ิหยวนช่วยหยิบนั่นจับนี่
“ไยไม่เห็นสาวใช้ออกมาช่วยทำงานพวกนี้เลยเล่า?” โหวอิงหันไปถามฮูหยิน
ชุยซื่อจึงชี้แจงตามตรง “อ๋อ ข้าเห็นว่านางมีครรภ์ทั้งยังไม่สบายจึงให้นางพักผ่อน ถึงอย่างไรก็เป็ชีวิตคนสองชีวิต” นางหยุดจ้องโหวอิงก่อนเอ่ยต่อ “ในเมื่ออยู่ในความดูแลของข้า ข้าก็ต้องดูแลให้ดีมิใช่หรือ?”
ปากร้ายแต่ใจดี ิหยวนอดหัวเราะไม่ได้ “ท่านเป็พระแม่โพธิสัตว์กลับชาติมาเกิดจริงๆ มีเมตตากว่าท่านอาจารย์เสียอีก”
โหวอิงขมวดคิ้ว “พระโพธิสัตว์กวนซื่ออินเป็ร่างอวตารของฉือหังเจินเหรินแห่งสำนักเต๋ามิใช่หรือ เหตุใดถึงกลายเป็สตรีเล่า?”
“ก็...ศิษย์เห็นว่าพระพุทธรูปในวัดก่วงจี้รูปร่างเหมือนบุรุษ แต่ที่วัดเล็กๆ บางแห่งรูปร่างเหมือนสตรี ศิษย์ยังไม่เคยัั...เอ่อ ศิษย์เองก็ไม่รู้แน่ชัด แต่ท่านแม่บอกว่าเป็พระแม่ ศิษย์ก็เลยคิดว่าเป็สตรี”
แม่นางโหวที่ออกมาร่วมโต๊ะอาหารด้วย ได้ยินที่พวกเขาคุยกันเช่นนั้น ใบหน้าสีเืฝาดก็เลิกคิ้วสงสัย ชุยซื่อขัดจังหวะพวกเขาด้วยการคีบอาหารให้โหวอิง “ตั้งใจกินข้าว ท่านจะพูดมากทำไม ท่านยังไม่เคยไปวัดด้วยซ้ำ”
“ข้า…” โหวอิงกำลังจะเถียงแต่ก็ต้องหยุดแล้วหันไปหาิหยวน “ได้ข่าว่นี้ชีวิตเ้าก้าวหน้ามาก คงจะมีความสุขมากเลยสินะ?”
“ศิษย์ไม่กล้า” ิหยวนก้มหัวแต่ก็มิวายช้อนตามอง “ความรู้ที่ศิษย์มีล้วนมาจากตำราของท่าน รู้ครึ่งๆ กลางๆ เพียงแต่สถานการณ์คับขัน ศิษย์จึงจำเป็ต้องออกตัว ท่านอาจารย์ลงโทษศิษย์เถิดขอรับ”
“ลงโทษเ้า? ยามนี้ใครๆ ก็บอกว่าข้าสอนเ้าได้ดี ข้าได้รับคำชื่นชมเพราะศิษย์อย่างพวกเ้า เ้ากล้าแสดงความสามารถก็ดีแล้ว การเรียนก็เหมือนพายเรือทวนน้ำ ไม่ก้าวหน้าก็ถอยหลัง หากก้าวหน้าเพียงเท่านี้ก็พอใจแล้ว ก็รีบกลับบ้านไปเถิด”
“ศิษย์ไม่กล้า!” ิหยวนรีบก้มหัวคำนับ สองวันก่อนเขาได้รับรางวัลและคำชมเชย จึงเผลอทำตัวเย่อหยิ่ง คิดว่าตนประสบความสำเร็จด้านการเรียน แต่พอถูกโหวอิงเรียกสติ เขาถึงเริ่มทบทวนตนเอง เหงื่อก็พลันไหลเหมือนสายฝน
“ไม่กล้าก็ดีแล้ว” โหวอิงบ่นเสร็จ ใบหน้าเคร่งขรึมก็เปลี่ยนเป็รอยยิ้มจางๆ อันที่จริงเขาเองก็ภูมิใจไม่น้อยที่ศิษย์ได้ดี แต่เขาไม่อาจแสดงออกต่อหน้าิหยวนได้
ิหยวนคำนับอีกครั้งพร้อมฉุกคิดบางอย่างได้ “ิฝู่จวินบอกว่างานเลี้ยงประลองปัญญาครั้งนี้ ท่านอาจารย์ได้รับเชิญด้วย เหตุใดถึงไม่ไปเข้าร่วมงานขอรับ?”
“ข้ารักสงบ ไม่ชอบงานเลี้ยงเสียงดังวุ่นวายและน่าเบื่อพรรค์นั้น ไม่ไปไม่ได้หรือ?”
“…ได้ขอรับ”
“เอาเถิด เ้ากังวลเื่ตนเองดีกว่า ิฝู่จวินส่งคนมาแจ้งว่าวันพรุ่งนี้ให้เ้าไปลานขี่ม้า เลือกม้าแล้วเรียนขี่ม้ายิงธนูกับิเยี่ย ม้าแก่ของข้าไม่เหมาะกับเ้า เ้าแอบลองขี่มันบ้างแล้วหนิ คงรู้อยู่แล้ว”
ิหยวนฉีกยิ้มกว้าง รีบนั่งตัวตรง
“ไม่จำเป็ต้องแสร้งทำเป็เด็กดีเชื่อฟังหรอก” โหวอิงยกยิ้มรู้ทัน “ิฝู่จวินคิดถูกแล้ว ขี่ม้ายิงธนูคือสองสิ่งในศาสตร์ทั้งหก การศึกษาไม่ได้มีเพียงอ่านเขียนตามตำราหรือเพลงดาบเท่านั้น แต่จะต้องศึกษาทั้งบุ๋นและบู๊”
……
เช้าวันรุ่งขึ้น ิหยวนติดตามิเยี่ยไปที่ลานขี่ม้า
แม้แต่ละตระกูลจะเลี้ยงม้าไว้ไม่น้อย ทว่าที่นี่คือคอกม้าส่วนกลางของอำเภอ เป็คอกม้าที่หลายตระกูลเปิดร่วมกันเพื่อเลี้ยงม้าลักษณะดี ทั้งยังจ้างอาจารย์มาสอนลูกหลานในตระกูลขี่ม้ายิงธนู
“เร็วเข้า ข้าจะพาเ้าไปรู้จักเฮยเจียงจวิน” ิเยี่ยลากิหยวนไปดูม้าตัวโปรด เฮยเจียงจวินเป็ม้าดี ขายาวตัวสูงใหญ่ ฉลาด สง่างามและแข็งแกร่งที่สุดในคอก ชอบกินผิงกั่วเป็ชีวิตจิตใจ ิเยี่ยมักมาให้อาหารมันเป็ประจำ ทว่าวันนี้กลับพบเพียงคอกม้าว่างเปล่า
“เฮยเจียงจวินเล่า?”
คนเลี้ยงม้าตอบอย่างรวดเร็ว “คุณชายหลิวขี่ไปเมื่อเช้าขอรับ”
“ว่าอย่างไรนะ? ขี่ไปที่ใด?”
“ผู้น้อยไม่ทราบขอรับ”
ิเยี่ยชักสีหน้าไม่พอใจ คอกม้านี้มีไว้สำหรับเรียนขี่ม้ายิงธนู เป็ลานกว้างล้อมรอบด้วยูเาครึ่งหนึ่ง ข้างในมีลานฝึกขี่ม้ายิงธนูครบครัน ปกติแล้วจะไม่อนุญาตให้ขี่ม้าออกไปข้างนอก เว้นเสียแต่ว่าอาจารย์จะอนุญาตเป็กรณีพิเศษ เ้าหลิวเปียวคนนี้มันกล้ามาก
ิเยี่ยไม่รอช้า วิ่งไปหาม้าตัวใหม่ทันที “ชื่อทู่เล่า?”
“คุณชายรองตระกูลหลิวขี่ไปขอรับ”
“อย่าบอกนะว่าหงอิงก็ถูกคนพวกนั้นขี่ออกไปด้วย?!”
“คุณชายสามหัวไวยิ่งนัก”
“หัวไวกับผีน่ะสิ!” ิเยี่ยกระทืบเท้า “นั่นมันม้าบ้านข้า!”
“ผู้น้อยบอกคุณชายหลิวแล้วขอรับ แต่…แต่เขากลับบอกว่ามันอยู่ที่นี่ มันก็คือม้าส่วนรวม ผู้ใดจะขี่ก็ได้”
“แล้วเขาไม่รู้หรือว่าขี่ไปข้างนอกไม่ได้?”
“รู้ขอรับ แต่ถึงจะรู้ หากเขาจะออก พวกเราก็ไม่กล้าห้ามเขาขอรับ”
สรุปว่าม้าดีทั้งหมดถูกพวกหลิวเปียวขี่ออกไป เหลือเพียงม้าแก่ อ่อนแอ ป่วย และพิการเท่านั้นที่ยังกินหญ้าอยู่ในคอก ิเยี่ยโมโหควันออกหู “กล้าดีอย่างไร! ไป! กลับจวน! วันนี้ข้าไม่เรียนแล้ว!”
“คุณชายสาม! คุณชายสาม! ผู้น้อยขอร้องท่าน! ท่านอย่าบอกเื่นี้กับฝู่จวินเลยนะขอรับ…”
คนเลี้ยงม้าวิ่งตามไปขอร้อง
“ไม่ได้เื่!” ิเยี่ยสลัดพวกเขาออกไป ด้านิหยวนไม่รู้จะพูดอะไร ได้แต่มองเงียบๆ พลางเดินตามไป ทันใดนั้นเด็กรับใช้ของิเยี่ยก็วิ่งเหยาะๆ มาหาและยังมีเด็กบ้านนอกสวมเสื้อผ้าเก่าๆ วิ่งตามมาด้วย “เยี่ยเก้อเอ๋อร์! เกิดเื่แล้ว!”
“ที่จวนเกิดอันใดขึ้น?”
“ไม่ใช่…ไม่ใช่ที่จวน แต่เป็ที่หมู่บ้าน…”
“รีบบอกมาเร็ว เกิดเื่อันใดที่หมู่บ้าน”
ิเยี่ยเงียบสนิท ส่วนิหยวนหน้าถอดสี ก่อนจะวิ่งออกไปทันที
พอิหยวนวิ่งมาถึงหมู่บ้านของพวกเป่ยเหล่าแถวชานเมือง ก็พบว่ามันกลายเป็ซากปรักหักพัง หลังคาฟางกระจัดกระจาย เล้าไก่พังเละเทะ เตาปรุงอาหารพลิกคว่ำ เสียงเด็กเล็กและผู้ใหญ่ร้องไห้ระงม แต่ละคนหลั่งน้ำตาจนแทบจะเป็สายน้ำ
ิหยวนคว้าตัวน้องชายวัยสี่ขวบของตนมาถาม “ผู้ใดเป็คนทำ!”
เด็กน้อยใบหน้ามอมแมมเนื้อตัวเปลือยเปล่ายืนร้องไห้สะอึกสะอื้นพร่ำบอกว่าไม่รู้
ภรรยาเพื่อนบ้านจึงะโบอกเพื่อตัดรำคาญ “จะเป็ผู้ใดได้อีกนอกจากพวกอันธพาล! พวกมันยังบอกอีกว่าเราเป็สายลับจากทางเหนือ อพยพมาที่นี่ก็เพื่อขโมยความลับไปให้ชาวหู แค่นี้ยังนับว่าโชคดี พวกมันถึงขั้นคิดจะเผาหมู่บ้านของเราด้วย!”
จู้จือกัดฟันพูดอย่างขมขื่น “แต่ข้าว่าเผาไปเลยยังจะดีซะกว่า ไหนๆ ก็พังยับเยินขนาดนี้แล้ว เผาทั้งหมู่บ้านไปเลย!”
“หยวนเก้อเอ๋อร์! รีบกลับบ้านเร็ว! ท่านพ่อเ้าถูกทำร้าย!” ท่ามกลางความวุ่นวายและเสียงก่นด่า จู่ๆ ใครสักคนก็วิ่งมาลากตัวเขาไป
“เกิดอะไรขึ้น?”
“พ่อเ้ารู้เื่เข้าก็โกรธมาก ตามไปเอาเื่พวกเขา เด็กชั่วพวกนั้นไม่แม้แต่จะปลายตามองเขา ขี่ม้าวิ่งเข้าใส่พ่อเ้า จนพ่อเ้าล้มลงและถูกม้าเหยียบ ข้าก็เพิ่งเห็นคนแบกเขากลับมา ไม่รู้ว่า…”
ไม่รู้ว่ามีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว
ิหยวนหน้าซีดเผือด วิ่งไปที่ทางเข้าหมู่บ้านสุดชีวิต ตามที่คาดไว้ เขาพบกับคนจำนวนหนึ่งกำลังเข็นเกวียนที่มีิเฉียวนอนอยู่บนนั้น ใบหน้าเหลืองราวกับทอง นอนหายใจรวยริน
“ท่านพ่อ!”
ิหยวนพยายามเข้าไปหาพ่อ แต่ถูกผู้ใหญ่ดึงตัวออกไป น้ำตาจึงไหลพรากไม่อาจต้านไหว
ิเฉียวเป็คนน่าเบื่อ เอาแต่ทำงาน ไม่เคยสร้างปัญหาให้ผู้ใด หากเพื่อนบ้านมีปัญหาก็จะยื่นมือเข้าไปช่วยทันทีไม่มีปฏิเสธ เขาจึงเป็ที่รักของทุกคน แม้เขาจะเป็ชาวเหนือที่อพยพมาทางใต้ ทำงานเป็คนงานในบ้านคนอื่น แต่เมื่อครั้งอาศัยอยู่ทางเหนือ บรรพบุรุษของเขาก็คือตระกูลร่ำรวยตระกูลหนึ่ง ใจดีมีเมตตาไม่น้อยไปกว่าตระกูลิในยามนี้
เขาจึงมักสอนลูกๆ เสมอว่าต้องมีมารยาท มีคุณธรรม อ่านออกเขียนได้ แม้ยากจนเพียงใดก็ห้ามขโมยไก่ทำร้ายสุนัข [1]
ิเฉียวฐานะต่ำต้อยจนไม่สามารถต่ำไปมากกว่านี้แล้ว เทียบกับจักรพรรดิอู่แล้ว ิเฉียวก็เหมือนกับแสงหิ่งห้อยน้อย ไหนเลยจะสู้แสงตะวันจันทราได้ ทว่าความรักและการอบรมสั่งสอนที่เขามอบให้ลูกๆ นั้นยิ่งใหญ่กว่าหลายเท่า
ชาวนาผู้ซื่อสัตย์กำลังจะตายอยู่ในกระท่อมพังๆ
ิหยวนปาดน้ำตาพลางส่งสมุนไพรสองสามชนิดที่เขาเก็บมาจากบนเขาให้มารดากับพี่สาวต้มให้บิดาดื่ม ก่อนจะวิ่งหน้าตั้งไปที่สำนักศึกษา
“ท่านอาจารย์ช่วยด้วยขอรับ!”
โหวอิงถูกเขาลากออกมาอย่างเร่งรีบ หลังตรวจอาการาเ็ ก็พบว่าบิดาของิหยวนนั้นถูกม้าเหยียบจนขาหัก มีรอยฟกช้ำที่หน้าอกและช่องท้องส่วนล่าง จึงเขียนเทียบยาให้ เป็ยาต้มและยารักษาภายนอก แล้วสั่งให้ิหยวนหากิ่งไม้ตรงๆ มาเข้าเฝือกเพื่อเชื่อมกระดูกที่หัก
“เ้ารู้ตัวคนร้ายหรือไม่?”
“จะเป็ผู้ใดได้” ิหยวนเช็ดน้ำตาพลางสงบสติอารมณ์ “ก่อนหน้านี้ศิษย์ทำให้หลิวเปียวขุ่นเคืองอย่างหนัก”
โหวอิงพอได้ยินเื่ของหลิวเปียวมาบ้างแล้ว กวาดตามองความเสียหายของกระท่อมซอมซ่อ เดิมทีก็ลำบากยากเข็ญมากพออยู่แล้ว มาบัดนี้ยิ่งแย่กว่าเดิม แม้ภายในจะไม่ได้าเ็ร้ายแรงถึงชีวิต ทว่าหัวหน้าครอบครัวอย่างชายผู้นี้ก็ไม่สามารถทำงานได้อีกหลายเดือน พ่อแม่ยากจนกับลูกห้าคนจะเอาชีวิตรอดจากเคราะห์ร้ายคราวนี้ได้อย่างไร? โลกก็เป็เช่นนี้ โหวอิงถอนหายใจ ก่อนจะหันไปเรียกิหยวนออกมาเพื่อมอบเงินให้เขา
“ท่านอาจารย์ ท่านให้ความกรุณามาช่วยท่านพ่อถึงที่นี่ แล้วศิษย์จะรับเงินท่านอีกได้อย่างไร?” ิหยวนปฏิเสธท่าเดียว
“เก็บไว้เถิด ข้ารู้ว่าเ้าพอมีเงินเก็บ แต่บ้านพังขนาดนี้ เ้ายังต้องเอาเงินไปซื้อยาอีก รับไปเถิด ไม่ต้องคิดมาก ให้ท่านพ่อเ้าพักผ่อนให้เต็มที่ มีอะไรก็ไปหาข้า” โหวยิงไม่ลืมกำชับศิษย์ “โลกก็เป็เช่นนี้ คนจนฐานะต่ำต้อยจะเอาสิ่งใดไปสู้กับคนรวยตระกูลใหญ่ เ้าอย่าได้ใจร้อน หากรีบร้อนทำสิ่งใดโดยไม่คิด ตัวเ้าเองจะเดือดร้อน”
ิหยวนเงยหน้ามองผู้เป็อาจารย์ ดวงตาสั่นไหวทอประกายดุจดาวสองดวง “คนจนจะต้องถูกรังแกโดยที่ไม่ได้รับความเป็ธรรมหรือขอรับ?”
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
[1] ขโมยไก่ทำร้ายสุนัข (偷鸡摸狗) หมายถึง ทำเื่ผิดศีลธรรม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้