สีหน้าหวางลี่ลี่เปลี่ยนไปในทันที นึกไม่ถึงว่าเด็กสาวที่เคยอยู่ในกำมือ ตอนนี้ไม่เพียงไม่เชื่อฟัง ยังพูดจาเปิดโปงเธออีกด้วย เธอหันไปส่งสายตาขอร้องให้สามี
เซี่ยฟู่กุ้ยเข้าใจในทันใด รีบเปลี่ยนท่าทีทันควัน
“โม่โม่ น้องชายแกไม่ได้หายไปไหน เราเป็คนครอบครัวเดียวกัน จะขู่แม่เลี้ยงไปทำไม แกก็รู้ว่าแม่เลี้ยงยิ่งขี้กลัวอยู่”
ช่างเป็บิดาที่ดีจริงๆ ลูกชายถูกคนเอาไปทิ้ง ผู้เป็บิดาไม่เพียงไม่ถามไถ่เื่ราวสักคำ ยังกลัวภรรยาใหม่จะได้รับความร้อนเนื้อร้อนใจ เป็บิดาที่ไม่มีความเป็บิดาเลยสักนิดเดียว
เซี่ยโม่เอ่ยว่า “ไม่สืบสาวราวเื่ก็ได้ แต่หนูกับน้องจะย้ายทะเบียนบ้านไปอยู่บ้านคุณตาคุณยาย หลังจากนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเราสองพี่น้องล้วนไม่เกี่ยวกับพวกคุณ และหากพวกคุณไม่สบายหรือเป็อะไรขึ้นมาก็อย่ามาหาพวกเรา”
เซี่ยฟู่กุ้ยคิดในใจ เด็กนี่้าตัดพ่อตัดลูกกับเขางั้นหรือ เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ
“นี่…”
ผู้ใหญ่บ้านมองหน้าสองสามีภรรยา เพียงแค่มองก็รู้ว่าทั้งสองคนทำไม่ดีต่อสองพี่น้องคู่นี้ลับหลังจริงๆ รู้เช่นนี้จึงเอ่ยอย่างไม่เกรงใจว่า “อย่างไรพวกเขาก็ยังใช้แซ่เซี่ย อีกอย่างพวกแกสองคนต่างมีบุตรชายบุตรสาวด้วยกันเองแล้วไม่ใช่เหรอ เช่นนั้นก็เอาตามนี้แหละ”
หวางลี่ลี่กระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ คิดว่าให้พี่น้องคู่นี้ออกจากบ้านไปน่ะดีแล้ว จะได้ไม่มาเป็ภาระที่บ้านเธออีก
ทว่าการทำแบบนี้ทำให้เซี่ยฟู่กุ้ยรู้สึกเสียหน้า เขาไม่้าให้คนอื่นพูดว่าเขาหูเบา เชื่อคนง่าย ไม่มีความคิดเป็ของตัวเอง เื่นี้เกี่ยวพันถึงหน้าตาและศักดิ์ศรีของลูกผู้ชาย
เขาลองคิดคำนวณในใจ ลี่ลี่บอกว่าเฉินเฟิงเป็เด็กโง่เขลา อนาคตมีแต่จะเป็ภาระ บุตรชายที่เพิ่งเกิดต่างหากถึงจะคือสมบัติล้ำค่า อีกอย่างไม่ว่าจะถูกลักพาตัวหรือถูกเอาไปทิ้งล้วนจัดการไม่ง่ายทั้งสิ้น
หากเื่ไปถึงสถานีตำรวจ เขาต้องเดือดร้อนแน่
“เอาตามที่ผู้ใหญ่บ้านว่ามาก็แล้วกัน” เซี่ยฟู่กุ้ยเอ่ยอย่างตัดสินใจได้ หลังจากลังเลครู่ใหญ่ว่าจะเลือกหน้าตาหรือเลือกผลักไสเื่ให้พ้นตัวดี
ไม่ใช่ว่าถูกบีบจนหมดหนทาง แต่เป็การไว้หน้าให้ผู้ใหญ่บ้านต่างหาก
ผู้ใหญ่บ้านมองเซี่ยฟู่กุ้ยนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ถึงค่อยเอ่ยอย่างเนิบช้าออกมาว่า “ได้ ตกลงตามนี้!”
ในเมื่อตกลงกันได้ ผู้ใหญ่บ้านจึงทำท่าจะกลับ
หากเซี่ยโม่กลับเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน “คุณปู่คะ พูดปากเปล่าใช้เป็หลักฐานไม่ได้ ต้องเขียนเป็ลายลักษณ์อักษรถึงจะใช้เป็หลักฐานได้ค่ะ”
“นี่…งั้นมีปากกากับกระดาษไหมล่ะ”
“มีค่ะ!” เธอรีบวิ่งไปยังห้องที่พวกเธอสองพี่น้องอยู่ หยิบสมุดการบ้านออกมาจากกระเป๋านักเรียน รวมถึงปากกาหมึกซึมเก่าๆ แท่งหนึ่ง จากนั้นเขียนข้อความลงไปในสมุดสองบรรทัด
เซี่ยโม่และเซี่ยเฉินเฟิงยินดีย้ายไปอยู่ที่บ้านคุณตาคุณยาย นับจากนี้ไม่ขอเกี่ยวข้องกับบิดาและมารดาเลี้ยงอีก ไม่ว่าจะเป็เจ็บไข้ ไม่สบาย เสียชีวิต หรือแต่งงาน
พยาน:
ลงชื่อ:
เธอเขียนออกมาทั้งหมดสองชุด ทำเช่นนี้เพราะกลัวว่าหลังจากนี้แม่ดอกบัวขาวจะเล่นแง่ ไม่ยอมทำตามที่ตกลงกันไว้ แต่ถ้ามีหลักฐาน เธอสามารถใช้มันมายืนยันได้
เอาออกไปให้เซ็นชื่อเสร็จ เซี่ยโม่ก็เข้ามาในห้อง ลงมือเก็บของของตัวเองกับน้องชาย
เข้าห้องได้ไม่นาน หวางลี่ลี่ก็เดินตามเข้ามา ถลึงตาพร้อมกับกล่าวว่า “นังเนรคุณ คิดจะเอาของในบ้านไปด้วยงั้นเหรอ ฝันไปเถอะ อยากจะไปก็ไปแต่…”
เธอมองใบหน้าโกรธแค้นของแม่ดอกบัวขาว นี่สินะคือโฉมหน้าที่แท้จริง
ชาติที่แล้วเธอต้องถูกมนตร์ดำแน่ ถึงได้เชื่อทุกคำพูดของหวางลี่ลี่
ปีนี้คือปี 1975 สองปีหลังจากนี้เธอจะสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ หากเซี่ยอวิ๋นกลับสอบไม่ผ่าน
เซี่ยอวิ๋นร้องไห้อยู่หลายวันหลายคืน แม่เลี้ยงล้มป่วย บิดาหน้านิ่วคิ้วขมวดไม่พูดไม่จา เอาแต่ถอนหายใจ ก่อนจะมาขอร้องเธอว่าให้พี่สาวต่างมารดาเข้ามหาวิทยาลัยแทน เธอไม่อยากให้บิดาลำบากใจจึงตอบตกลงไป
ด้วยเหตุนี้เซี่ยอวิ๋นจึงได้เรียนมหาวิทยาลัยโดยใช้ชื่อของเธอ เข้าไปเรียนกับชายสารเลวคนนั้น
หวางลี่ลี่กับบุตรสาวกลัวว่าชายสารเลวคนนั้นจะยังคิดถึงเธอ จึงจัดฉากลักพาตัว เพื่อทำลายชื่อเสียงของเธอ
ต่อมาไม่นานเซี่ยอวิ๋นกับชายสารเลวก็แต่งงานกัน
เมื่อไม่มีใบปริญญาและเงินทุน เธอเลยต้องเริ่มจากร้านค้าเล็กๆ เพราะเป็คนทำอะไรตั้งใจและทุ่มเทเต็มที่ ต่อมาจึงขยับขยายจากเ้าของร้านค้าเล็กๆ ริมถนนเป็ห้างสรรพสินค้าใหญ่ชั้นนำของเมือง M
โชคดีที่เธอฉลาดขึ้น ทำทุกอย่างโดยมีหลักฐานเป็ลายลักษณ์อักษร
เพราะกลัวว่าพี่สาวต่างมารดาจะสลับชื่อกับเธอเหมือนตอนขอเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยอีก เธอเลยระบุชื่อเ้าของบริษัทว่าคือเซี่ยโม่แต่เพียงผู้เดียว
ทั้งยังทำพินัยกรรมระบุอีกว่า หากเธอเสียชีวิต ทุกอย่างจะถูกบริจาค
มีพินัยกรรมนี้ ชาติที่แล้วต่อให้เธอเสียชีวิต สกุลเซี่ยก็จะไม่มีทางได้เงินของเธอไปแม้แต่หยวนเดียว
แต่ที่ชอบที่สุดคือ โกดังสินค้าตามเธอกลับมาเกิดใหม่ด้วย ชาตินี้เธอชนะพวกนี้แน่นอน ไหนเลยเธอจะสนใจของในบ้านเก่าๆ หลังนี้อีก
เธอแค่้ายั่วโมโหแม่ดอกบัวขาว เห็นอีกฝ่ายโมโหแล้วเธออารมณ์ดี
เด็กสาวประชดออกไปว่า “ของของพวกเรามีอะไรบ้างคุณรู้อยู่แก่ใจ ผ้านวมสองผืนนี้ ตอนที่แม่ฉันยังมีชีวิตอยู่เป็คนเย็บให้ คุณกลับมาบอกว่าของของแม่ฉันคือของของตัวเอง ไม่รู้สึกอายบ้างเหรอ”
หวางลี่ลี่โกรธจัด ขณะกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง เซี่ยโม่กลับสะพายกระเป๋านักเรียนเดินออกจากห้องไปเสียก่อน
เซี่ยโม่เดินไปหาผู้ใหญ่บ้านกับคุณตา “ขอบคุณคุณปู่มากนะคะ คุณตา พวกเรากลับกันเถอะค่ะ แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาทำเื่ย้ายทะเบียนบ้าน”
แม้เธอไม่เคยย้ายทะเบียนบ้าน แต่ก็พอรู้ว่าต้องให้หมู่บ้านออกใบรับรองให้ จากนั้นค่อยไปทำเื่ที่ตำบลต่อ
ฟ้ามืดแล้ว วันนี้คงทำไม่ได้แล้ว
ผู้ใหญ่บ้านกับคุณตามองเซี่ยโม่ที่สะพายกระเป๋านักเรียนออกมาแค่ใบเดียว
ก่อนหน้านี้ก่อนหวางลี่ลี่ตามเข้าไปในบ้าน คงเข้าไปพูดจาไม่น่าฟัง และห้ามไม่ให้เอานั่นเอานี่ไป
หลานสาวของพวกเขาคงได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจมาก
คิดได้ดังนั้นผู้ใหญ่บ้านเอ่ยด้วยสีหน้าไม่ค่อยจะพอใจนัก “โม่โม่ เงินทองเป็ของนอกกาย อยู่อย่างมีความสุขต่างหากถึงจะสำคัญ”
เซี่ยโม่พยักหน้า ก่อนจะยื่นมือไปจูงมือแห้งเหี่ยวของคุณตา คุณตาจับมือหลานสาวเอาไว้แน่นเช่นกัน จากนั้นทั้งสองคนก็พากันเดินกลับบ้าน
กลับไปถึงบ้านก็เป็เวลาเย็นมากแล้ว ภายในบ้านมีแสงสว่างจากตะเกียงน้ำมันแค่รำไร
คุณยายนั่งบนเตียงอุ่น ด้านข้างคือเซี่ยเฉินเฟิงที่กำลังนอนห่มผ้าของคุณยายหลับสนิทอยู่
“เป็ยังไงบ้าง” คุณยายเอ่ยถามอย่างร้อนใจ
คุณตายิ้มก่อนจะเอ่ยชมหลานสาว “ทุกอย่างเรียบร้อย ผู้นำสกุลเซี่ยเป็คนฉลาด เล่าให้ฟังแค่ไม่เท่าไรก็มองเื่ทะลุปรุโปร่ง โม่โม่ก็แสดงออกได้ไม่เลวเช่นกัน สมแล้วที่เรียนหนังสืออยู่ชั้นมัธยมต้น”
เซี่ยโม่รู้สึกอบอุ่นใจยิ่ง ที่แท้ในสายตาของคุณตา เธอทำได้ไม่เลวถึงขนาดนี้เชียว
ทั้งยังรับรู้ได้ถึงความรักใคร่เอ็นดูที่เจือในน้ำเสียงคุณตา เกิดมาสองชาติ ในที่สุดชาติที่สองเธอก็ได้รับความรักจากผู้ใหญ่
เธอเลยตอบแทนด้วยการเอาใจเขามาใส่ใจเรา ถามกลับไปอย่างเป็ห่วง “คุณตา ขาเป็ยังไงบ้างคะ”
คุณตาตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ ว่า “ไม่เป็อะไรแล้ว ตอนเดินกลับมาหลานก็เห็นแล้วนี่ว่าตาไม่ต้องให้ช่วยพยุง รีบเก็บของแล้วพักผ่อนเถอะ”
“หาว…” เธอหาวก่อนจะนอนลงบนเตียงเตาข้างคุณยาย
ตอนนี้ไม่เพียงรู้สึกปวดหัว ร่างกายยังรู้สึกเหนื่อยล้ามากอีกด้วย ทนมาจนถึงตอนนี้ได้นับว่าเหนือความคาดหมายจากที่คิดเอาไว้มากแล้ว พอศีรษะแตะหมอนเธอก็หลับไปทันที
เช้าวันต่อมา เซี่ยโม่ลืมตาตื่นแล้วมองไปรอบๆ ก่อนจะนึกได้ว่า เธอได้โอกาสกลับชาติมาเกิดใหม่ ตอนนี้นอนอยู่บนเตียงเตาในบ้านคุณตาคุณยาย
แม้บ้านจะเก่าไปสักหน่อย ทว่าเธอกลับรู้สึกอบอุ่นเหลือเกิน
เวลานี้เองที่สายตาเธอเลื่อนไปเห็นคุณตาซึ่งนอนอยู่ริมเตียงเตา ใช้เสื้อตัวใหญ่สองตัวห่มต่างผ้าห่ม กระนั้นแขนและขาก็ยังโผล่ออกมาข้างนอกอยู่ดี
แม้ฤดูนี้อากาศจะไม่หนาวมาก หากตอนเช้าตรู่เช่นนี้อากาศก็ยังค่อนข้างเย็น
ขอบตาเธอร้อนผ่าว คุณตาอายุมากแล้วแต่ยังต้องมีชีวิตที่ลำบากเช่นนี้ แม่ดอกบัวขาวนั้นรังแกกันเกินไปแล้ว ไม่ให้อะไรเธอกับน้องเลย ยึดเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปหมด
เมื่อคืนด้วยความเหนื่อยล้า เลยนอนห่มผ้าของคุณตาไป ทำให้คุณตาไม่มีผ้าห่มใช้ วันนี้เธอต้องคิดวิธีหาผ้าห่มผืนใหม่มาให้ได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้