จวินหวงเพียงแค่หัวเราะคล้อยตามแล้วถามว่า "หวางเหย่ตัดสินใจจะส่งแม่นางผู้นี้ไปให้รัชทายาทเพื่อเป็การเลี้ยงส่งเช่นนั้นหรือ?"
"น้องเฟิงช่างมีสติปัญญาเฉียบคมยิ่งนัก เปิ่นหวางคิดอะไรล้วนไม่อาจหลบสายตาของน้องเฟิงได้เลย" ฉีเฉินเอ่ยวาจาด้วยรอยยิ้ม บนใบหน้ายิ่งมีความลำพองใจเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน แต่จวินหวงกลับไม่รู้ว่าเขาเอาความลำพองใจพวกนี้มาจากไหน
ฉีเฉินส่งขวดกระเบื้องเคลือบให้แก่หญิงสาว นางไม่เอ่ยปากพูดสักคำ เพียงแค่ถือขวดไว้แล้วจากไป หลังจากฉีเฉินคุยกับจวินหวงอีกไม่กี่ประโยคก็กลับไปอย่างไม่รีบร้อน
หลังจากที่หญิงสาวชุดสีชมพูผู้นั้นออกจากจวนเฉินอ๋องแล้ว ก็ตรงไปยังหอสุราแห่งหนึ่ง นางได้ข่าวมาว่าฉีอินไปที่นั่นั้แ่เช้า เมื่อไปถึงก็เห็นเขานั่งอยู่เพียงลำพังที่ชั้นสองของหอสุรา
ฉีอินถูกองค์ฮ่องเต้ตำหนิมาอีกแล้ว เพราะพฤติกรรมดูถูกเหยียดหยามและไม่เคารพผู้อื่นของเขาเอง และก็เหมือนเช่นครั้งก่อน คำพูดแต่ละคำแต่ละประโยคของฮ่องเต้ล้วนชื่นชมฉีเฉินว่ามีน้ำใจเห็นอกเห็นใจผู้อื่นอย่างนั้นอย่างนี้ ส่วนตัวเขาก็ทำตัวแย่อย่างนั้นอย่างนี้ ในใจเขาเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม ยิ่งกลุ้มก็ยิ่งกระดกสุราดื่มเร็วขึ้นๆ ใบหน้าเห็นได้ชัดว่าเมาแล้ว
"คุณชายมาคนเดียวหรือเ้าคะ?" สตรีชุดสีชมพูเอ่ยปากขึ้นอย่างเนิบช้า น้ำเสียงใสกังวานราวกับน้ำพุ ชวนให้คนหลงใหล
ฉีอินเงยหน้าขึ้นมอง เห็นหญิงสาวรูปโฉมงดงามราวกับเทพธิดาก็มองอย่างเคลิบเคลิ้ม หญิงสาวหัวเราะเบาๆ แล้วเดินเข้าไปนั่งข้างกายของฉีอิน ดวงตาฉ่ำหวานราวกับมีน้ำกลิ้งสบตาเขาไว้ และอาศัยจังหวะที่ฉีอินยังไม่ทันรู้สึกตัว เปิดขวดกระเบื้องเคลือบอย่างรวดเร็วไร้สุ้มเสียง แล้วเทของเหลวสีเหลืองอำพันลงในสุรา
"หากคุณชายมาคนเดียว เช่นนั้นข้าขอดื่มเป็เพื่อนคุณชายสักจอกนะเ้าคะ" หญิงสาวพูดพลางยกไหสุราขึ้น แล้วยื่นมือมาหยิบจอกสุราของฉีอินหมายจะรินสุราให้เขา แต่กลับถูกฉีอินจับมือไว้ขัดขืนอย่างไรก็ไม่ปล่อย
"คุณชาย ดื่มสุราสักคำดีไหมเ้าคะ?" หญิงสาวข่มความรู้สึกรังเกียจในดวงตาเอาไว้อย่างรวดเร็ว แล้วยกจอกสุราที่เทไว้ครึ่งจอกจ่อที่ริมฝีปากของฉีอิน ฉีอินกำลังเคลิบเคลิ้มหลงไหล หัวใจจดจ่ออยู่ที่เรือนร่างของหญิงสาว ยิ้มกริ่มอ้าปากกลืนสุราร้อนแรงลงคอ พลางยื่นมือออกไปลูบไล้นวลปรางค์ของหญิงสาว
หญิงสาวมองดูฉีอินอย่างเ็า สีหน้าของฉีอินคล้ำเขียวขึ้นเรื่อยๆ ลมหายใจติดขัด ในที่สุดก็สิ้นลมหายใจ มือที่ยื่นมาลูบไล้หญิงสาวก็ตกลง คำพูดสักประโยคก็ไม่สามารถล่วงออกมาจากลำคอได้ หญิงสาวค่อยๆ ยืนขึ้นมองดูฉีอิน มุมปากโค้งขึ้นเป็รอยยิ้ม
จวินหวงนั่งหลับตาสงบจิตใจอยู่ในห้อง ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงดังมาจากด้านนอก นางขมวดคิ้วยืนขึ้นแล้วเดินออกไปดู
"เ้าเป็สาวใช้ป่าเถื่อนมาจากไหน ยังไม่หลีกทางให้ข้าอีก" สตรีสูงศักดิ์งามสง่าผู้หนึ่งกำลังชี้หน้าต่อว่าเว่ยเฉี่ยนอย่างดุเดือด น้ำเสียงชวนให้รู้สึกหนาวสะท้านถึงกระดูกราวกับเ้านายผู้สูงศักดิ์ และเว่ยเฉี่ยนก็เป็คนรับใช้ผู้ต่ำต้อยคนหนึ่ง
จวินหวงเคยพบกับพระมารดาของฉีเฉินมาแล้ว สตรีผู้ไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตา นางสีหน้าสงบนิ่ง เดินเข้าไปยิ้มและกล่าวว่า "ไม่ทราบว่าพระสนมเสด็จมาหาข้าพระองค์ที่นี่มีธุระอันใด"
"เฟิงไป๋อวี้ เ้ารู้หรือไม่ว่าตนเองทำอะไรลงไป? เ้ากำลังทำร้ายโอรสของข้าอยู่เ้ารู้ตัวหรือไม่?" สตรีผู้นั้นถามจวินหวงตรงๆ นิ้วมือที่ชี้มาที่จวินหวงสั่นระริก
เว่ยเฉี่ยนยืนอยู่ด้านข้างคอยจับตามองสตรีผู้นั้นอย่างใกล้ชิด ด้วยกลัวว่านางจะทำร้ายจวินหวง นางจำเป็ต้องปกป้องคุ้มครองจวินหวงจากการคุกคามทุกวิถีทาง
"ผู้น้อยไม่ทราบว่าพระสนมกล่าวเช่นนี้หมายว่าอย่างไร?" จวินหวงขมวดคิ้วมองบุคคลที่อยู่เบื้องหน้า ดวงตาไม่มีความพรั่นพรึงแม้แต่น้อย ซึ่งยิ่งทำให้พระสนมกุ้ยเฟยกริ้วหนักยิ่งขึ้น
พระนางเงื้อมือขึ้นคล้ายว่ากำลังจะตบหน้าของจวินหวง แต่ตอนนั้นฉีเฉินวิ่งเข้ามาถึงพอดี และยั้งมือของพระสนมกุ้ยเฟยเอาไว้ทัน เขาถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งขมวดคิ้วแล้วถามว่า "เสด็จแม่จะทำอะไรพ่ะย่ะค่ะ?"
"ลูกแม่ เ้ารู้หรือไม่ว่าเขาทำให้เ้าตกอยู่ในอันตรายเข้าแล้ว"
"เสด็จแม่กล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?" ฉีเฉินขมวดคิ้วอย่างสงสัย
พระสนมกุ้ยเฟยมองจวินหวงอย่างมาดร้าย แต่จวินหวงแกล้งทำสีหน้างุนงง ราวกับว่าไม่เข้าใจความหมายที่พระสนมกุ้ยเฟยกล่าวมา "ผู้น้อยก็ไม่ทราบว่าพระสนมกล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ขอพระสนมโปรดให้ความกระจ่าง"
"ฉานโต้วนั้นในเป่ยฉีมีแค่องค์ฮ่องเต้กับโอรสของเราเท่านั้นที่มี หากถูกตรวจสอบพบว่าฉีอินเสียชีวิตจากฉานโต้ว เช่นนั้นคนที่ฮ่องเต้จะสงสัยมากที่สุดจะเป็ผู้ใดเล่า?" พระสนมกุ้ยเฟยพูดจบก็จ้องมาที่จวินหวงอย่างเ็า ในสายตาเต็มไปด้วยการคาดโทษ
จวินหวงตัดสินใจ ในระหว่างที่ฉีเฉินยังไม่มีทีท่าใดๆ ก็คุกเข่าลงกับพื้น เสียงหัวเข่ากระแทกพื้นเรียกให้ทุกคนในที่แห่งนั้นหันมามอง ใบหน้าของจวินหวงขาวซีด นางจ้องมองฉีเฉิน กล่าวออกมาทีละคำทีละประโยคอย่างชัดเจน "ตอนนั้นผู้น้อยคิดเพียง้าช่วยหวางเหย่กำจัดเสี้ยนหนามตำใจ จึงมิได้คิดให้รอบคอบและไม่มีเจตนาจะทำให้หวางเหย่ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายเช่นนี้ หากหวางเหย่ไม่ทรงเชื่อ ก็สังหารผู้น้อยได้เลย"
จวินหวงกล่าวไม่หนักไม่เบาไป เว่ยเฉี่ยนได้ยินแล้วก็ใจเต้นแรงอย่างไม่อาจห้าม แล้วคุกเข่าลงข้างจวินหวงทันที "หวางเหย่ เพื่อปรุงยานี้ออกมา คุณชายไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาหลายวัน เขาทำงานเพื่อหวางเหย่อย่างแท้จริง ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณชายทำมา หว่างเหย่ย่อมรู้ดีกว่าใครๆ"
ฉีเฉินมองที่จวินหวงและเว่ยเฉี่ยนแล้วถอนหายใจออก จากนั้นก็หันไปมองพระสนมกุ้ยเฟย "เสด็จแม่ แม้ว่าเื่นี้น้องเฟิงจะไม่ได้คิดให้ถี่ถ้วน แต่เขาก็บอกแล้วว่า มีเพียงฉานโต้วเท่านั้นที่สามารถใส่เข้าไปเป็ส่วนผสมของยาได้ เื่นี้ไม่มีทางอื่นแล้วจริงๆ"
พระสนมกุ้ยเฟยมองมาที่จวินหวง หลังจากสงบจิตใจลงมาได้ถึงค่อยตระหนักว่าต่อให้พระนางตำหนิจวินหวงไปก็ไม่ได้ช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นมาได้ และได้ยินว่าที่ครั้งที่แล้วฉีเฉินเดินทางไปชายแดนก็เป็ความคิดของเขา ในใจคิดว่าจวินหวงยังเป็คนที่ใช้ประโยชน์ได้อยู่ เวลานี้จึงคิดปล่อยเขาไปก่อน
"เื่นี้ก็ไม่ต้องพูดถึงอีก เฟิงไป๋อวี้จงจำใส่กะโหลกของเ้าเอาไว้ ทางที่ดีอย่าได้เสนอความคิดใดๆ ออกมาอีก มิเช่นนั้นเปิ่นกงจะสับร่างเ้าให้แหลกเป็หมื่นชิ้น"
"ผู้น้อยทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ"
และในเวลานี้เอง บ่าวชายผู้เฝ้าประตูก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา หลังจากทำความเคารพแล้วก็กล่าวขึ้น "หวางเหย่ แม่นางคนเมื่อครู่ส่งข่าวมาว่ารัชทายาทสิ้นพระชนม์แล้ว ตอนนี้คนที่ในวังส่งมานำพระศพกลับไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ"
ฉีเฉินได้ยินเช่นนั้นก็สะดุ้งเฮือก ดึงพระหัตถ์ของพระสนมกุ้ยเฟยอย่างตื่นตระหนก "เสด็จแม่ ตอนนี้จะทำอย่างไรดี หากเสด็จพ่อรู้เข้าพระองค์ต้องปะาชีวิตข้าแน่ๆ เสด็จแม่ท่านต้องช่วยข้านะ"
พระสนมกุ้ยเฟยมีประสบการณ์ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานหลายปี จึงไม่แตกตื่นเหมือนเช่นฉีเฉิน พระนางหายใจเข้าออกลึกๆ เฮือกหนึ่งเพื่อควบคุมอารมณ์ของตนเองให้เย็นลง "ยังดีที่แม่เตรียมการเอาไว้ก่อนแล้ว ลูกแม่ เื่นี้เ้าไม่ต้องร้อนใจ หากมีคนถามขึ้นมาก็บอกไปว่าตนเองไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น เื่อื่นๆ แม่จะจัดการเอง"
ฉีเฉินพยักหน้ารับ ราวกับย้อนเวลากลับไปเมื่อครั้งยังเด็ก ทุกครั้งที่เกิดปัญหาก็จะเอาแต่ร้องไห้หลบอยู่ข้างหลังพระมารดา ไม่มีวิธีการจัดการกับปัญหาเลยสักนิด
หลังจากที่พระสนมกุ้ยเฟยพูดจบแล้วก็พาผู้ติดตามของตนเองกลับไป ฉีเฉินรีบตามไปด้วย เหลือแค่จวินหวงกับเว่ยเฉี่ยนสองคน เว่ยเฉี่ยนยืนขึ้นก่อนแล้วจึงประคองให้จวินหวงยืนขึ้น จวินหวงเพิ่งจะสังเกตว่าเมื่อครู่คงใช้แรงมากเกินไป กระแทกจนหัวเข่าแตก ในตอนนี้รู้สึกปวดแสบปวดร้อนจนหน้านิ่ว ต้องอาศัยเว่ยเฉี่ยนประคองกลับไปที่ห้องพัก
ที่แท้พระสนมกุ้ยเฟยได้จัดเตรียมคนเข้าไปอยู่ในตำหนักรัชทายาทเอาไว้ก่อนแล้ว ฮ่องเต้ให้หมอหลวงมาตรวจสอบร่างของฉีอิน ก็พบฉานโต้วในร่างกายของฉีอิน แน่นอนว่าพระองค์ย่อมสงสัยในตัวฉีเฉิน ขณะนั้นคนที่พระสนมกุ้ยเฟยจัดเตรียมไว้กลับบอกฮ่องเต้ว่าฉีอินเคยส่งคนไปแคว้นที่มีการเพาะปลูกฉานโต้ว และซื้อฉานโต้วกลับมาเป็การเฉพาะ
"ที่เ้ากล่าวมาเป็ความจริงหรือ?" ฮ่องเต้ทรงถาม พระขนงขมวดมุ่น
บ่าวรับใช้ล้วงเอากระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ แล้วส่งให้ขันที "นี่คือใบรายการที่ติดต่อกันระหว่างองค์รัชทายาทกับผู้ขายพ่ะย่ะค่ะ"
"ไม่ เป็ไปไม่ได้ โอรสของข้าจะทำเื่แบบนี้ได้อย่างไร ใครๆ ก็รู้ว่าการลอบซื้อขายสิ่งของจากต่างแคว้นมีโทษสถานหนัก อินเอ๋อร์จะเลอะเลือนเช่นนี้ได้อย่างไร" ฮองเฮาทรุดฮวบคุกเข่าลงกับพื้น ร้องไห้คร่ำครวญปานจะขาดใจ
ฮ่องเต้รู้สึกกลัดกลุ้มพระทัยอย่างมาก ไม่อยากอยู่กับฮองเฮาที่นี่อีก จึงสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป ทิ้งให้คนอื่นๆ ปลอบขวัญฮองเฮาที่เ็ปจากการสูญเสียพระโอรสไป
ฮองเฮาประทับนิ่งอยู่บนพื้นเป็เวลานาน บรรดาคนรับใช้ต่างหมดปัญญา ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี ผ่านไปครู่หนึ่งฮองเฮาที่โศกเศร้าสุดประมาณก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน จ้องไปด้านนอกอย่างโกรธแค้น "พวกเ้านึกว่าข้าเชื่อคำพูดของคนรับใช้ชั้นต่ำคนหนึ่งอย่างนั้นหรือ? ฉีเฉิน ข้าจะต้องให้พวกเ้าสองแม่ลูกชดใช้อย่างสาสมให้ได้"
ท่าทางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันของพระนางช่างน่ากลัวนัก บรรดาบ่าวไพร่ล้วนไม่กล้าเข้าใกล้ เพราะกลัวว่าฮองเฮาจะกริ้วตนเอง และขณะนั้นเอง กั๋วจิ้ว[1] พี่ชายของฮองเฮาก็เดินเข้ามา โบกมือให้คนรับใช้คนอื่นๆ ออกไปให้หมด
"น้องหญิง เ้าเป็อะไรไป?" กั๋วจิ้วเห็นฮองเฮาร้องไห้จนกลายเป็มนุษย์น้ำตาก็หน้านิ่วถามขึ้น
เมื่อฮองเฮาเห็นพี่ชายคนโตของตนเอง น้ำตาที่เพิ่งเหือดแห้งก็ไหลพรั่งพรูออกมาอีก เดินโซซัดโซเซเข้ามาอยู่ข้างๆ กั๋วจิ้ว พูดไปก็ร้องไห้ไป "พี่ใหญ่ อินเอ๋อร์ไม่อยู่แล้ว เขาถูกคนทำร้ายจนตาย ข้าควรจะทำอย่างไรดี? ข้าควรทำอย่างไรดี?"
กั๋วจิ้วถอนหายใจเฮือก ตบหลังฮองเฮาเบาๆ "เ้าอย่าร้องไห้อีกเลย เื่อินเอ๋อร์ข้าจะต้องตรวจสอบเผยความจริงให้ปรากฏ น้ำลดหินย่อมผุดขึ้นมา ข้าจะไม่ให้คนชั่วลอยนวลไปแน่"
ฮองเฮาพยักหน้า
หลังจากนั้นคนของกั๋วจิ้วก็เริ่มสร้างความกดดัน และพุ่งเป้าโจมตีมาที่ฉีเฉิน
ในท้องพระโรงเงียบกริบ องค์ฮ่องเต้เพิ่งสูญเสียรัชทายาทไป พระอารมณ์หม่นหมอง เหล่าขุนนางต่างไม่กล้าพูดมาก ฉีเฉินในใจเต็มไปด้วยความสุข แต่บนใบหน้ากลับแสดงราวกับว่าเสียใจเป็อย่างยิ่ง
"เสด็จพ่อโปรดระงับความโศกเศร้าด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพี่... ที่อยู่ในยมโลกคงไม่ปรารถนาให้เสด็จพ่อเสียพระทัยจนเกินไป อันจะทำร้ายพระวรกายได้" ฉีเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น ราวกับว่าชั่วนาทีถัดไปน้ำตาก็จะไหลออกมาด้วย
"องค์ชายรองกล่าวเช่นนี้ไม่เืเย็นเกินไปหน่อยหรือ จะว่าอย่างไรก็แล้วแต่ รัชทายาทก็เป็พระโอรสองค์โตของฝ่าา พระโอรสองค์โตสิ้นพระชนม์พระบิดาจะไม่เสียพระทัยได้อย่างไร องค์ชายรองแสดงทีท่าออกมาเช่นนี้ ช่างทำให้ข้าผิดหวังยิ่งนัก" กั๋วจิ้วกล่าวจบก็ปิดหน้าร้องไห้ ขุนนางที่ได้ยินเสียงต่างถอนหายใจด้วยความหดหู่
ใครๆ ต่างก็รู้ว่ารัชทายาทเพิ่งจะพ้นจากถูกกักบริเวณเมื่อหลายวันก่อน ตอนนี้กลับอยู่กันคนละโลกแล้ว คนหนุ่มอายุยังน้อยต้องมาจากโลกนี้ไปแบบนี้ น่าสงสารน่าเวทนาแท้ๆ
ฉีเฉินปิดปากเงียบไม่กล่าวอันใดอีก แต่เขากำมือแน่น ขบกรามกรอดมองคนที่ร้องไห้ให้กับรัชทายาทด้วยสายตาเ็า ในใจหัวเราะไม่หยุด รัชทายาทจากไปแล้ว ต่อไปอย่างไรตำแหน่งรัชทายาทก็ต้องตกมาเป็ของเขา
แต่ผู้ที่อยู่ฝ่ายฉีเฉินจะยอมให้เขาเป็ฝ่ายเสียเปรียบได้อย่างไร จึงกล่าวกับกั๋วจิ๋วโดยตรงว่า "ไม่มีใครปรารถนาให้รัชทายาทสิ้นพระชนม์หรอก แต่ได้ยินมาว่ารัชทายาททรงแอบซื้อของบรรณาการจากต่างแคว้น ถึงได้สิ้นพระชนม์ แล้วเกี่ยวอันใดกับองค์ชายรองด้วย?"
"เ้าพูดอะไร? หรือจะบอกว่าการสิ้นพระชนม์ของรัชทายาทเป็เพราะเขารนหาที่ตายเองเช่นนั้นหรือ?" กั๋วจิ้วตะคอกใส่
"ทุกท่านโปรดอย่าทะเลาะกันอีกเลย ตอนนี้ควรจะให้รัชทายาททรงไปสู่สุคติถึงจะถูก" ในที่สุดรองเสนาบดีก็ทนมองไม่ไหวจริงๆ พูดจบก็ถอนหายใจออกมา
ฉีเฉินมองรองเสนาบดีด้วยสายตาเ็า ในดวงตาราวกับน้ำแข็งเหมันต์ แต่รองเสนาบดีกลับทำเหมือนไม่เห็น ยืนตัวตรงกล่าวกับฮ่องเต้ว่า "ขอให้ฝ่าามอบหมายเื่การจัดการฝังพระศพของรัชทายาทให้เป็หน้าที่ของกระหม่อมด้วยเถิด"
ทุกคนต่างขมวดคิ้ว ใครๆ ก็รู้ว่าเื่นี้ควรเป็หน้าที่ของกรมพิธีการถึงจะถูกต้อง นอกจากนี้เื่องค์รัชทายาทเดิมทีก็เป็เผือกร้อนลวกมือ ทุกคนต่างไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย ใครจะรู้ว่ารองเสนาบดีผู้นี้จะไม่รู้จักกลัวตายขันอาสารับหน้าที่ที่ทำไปก็เสียแรงเปล่าเอาไว้เสียเอง
"เช่นนั้นเื่นี้ก็มอบอำนาจทั้งหมดให้ท่านรองเสนาบดีเป็ผู้จัดการ" ฮ่องเต้ก็ไม่อยากจะจัดการเื่นี้สักเท่าไร ตอนนี้ก็เลยพายเรือตามน้ำมอบโอกาสนี้ให้แก่รองเสนาบดี
หลังจากเลิกประชุมในท้องพระโรง ฉีเฉินก็รั้งรองเสนาบดีเอาไว้อีก เขามองรองเสนาบดีด้วยสายตาเย็นเยือก "เ้ารู้หรือไม่ว่าตนเองทำอะไรอยู่?"
..................................................................................................................
[1] กั๋วจิ้วเป็ตำแหน่งบรรดาศักดิ์ หมายถึงพี่ชายของพระอัครมเหสี