แม่เฒ่ารีบผลักเมิ่งอู่ให้เดินย้อนกลับไป แต่พอหันหลังกลับ ทางด้านหลังก็มีคนมาขวางทางเอาไว้
แม่เฒ่าร้อนรนจนทำอันใดไม่ถูก “นี่… นี่จะทำอย่างไรดี…”
ตรอกนี้อยู่ไม่ห่างจากถนน ปากตรอกที่ออกไปยังถนนมีแสงสว่างส่องถึง และยังได้ยินเสียงพลุกพล่านจอแจบนถนน ยิ่งขับเน้นให้ตรอกนี้มืดมิดและเปลี่ยวร้าง
ชายสองคนที่ขวางทางไว้ทั้งสองด้านค่อยๆ สาวเท้าเข้ามาใกล้ทีละก้าวๆ หนึ่งในนั้นเป็โจรที่พยายามจะชิงทรัพย์แม่เฒ่าเมื่อครู่
ั์ตาของเมิ่งอู่มุ่งมั่น ไม่ตื่นตระหนกลนลานแม้แต่น้อย ยามชายสองคนนั้นพุ่งเข้ามาจากสองฝั่งอย่างรวดเร็ว นางเพียงแสยะยิ้มมุมปาก จากนั้นก็ยกขาขึ้นกวาดเตะชายคนหนึ่งล้มลงกับพื้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง
ชายอีกคนหนึ่งผงะไปชั่วขณะ พริบตาต่อมาเมิ่งอู่จึงหมุนตัววาดขาอีกครา ถึงกับถีบคนผู้นั้นกระเด็นไปชนกำแพง ก่อนร่วงลงพื้นอย่างแรง
ทว่าในจังหวะนั้นเองจู่ๆ ก็มีมือข้างหนึ่งยื่นออกมาทางด้านหลังเมิ่งอู่ ในมือถือผ้าผืนหนึ่งไว้หมายจะปิดปากและจมูกของนาง!
เมิ่งอู่ตอบสนองว่องไวมาก มือหนึ่งขวางข้อมือของคนผู้นั้นไว้ ทำให้ผ้าผืนนั้นหยุดชะงักห่างจากใบหน้าเมิ่งอู่หนึ่งฉื่อ [1]
เวลาเดียวกันก็มีกริชเย็นๆ เล่มหนึ่งจ่ออยู่ที่ลำคอของเมิ่งอู่อย่างรวดเร็ว
ในตรอกนี้นอกจากอันธพาลสองคนนั้นกับแม่เฒ่าแล้วจะมีผู้ใดได้อีกเล่า!
แม่เฒ่ายืนอยู่ด้านหลังเมิ่งอู่มาโดยตลอด เวลานี้ข้อเท้าของนางหายเป็ปกติแล้ว สีหน้าเศร้าสร้อยเมื่อครู่ก็เลือนหาย ตัวของนางยืดตรง
นางไม่คิดเลยว่าเด็กสาวตัวเล็กๆ อายุยังน้อยอย่างเมิ่งอู่จะเตะคนได้ จึงฉวยโอกาสแอบใช้ยาสลบ แต่ปรากฏว่าไม่สำเร็จ นางจึงชักกริชออกมาทันควัน ท่าทางคุ้นเคยยิ่ง มองผาดเดียวก็รู้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรก
น้ำเสียงของแม่เฒ่าหนักแน่นมั่นใจขึ้น “แม่หนูน้อย ข้าขอเตือนว่าอย่าดิ้นรนขัดขืนเลย มิเช่นนั้นกริชเล่มนี้ไร้ตา”
เมิ่งอู่เพิ่งกระจ่างแจ้ง สามคนนี้ร่วมมือกันเล่นละครตบตานาง
คนพวกนี้หมายตานางเอาไว้ยามที่นางเดินอยู่บนถนน จากนั้นจึงให้ชายคนหนึ่งแอบสะกดรอยตาม อีกสองคนก็ใช้อุบายทุกข์กาย [2] ก็เพื่อหลอกล่อนางเข้ามาจัดการในตรอก
เมิ่งอู่ไม่กล้าเคลื่อนไหวโดยพลการ แม่เฒ่าหันไปสั่งชายสองคนนั้น “ยังยืนงงอยู่ไย รีบมัดนางไว้สิ!”
เมิ่งอู่กำมือไว้ แล้วปล่อยให้ชายสองคนนั้นมัดนางด้วยเชือกป่าน เพราะยังต้องเดิน แม่เฒ่าจึงไม่ได้มัดสองเท้าของนางด้วย
แม่เฒ่ายิ้มพลางมองนาง กล่าวว่า “เด็กสาวตัวเล็กๆ เดินทางจากชนบทเข้าเมืองคนเดียวสินะ คนในครอบครัวไม่ได้บอกหรือว่าโลกภายนอกอันตราย”
เมิ่งอู่ก็ยิ้มกล่าวว่า “บอกสิ แต่ข้าไม่คาดคิดเลยว่าอาชญากรรมในสมัยโบราณจะมีกลอุบายแปลกใหม่ หนำซ้ำยังมีการทดสอบฝีมือการแสดงด้วย ทำให้คนป้องกันไม่ทันจริงๆ ท่านยาย ยามเขาเตะและตีท่านหลายครั้งเมื่อครู่เป็การต่อสู้จริงสินะ”
แม่เฒ่าทำท่าทางดูถูกเหยียดหยามระคนภาคภูมิใจ เอ่ยว่า “แน่นอน หากไม่แสร้งปล่อยเด็กก็จะดักจับหมาป่าไม่ได้ [3]”
ที่แท้แม่เฒ่าผู้นี้เป็พวกค้ามนุษย์ ส่วนชายซอมซ่อสองคนนั้นเป็ลูกสมุนของนาง
พวกเขาเลือกลงมือกับเป้าหมายที่ลงมือง่ายโดยเฉพาะ หากไม่ล่อลวงก็เล่นละครตบตา แล้วลักพาตัวผู้คนไป จากนั้นค่อยขายต่อให้พ่อค้าคนกลาง
แม่เฒ่าผู้นี้อายุราวสี่สิบปี มองสำรวจเมิ่งอู่ั้แ่ศีรษะจรดเท้า ดวงตาทอประกาย ราวกับกำลังคำนวณว่า จะขายเมิ่งอู่ในราคาที่ดีที่สุดอย่างไร
เมิ่งอู่กล่าวอย่างสบายๆ “ท่านยาย คิดว่าจะขายข้าไปที่ใด?”
แม่เฒ่าหัวเราะเยาะอย่างเ็า “เด็กที่ใจเย็นแบบเ้าช่างหาได้ยากนัก เ้าคิดว่าแค่เ้าเตะถีบสองทีแล้วเ้าจะรอดพ้นจากการถูกขายหรือ ข้าเห็นว่าเ้าฉลาดปราดเปรื่อง หากจับเ้าเติมเสริมแต่งอีกนิดหน่อย ก็นับว่าเป็เด็กสาวที่ไม่เลวแล้ว การขายเ้าไปหอคณิกาจะคุ้มค่าที่สุด”
จากนั้นแม่เฒ่าก็เดินนำหน้า ลูกสมุนสองคนดึงเมิ่งอู่เดินตามหลัง มุ่งหน้าไปยังหอคณิกาแห่งหนึ่ง
แม่เฒ่าผู้นี้คุ้นเคยกับหอคณิกาดี หากมีเด็กสาวหน้าตางดงามก็จะนำไปขายที่นั่น
ลูกสมุนทั้งสองคนเชื่อฟังคำของแม่เฒ่าทุกอย่าง คาดว่าน่าจะเป็ญาติห่างๆ ที่แม่เฒ่าพามาจากชนบทเพื่อหาเลี้ยงชีพ เพราะอ้าปากหุบปากก็เรียก “ท่านป้า”
ครั้นเดินไปได้ครึ่งทาง เมิ่งอู่ก็ถอนหายใจกล่าวว่า “ท่านยาย ท่านไม่รู้หรือว่าที่จริงข้าลงนามในสัญญาขายตัวไปแล้ว”
แม่เฒ่าได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยถาม “เ้าลงนามในสัญญาขายตัวแล้วหรือ? ขายตัวให้ผู้ใด?”
เมิ่งอู่กล่าว “ตระกูลซวี่ เดิมข้าเป็บ่าวรับใช้ในบ้านตระกูลซวี่”
แม่เฒ่าหยุดเดิน แล้วหันกลับมามองนางด้วยความแคลงใจ “เ้าเป็บ่าวรับใช้ในบ้านตระกูลซวี่? มีหลักฐานหรือไม่?”
สีหน้าของเมิ่งอู่ทุกข์ระทมขมขื่น “ข้าเป็บ่าวรับใช้ข้างกายคุณชายรองตระกูลซวี่ ไม่รู้ว่าท่านยายเคยได้ยินเื่ราวของคุณชายรองหรือไม่ ท่านผู้นั้น… ยากจะพูด ท่านเ้าบ้านจึงไล่พวกเราออกทั้งหมด ข้าจึงมีโอกาสกลับเรือนไปเยี่ยมเยียนท่านแม่”
แม่เฒ่าหัวเราะจนกล้ามเนื้อบนใบหน้ากระเพื่อม “ในเมื่อตระกูลซวี่ไล่เ้าออกมาแล้ว เ้าก็ไม่ใช่คนของตระกูลซวี่อีกต่อไป กฎข้อนี้เ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ”
เมิ่งอู่เงยหน้ามองแม่เฒ่า แล้วพยักหน้าอย่างจริงใจ “ข้ารู้ แต่วันนี้ข้าเข้าเมือง ก็เพราะจะไปที่บ้านตระกูลซวี่เพื่อรับเบี้ยของหลายเดือนนี้”
แม่เฒ่า “เบี้ยเดือนของหลายเดือน?”
เมิ่งอู่ตอบรับ “ใช่ ก่อนหน้านี้ข้าถูกยึดสัญญาขายตัวมาโดยตลอด ตระกูลซวี่ร่ำรวยเงินทองมิใช่หรือ ผู้คุมงานจางจึงบอกว่าทุกคนยังจะได้รับเบี้ยเลิกจ้างเป็เงินสิบกว่าตำลึงด้วย ท่านยายรอให้ข้าไปรับเงินก่อน แล้วค่อยขายข้าได้หรือไม่? มิเช่นนั้นข้าทำงานตั้งหลายเดือนให้คนเขาไม่เท่ากับว่าสูญเปล่าหรอกหรือ เยี่ยงนี้ย่อมขาดทุนย่อยยับ”
หากแม่เฒ่าขายเมิ่งอู่อย่างมากก็ได้เพียงสิบยี่สิบกว่าตำลึงเงิน แต่ยามนี้มีเงินเพิ่มอีกสิบกว่าตำลึงเงินในคราวเดียว แม่เฒ่าจะไม่หวั่นไหวได้อย่างไร
แม่เฒ่ากล่าว “หากเ้าเป็บ่าวรับใช้ของตระกูลซวี่จริง ย่อมต้องได้รับเบี้ยเดือนเป็ธรรมดา แต่ข้าขอบอกเ้าไว้ก่อนว่าหากเ้ากล้าเล่นเล่ห์ซ่อนกลใด ก็อย่าโทษที่ลูกน้องของข้าไร้ปรานี!”
ยามเดินไปยังบ้านตระกูลซวี่ไม่ต้องให้เมิ่งอู่นำทาง แม่เฒ่าคุ้นเคยกับเมืองนี้มาก จนกลับกลายเป็ว่านางพาเมิ่งอู่ไปยังบ้านสกุลซวี่
มือของเมิ่งอู่ถูกมัดไว้ ด้านหลังยังมีคนใช้กริชจ่อเอว ระหว่างทางนางให้ความร่วมมืออย่างดี บางครั้งเจอผู้คนเดินผ่านไปมาก็ไม่ส่งเสียงร้อง เชื่อฟังว่าง่าย
แม่เฒ่ารู้กฎดีจึงไม่พาเมิ่งอู่ไปที่ประตูหลักหน้าเรือน แต่พานางไปที่ประตูหลังซึ่งอยู่ในตรอกด้านหลัง
เมิ่งอู่กล่าว “สิ่งที่ตระกูลซวี่เกลียดที่สุดคือการที่มีคนมารวมตัวกันมั่วสุมก่อเื่ หากพวกเราทั้งสี่คนไปเคาะประตู พวกเขาคงคิดว่าเป็พวกก่อกวนเป็แน่ อาจทำให้ยังไม่ทันได้รับเบี้ยเดือน ก็โดนคนของตระกูลซวี่รุมทำร้ายก่อนแล้ว”
แม่เฒ่าจ้องมองเมิ่งอู่ด้วยสายตาดุร้าย กล่าวว่า “ทำไม เ้าคิดจะไปคนเดียว เพื่อฉวยโอกาสกำจัดพวกเราหรือ?”
เมิ่งอู่อธิบาย “ก่อนอื่นข้าจะไปเคาะประตูคนเดียว แล้วเล่าสถานการณ์ให้คนตระกูลซวี่ฟังที่หน้าประตู จากนั้นท่านค่อยเข้าไปรับเบี้ยเดือนกับข้า หากข้าคิดจะหลบหนีเข้าไปข้างในจริงๆ ท่านก็แค่ยืนขวางและหยุดข้า โดยบอกว่าข้าเป็บุตรสาวของท่าน อย่างนี้แล้วคนตระกูลซวี่ยังจะเก็บข้าไว้หรือ? อีกอย่างข้าก็ไม่ใช่บ่าวรับใช้ของตระกูลซวี่อีกแล้ว”
เมิ่งอู่กล่าวเช่นนี้ก็สมเหตุสมผล
เมิ่งอู่ยื่นสองมือที่ถูกมัดไว้ออกมา ตั้งใจให้แม่เฒ่าแก้มัดให้นาง
แม่เฒ่ายังคงลังเลอยู่บ้าง เมิ่งอู่จึงสำทับ “ที่นี่เป็ตรอกหลังเรือน ต่อให้ข้าวิ่งหนีก็คงหนีคนอย่างพวกท่านสามคนไม่พ้น ประเดี๋ยวพอเจอผู้คุมงานแล้ว ข้าจะบอกว่าท่านเป็ท่านแม่ข้า ดีหรือไม่?”
แม่เฒ่าครุ่นคิดครู่หนึ่ง ค่อยพยักหน้า
ระหว่างที่แม่เฒ่าแก้มัดให้เมิ่งอู่ เมิ่งอู่ก็กล่าวว่า “รอจนได้รับเบี้ยเดือนแล้ว ขอให้ท่านเมตตาทิ้งเงินไว้ให้ข้าบ้าง ครอบครัวของข้าขัดสน ท่านแม่ข้าก็ป่วย ไม่มีเงินซื้อยา”
คำพูดคำจาอ่อนหวานของนางพาให้ความสงสัยน้อยนิดในใจของแม่เฒ่าสลายไป
แม่เฒ่าผลักเมิ่งอู่ไปข้างหน้า สั่งว่า “จะดีที่สุดหากเ้าทำตัวดีๆ รีบไปเคาะประตู!”
……….
[1] ฉื่อ (尺) เป็หน่วยวัดความยาวของจีนในแต่ละสมัยไม่เท่ากัน 1 ฉื่อ ประมาณ 33.3 เิเ
[2] กลยุทธ์ทุกข์กายคือ จงใจทำร้ายตนเองจนาเ็เพื่อได้รับความไว้วางใจจากฝ่ายตรงข้าม
[3] อุปมาว่า ทำสิ่งใดต้องไม่กลัวอันตรายที่จะเกิดขึ้น แล้วจะได้รับผลตอบแทนตาม้า หรือต้องจ่ายในราคาที่สอดคล้องกันเพื่อบรรลุเป้าหมายที่แน่นอน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้