ท่ามกลางความมืดที่กำลังคืบคลานเข้ามา แสงสุดท้ายของวันกำลังจะหมดลง ทิ้งให้เงาของบ้านเรือนทอดยาวบนพื้นถนน
เมื่อชาร์ลส์กับโจเซฟมาถึงบ้านหลังนั้น เฟืองนาฬิกาในมือของทั้งคู่หมุนด้วยความเร็วสูงสุด เสียงของฟันเฟืองดังก้องชัดเจน พวกเขาจ้องมองบ้านสองชั้นตรงหน้า แตกต่างกันไป
"คิดว่าไง เราควรบุกเข้าไปเลยไหม" ชาร์ลส์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงลังเล
"ใจเย็น เราควรแจ้งกับทางหน่วยก่อน" โจเซฟกระซิบ เสียงของเขาแฝงไปด้วยความระแวดระวัง "การเข้าไปแค่สองคนอันตรายเกินไป เราไม่รู้ว่าผู้ยกระดับตัวตนข้างในจะมีพลังระดับไหน อาจเป็ผู้ใช้พลังระดับสูงก็ได้"
ชาร์ลส์พยักหน้าเห็นด้วย สายตายังจับจ้องที่บ้านอย่างกังวล เขาสังเกตเห็นว่าม่านชั้นบนขยับเล็กน้อย หรือบางทีอาจเป็แค่เงาของต้นไม้ที่เคลื่อนไหวตามแรงลม
โจเซฟหยิบกระดาษแผ่นเล็กพร้อมปากกาขนนกออกมาจากกระเป๋าเสื้อ มือของเขาสั่นเล็กน้อยขณะเขียนข้อความสั้นๆ ลงไปโดยไม่ใช้น้ำหมึก ตัวอักษรคมชัดแม้จะเขียนในความมืด เขาท่องคาถาเบาๆ "นูร์ คัลลา" ราวกับมีเสียงหลายเสียงพูดพร้อมกันแ่เบา
เปลวไฟปรากฏขึ้นบนปลายนิ้วของโจเซฟ แสงสีส้มวูบวาบสะท้อนในดวงตาของทั้งคู่ ไฟค่อยๆ ลามไปตามกระดาษ เผามันให้กลายเป็เถ้าถ่านปลิวว่อนไปตามสายลม กลิ่นควันจางๆ ลอยมาเตะจมูก
ทั้งสองไปซุ่มซ่อนตัวในเงามืดของต้นไม้ใหญ่ริมถนน ใจจดจ่อรอคอยกำลังเสริมที่จะมาถึง ทุกนาทีผ่านไปนานราวกับชั่วโมง ในที่สุด เสียงล้อรถม้าก็ดังแว่วมาแต่ไกล
รถม้าคันหนึ่งแล่นมาจอดใกล้ๆ อย่างเงียบเชียบ ม้าสีดำสนิทสองตัวหายใจหอบเล็กน้อย เอ็ดเวิร์ดและแอนดรูว์ก้าวลงมา สีหน้าของทั้งคู่เคร่งเครียด
สองสหายหลังต้นไม้ใหญ่รีบเข้าไปสมทบ ทั้งสี่คนพยักหน้าทักทายกันอย่างรวดเร็ว ไม่มีคำพูดใดๆ แลกเปลี่ยนกัน
ทั้งสี่คนพร้อมใจกันหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา วัตถุที่ดูธรรมดาในมือของพวกเขา แต่เมื่อสะบัดออก มันก็แปรเปลี่ยนเป็ดาบยาวเงางาม ในความเงียบของค่ำคืน
โจเซฟควักปืนลูกโม่ออกมา โลหะสีเงินเงางามสะท้อนแสงจันทร์ที่เพิ่งโผล่พ้นเมฆ เขาบรรจุะุอย่างระมัดระวัง เสียงคลิกของแกนลูกโม่ดังชัด ก่อนจะส่งให้แอนดรูว์ ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธที่สุดของกลุ่ม
"แอนดรูว์" โจเซฟเรียกเบาๆ พลางยื่นปืนให้ "รับไป นายใช้มันได้ดีกว่าฉัน"
แอนดรูว์พยักหน้า รับปืนมาด้วยท่าทางมั่นใจ "ขอบใจ ฉันจะใช้มันให้คุ้มค่าที่สุด"
"ทำไมฉันไม่ได้บ้างล่ะ?" ชาร์ลส์ถามอย่างสงสัย น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความอิจฉาเล็กๆ
"ปืนกระบอกนี้เป็ของใช้ส่วนตัว ทางหน่วยงานไม่ได้แจกให้" โจเซฟตอบ
ชาร์ลส์รู้สึกเสียดายนิดๆ สายตาของเขาจับจ้องที่ปืนลูกโม่ในมือของแอนดรูว์ มันเป็อาวุธทันสมัยจากซาร์เนีย ประเทศที่มีนวัตกรรมล้ำหน้าที่สุด ของอย่างนาฬิกาพกไขลานที่หน่วยพิเศษแจกให้ก็เช่นเดียวกัน ในหมู่คนธรรมดาเป็ของที่มีราคาแพงอย่างมาก แต่ส่วนของปืนลูกโม่นั้นพิเศษยิ่งกว่า เพราะนอกจากเงินอย่างเดี๋ยวจะซื้อไม่ได้ จะต้องมีเส้นสายในการซื้อขายด้วย ถึงจะได้
เอ็ดเวิร์ดออกคำสั่ง "ทุกคนเตรียมตัว ต่อจากนี้เราจะใช้การสื่อสารทางจิต"
แอนดรูว์และโจเซฟพยักหน้าพร้อมกัน ท่าทางคุ้นเคยกับคำสั่งดังกล่าวเป็อย่างดี มีเพียงชาร์ลส์คนเดียวที่ยืนนิ่ง สีหน้าฉายแววงุนงง
เอ็ดเวิร์ดหันมาหาสมาชิกใหม่"ก่อนเราจะเข้าไป ฉันจะเชื่อมต่อกระแสจิตของเธอเข้ากับพวกเรา เพื่อให้สื่อสารกันผ่านความคิดได้"
ชาร์ลส์ลังเลเล็กน้อย "เอ่อ... คือ..."
'มันจะไม่เป็ไรจริงๆ ใช่ไหม? การทำแบบนี้... มันจะไม่ส่งผลร้ายแรงอะไรกับฉันในภายหลังใช่หรือเปล่า? ถ้าความคิดของฉันจะรั่วไหลออกไปโดยไม่ตั้งใจล่ะ?' ชาร์ลส์คิดในใจอย่างกังวล
เอ็ดเวิร์ดรับรู้ถึงความกังวลของชาร์ลส์โดยที่ไม่ต้องอ่านใจ "ฉันเข้าใจ แต่นี่เพียงแค่้าเชื่อมต่อความคิดของพวกเราเข้าด้วยกัน เพื่อให้พวกเราสามารถสื่อสารกันได้โดยไม่ต้องเปล่งเสียงออกมา ไม่ให้เกิดเสียงโดยไม่จำเป็ในขนาดปฏิบัติภารกิจ และที่สำคัญ คือมันช่วยให้เราสื่อสารกันได้อย่างรวดเร็ว แม้จะอยู่ไกลกันก็ตาม"
แม้จะยังลังเล แต่ชายหนุ่มก็ยังพยักหน้ารับช้าๆ พยายามทำจิตใจให้ปลอดโปร่ง หัวใจของเขาเต้นแรงด้วยความตื่นเต้นและกังวลปนความลังเลเล็กน้อย เอ็ดเวิร์ดแตะที่ขมับของเขาเบาๆ นิ้วมือเย็นเฉียบััผิวของชายหนุ่ม จากนั้นเอ็ดเวิร์ดดึงมือกลับ
"..." ความเงียบเข้าครอบงำสักพัก
'อะไรกัน จบแล้ว?' ชาร์ลส์คิดในใจ เขามองไปที่โจเซฟ แอนดรูว์ และเอ็ดเวิร์ด 'หรือว่าต้องรอสักพัก…'
ทันใดนั้น ชาร์ลส์ก็รู้สึกถึงการเชื่อมต่อกับทุกคน ความรู้สึกประหลาดแล่นเข้ามาในหัว ราวกับมีเสียงของทุกคนดังอยู่ในความคิด ทั้งของโจเซฟ แอนดรูว์ เอ็ดเวิร์ด
'นี่มันอะไรกันเนี่ย!' ความคิดของชาร์ลส์ดังขึ้นในหัวของทุกคนโดยที่เขาไม่รู้ตัว 'อัศจรรย์!'
'ใจเย็นๆ ชาร์ลส์' เอ็ดเวิร์ดปราม 'ตอนนี้พวกเราเชื่อมต่อทางความคิดกันหมดแล้ว ควบคุมสติของเธอไว้'
ชาร์ลส์เขินอายเล็กน้อย 'ขอโทษครับ ผมตื่นเต้นไปหน่อย' เขาพยายามสงบสติอารมณ์
"เพื่อป้องกันไม่ให้ความคิดในหัวของเธอ ถูกส่งออกมาอย่างสะเปะสะปะ ฉันจะเพิ่มเงื่อนไขให้ คืนจะต้องตั้งใจถึงจะส่งความคิดของเธอไปถึงคนอื่นได้" เอ็ดเวิร์ดกล่าว
ชาร์ลส์พยักหน้า แต่หลังจากนั้นหัวหน้าก็ไม่ได้ทำอะไรต่ออีก 'หรือว่าทำไปแล้ว? ช่างเถอะ' จากนั้นชายหนุ่มก็ไม่สนใจอีก
ท้องฟ้าเริ่มครึ้มลง เมฆสีดำก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว สายลมพัดแรงขึ้น พาใบไม้แห้งปลิวว่อน กลิ่นฝนโชยมาตามลม พร้อมกับเม็ดฝนที่เริ่มโปรยปรายลงมา กระทบหลังคาและพื้นถนนดังขึ้นรอบด้าน
ทั้งสี่คนพยักหน้าให้กัน สื่อสารผ่านความคิดเพื่อวางแผนการบุกเข้าบ้าน พวกเขาค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าสู่บ้านหลังนั้น ย่างเท้าอย่างระมัดระวังบนพื้นที่กำลังเปียก พยายามไม่ให้เกิดเสียงใดๆ
เมื่อพวกทั้งสี่เข้ามาในบ้าน เสียงประตูกระแทกปิดดังสนั่น "ปัง!" แอนดรูว์ที่เดินอยู่คนสุดท้ายรู้สึกถึงแรงผลักจากด้านหลัง เขาพยายามออกแรงเปิดประตู แต่มันไม่ขยับแม้แต่น้อย ราวกับถูกหินใหญ่ทับเอาไว้ จนในที่สุดเขาก็ยอมแพ้
ชาร์ลส์สังเกตเห็นว่าแอนดรูว์เลิกพยายามเปิดประตูอย่างรวดเร็ว จึงเข้าส่งความคิดด้วยความสงสัย 'แอนดรูว์ ทำไมคุณถึงไม่พยายามเปิดต่อล่ะ? ถึงแม้จะเราไม่ได้ออกไปตอนนี้ แต่ถ้าเปิดได้ก็น่าจะเป็ทางหนีได้ทีหลัง'
แอนดรูว์ตอบกลับมาในความคิด 'ไม่อยากทำให้สิ่งที่อยู่ในบ้านหลังนี้เกิดตื่นตัวขึ้นมานะ'
นักสืบหนุ่มพยักหน้า คิดในใจโดยไม่ส่งความคิดนี้ให้คนอื่นรับรู้ 'ควรตื่นตัวั้แ่เสียงปิดประตูเมื่อกี้แล้วมัง'
พวกเขาเดินไปตามทางเดินที่กว้างขนาดสองคนเดินสวนกันได้ บรรยากาศภายในบ้านแตกต่างจากภายนอกอย่างสิ้นเชิง ไร้เสียงลมพัดหรือเสียงฝนตก ราวกับว่าถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสมบูรณ์
จู่ๆ เสียงฮัมเพลงแ่เบาก็ดังแว่วมา เป็เสียงใสของหญิงสาว ทำนองและเนื้อร้องคล้ายเพลงเด็กเล่น แต่น้ำเสียงที่ร้องออกมากลับเศร้าสร้อยชวนขนลุก เสียงสะท้อนก้องคล้ายมาจากห้องโถงกว้าง ดูเหมือนจะดังมาจากทุกทิศทาง ซึ่งขัดแย้งกับสภาพทางเดินแคบๆ ที่พวกเขากำลังเดินอยู่
'เสียงอะไรกัน?' โจเซฟส่งความคิดถึงทุกคน 'มันฟังดู... เหมือนมาจากทุกที่และไร้ที่มาที่ไป'
เอ็ดเวิร์ดตอบกลับ 'อย่าไขว้เขวมีสติเข้าไว้'
ขณะที่พวกเขาเดินต่อไป ยิ่งเดินพวกเขายิ่งรู้สึกว่าทางเดินนี้กว้างและยาวกว่าที่ควรจะเป็ ไม่สอดคล้องกับขนาดบ้านที่เห็นจากภายนอก ภาพวาดบนผนังเปลี่ยนแปลงทุกครั้งที่มองกลับไป บางครั้งตัวละครในภาพหันมาจ้องพวกเขา ดวงตาเ่าั้เหมือนมีชีวิตและกำลังติดตามทุกการเคลื่อนไหว
เสียงเพลงยังคงดังต่อเนื่อง เนื้อร้องพูดถึงการละเล่น ความสนุกสนาน และภูตที่จะคอยลงโทษเด็กดื้อ ช่วยเหลือเด็กดี แต่น้ำเสียงที่ร้องออกมากลับชวนให้รู้สึกหวาดกลัว
ในที่สุด พวกเขาก็มาถึงประตูบานหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนประตูทางเข้าบ้านที่พวกเขาเพิ่งผ่านมา เอ็ดเวิร์ดที่เดินนำอยู่เป็คนแรกที่เปิดประตู
เมื่อประตูแง้มเปิด สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าพวกเขาคือภาพของห้องรับแขก มีเตาผิง บันไดขึ้นชั้นสอง และ…ศพ
ศพสองศพถูกแขวนลอยอยู่กลางอากาศ ชาร์ลส์รู้สึกวูบโหวงในท้อง เขาคิดในใจ 'นี่มันอะไรกันวะเนี่ย' ศพทั้งสองร่างกายบิดเบี้ยวผิดรูป กระดูกแหลมคมแทงทะลุิั ดวงตาเหลือกค้าง เืสีดำแดงไหลออกมาจากทุกรูขุมขน
ที่น่าสยดสยองยิ่งกว่าคือศพทั้งสองกำลังเคลื่อนไหว ราวกับถูกชักใย พวกมันใช้มือแทงเข้าไปในร่างกายของกันและกัน ดึงอวัยวะภายในออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ชาร์ลส์รู้สึกคลื่นไส้ อยากอาเจียน ภาพตรงหน้าช่างวิปริตเกินกว่าเขาจะทนดูได้
เอ็ดเวิร์ดส่งข้อความทางจิตถึงทุกคน 'พยายามเลี่ยงความสนใจจากศพพวกนั้น ค้นหาทุกห้อง หาต้นตอของเื่นี้ให้เจอ'
เมื่อได้รับคำสั่ง พวกเขาค่อยๆ แยกย้ายกันค้นหาเป็สองกลุ่ม ชาร์ลส์กับโจเซฟที่เป็เพื่อนกัน แยกไปด้วยกัน ส่วนเอ็ดเวิร์ดกับแอนดรูว์ก็แบ่งเป็อีกกลุ่ม
ระหว่างสำรวจ ชาร์ลส์พยายามอยู่ใกล้โจเซฟให้มากที่สุด ในสถานการณ์ปกติ เขาจะไม่ได้หวาดกลัวกับสถานที่เกิดเหตุหรือศพที่ตายอย่างวิปริตขนาดนี้ เพราะเขารู้ดีว่าไม่มีสิ่งใดลุกขึ้นมาทำอันตรายเขาได้ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ ความรู้สึกหวาดกลัวที่ไม่คุ้นเคยทำให้เขาต้องพึ่งพาโจเซฟเพื่อนสนิด และผู้มีประสบการณ์ที่เผชิญเื่แบบนี้มาก่อนเขา
ในห้องหนึ่ง นักสืบหนุ่มพบหนังสือเล่มหนึ่ง ขณะที่เขาเปิดอ่าน ตัวอักษรบนหน้ากระดาษดูเหมือนมีชีวิต เคลื่อนไหวและเปลี่ยนรูปร่างไปมา ชาร์ลส์พบว่ามันน่าจะเป็ตำราพิธีกรรม
'ผมเจอหนังสือที่อาจเป็สาเหตุของเื่นี้แล้ว' ชายหนุ่มส่งข้อความทางจิตถึงคนอื่นๆ
เมื่อได้รับข้อความทุกคนมารวมตัวกันที่ชาร์ลส์ เพื่อตรวจดูหนังสือเล่มนั้น หลังจากพิจารณาเนื้อหาในหนังสือ พวกเขาสรุปว่ามีคนทำพิธีอัญเชิญตัวตนบางอย่างออกมา ฉะนั้นเป้าหมายต่อไปคือต้องหาตัวผู้ทำพิธีให้เจอและยุติเหตุการณ์ประหลาดนี้ จึงแยกย้ายกันสำรวจจุดอื่นกันต่อไป
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้