งทหารมาลอบสังหารเขาในยามวิกาล
“น่าหลันเฟิงเป็ถึงองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ ใครหน้าไหนก็ไม่ควรดูิ่ เ้าถือดีอะไรมาดูิ่องค์หญิงน่าหลัน? หึ!!! แค่ความตายก็ยังไม่สาสมกับความผิดของเ้าเลย หลินเฟิง” น่าหลันไห่ตวาดออกมาราวกับว่าเื่นี้เป็เื่ที่สมเหตุสมผลที่สุดแล้ว
“องค์หญิงน่าหลัน? ผู้สูงศักดิ์?” หลินเฟิงยิ้มเยาะออกมา จริงอยู่ว่าลูกสาวของท่านเ้าเมืองจะมีสถานะทางสังคมที่สูงส่ง แต่ก็ยังไม่คู่ควรที่จะเรียกว่าองค์หญิง คาดไม่ถึงเลยว่าน่าหลันเฟิงจะหยิ่งยโสได้ขนาดนี้ เทียบกันแล้วความยโสของหลินเชียนกลายเป็เด็กน้อยไปเลย
“ในเมื่อเ้า้าฆ่าข้า งั้นก็ลงมือเลย” จิติญญาแห่งความมืดปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังของหลินเฟิง เนื่องจากจิติญญาแห่งความมืดกลมกลืนไปกับความมืดรอบข้างและไร้ซึ่งเสียงหรือกลิ่นอายใดๆ ทำให้ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าหลินเฟิงได้ปลดปล่อยจิติญญาแห่งนักรบออกมา
แค่ความตายก็ยังไม่สาสมกับความผิด หลินเฟิงอยากจะเห็นนักว่าคนเหล่านี้จะทำให้เขาตายอย่างไร
ดูเหมือนว่าการที่จิติญญาแห่งความมืดหลอมรวมไปกับความมืด จะทำให้ดวงตาของหลินเฟิงกลายเป็ตาทิพย์ขึ้นมา ตอนนี้สภาพแวดล้อมโดยรอบทั้งหมด ได้ปรากฏขึ้นในหัวสมองของหลินเฟิงแล้ว ในรัศมีรอบๆ นี้ ไม่มีใครสามารถหลุดพ้นไปจากการรับรู้ของเขาได้
“ฟิ้ว...”
หลินเฟิงขยับหัวเพียงเล็กน้อย เพื่อหลบลูกศรที่แหวกอากาศพุ่งผ่านข้างหูของเขาไป ฉากนี้ทำให้ผู้ฝึกยุทธ์ที่ยิงธนูไปเมื่อครู่ถึงกับชะงัก ความรู้สึกหนาวเย็นพลันเกาะกุมไปทั่วหัวใจ ดวงตาสงบนิ่งที่เป็ประกายท่ามกลางความมืดเช่นนี้ ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
