“วันนี้เป็ยังไงบ้าง”
“ก็ดี”
“แล้วเรียนหนักไหม”
“ก็เรื่อย ๆ”
“เฮ้อ... ทำไมชอบพูดจาห่างเหินกันอยู่เรื่อย นี่เราเป็แฟนกันนะพอร์ตไม่ใช่คนเพิ่งจีบกันใหม่ ๆ” ภายในร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในย่านมหาลัยดัง เสียงสนทนาระหว่างคู่รักวัยนักศึกษาก็คอยดังขึ้นอยู่เป็ระยะ ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังนั่งรอให้อาหารทยอยมาเสิร์ฟ
“เราก็เป็คนพูดจาแบบนี้อยู่แล้วนะ แต่ทำไมวันนี้ถึงเกิดไม่พอใจขึ้นมาล่ะ?” อีกฝ่ายถามกลับมาเสียงนิ่ง ไม่มีท่าทีว่าจะยอมเปลี่ยนแปลงการพูดจาของตัวเอง ด้วยเหตุผลที่ว่าเ้าตัวก็เป็แบบนี้มาั้แ่ไหนแต่ไรแล้ว
“อ่า… จริงด้วยแฮะ พอร์ตก็เป็แบบนี้มาั้แ่ไหนแต่ไรแล้ว ทำไมเราถึงยังไม่ชินอีก” เจแปนเอ่ยทั้งรอยยิ้ม จากนั้นความเงียบก็เข้าปกคลุมทั้งคู่อยู่พักหนึ่ง แล้วอาหารก็เริ่มทยอยมาเสิร์ฟ
ไม่มีบทสนทนาเกิดขึ้นอีก… พออาหารถูกนำมาวางไว้ตรงหน้าแล้ว ต่างฝ่ายก็ต่างเริ่มลงมือรับประทานมันทันที ซึ่งการลงมือจัดการอาหารตรงหน้าโดยทันทีนั้น นั่นก็ไม่ใช่เพราะความหิว แต่เป็เพราะทั้งสองไม่รู้จะคุยอะไรต่างหาก
พอร์ตก็นิ่งเกิน ส่วนเจแปนก็เหนื่อยที่จะประคับประคองบทสนทนาแล้ว
“ถ้าเราจำไม่ผิด เหมือนสัปดาห์หน้ามันจะเป็วันหยุดนะ งั้นพวกเราไปเที่ยวกันดีไหม?” ผ่านไปหลายสิบนาที ในที่สุดเจแปนก็ต้องเป็ฝ่ายพูดขึ้นอีกครั้ง เมื่อเขาไม่อยากให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์
เพราะมันไม่ได้มีบ่อยครั้งนักที่พอร์ตจะว่างจนยอมมานั่งกินข้าวกับเจแปนเช่นนี้
“จะไปไหนล่ะ” อีกฝ่ายถามกลับมาด้วยท่าทีนิ่ง ๆ เช่นเดิม ทว่านั่นมันกลับไปจุดประกายความหวังของเจแปน เนื่องจากทั้งสองไม่ได้ไปเที่ยวด้วยกันนานแล้ว
“ไปทะเลดีไหม” เจแปนเสนอความคิด
“…”
“ไปทะเลใกล้ ๆ กรุงเทพ ไปค้างที่นั่นสักคืนแล้วค่อยกลับ พอร์ตคิดว่าไง?”
“ทะเลงั้นเหรอ” อีกฝ่ายทวนคำพูดนั้นเบา ๆ คล้ายกับกำลังพิจารณาอะไรบางอย่างอยู่ ถึงค่อยให้คำตอบกลับมา “ไม่ดีกว่า เราว่าเรานั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องน่าจะโอเคกว่า เพราะหลังหมดวันหยุดยาวเรามีสอบด้วย”
“อ—อ๋อ” เมื่อได้ยินคนรักให้คำตอบกลับมาเช่นนั้น เจแปนที่ดูมีความหวังในตอนแรกก็เกิดอาการเศร้าสร้อยอย่างเห็นได้ชัด จนทำให้คนที่เ็าและเมินเฉยกันมาตลอดต้องผละสายตาออกจากอาหารตรงหน้า
“เจแปนเข้าใจเรานะ?” อีกฝ่ายถาม
“เข้าใจสิ เราเข้าใจอยู่แล้ว เพราะคณะของพอร์ตมันเรียนหนักนี่นา” เจแปนตอบกลับไปด้วยใบหน้าที่มีแต่รอยยิ้มเช่นเดิม แม้ว่าความจริงเขาจะไม่เข้าใจอะไรเลยก็ตาม
ไม่รู้มันกลายเป็แบบนี้ไปได้ยังไง…ความรักที่มีระยะเวลาถึงหกปีเต็ม แทนที่มันจะหอมหวานและมีแต่ความเข้าอกเข้าใจกัน กลับกลายเป็ว่าทุกวันนี้เจแปนรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกแฟนหนุ่มผลักไสให้อยู่ห่างออกไปเรื่อย ๆ จนทุกวันนี้พวกเขาแทบจะไม่ใช่คนรักกันอยู่แล้ว
หรือว่าความรักของพวกเขามันกำลังถึงจุดอิ่มตัว?
“พอร์ต เรา…ขอถามอะไรหน่อยสิ” หลังกินข้าวเสร็จ ขณะที่กำลังปล่อยให้ความคิดบางอย่างโลดแล่นอยู่ในหัว ในที่สุดเจแปนก็ตัดสินใจพูดบางอย่างออกมา เมื่อเขารู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถเก็บความสงสัยนี้ไว้ในใจเพียงลำพังได้อีกแล้ว
เจแปนจึงต้องถามมันออกไป ไม่ว่าคำตอบมันจะออกมาในรูปแบบไหนก็ตาม
“ได้สิ แปนอยากถามอะไรล่ะ” อีกฝ่ายถามกลับมา
“เรายังรักกันอยู่ใช่ไหม?”
“…”
“ขอโทษที่ถามอะไรทำนองนี้นะ แต่บางทีเราก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าตกลงแล้ว…พวกเรายังรักกันอยู่หรือเปล่า” ว่าจบ เจแปนก็เงยหน้าขึ้นจากโต๊ะแล้วสบตากับคนรัก เพื่อค้นหาคำตอบข้างที่อยู่ข้างในนั้น
“รักสิ ถ้าพวกเราไม่รักกันแล้วเราจะคบกันมานานขนาดนี้ได้ยังไง จริงไหม?” พอร์ตตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ก่อนที่ต่อมาฝ่ามือหนาจะยื่นมากุมหลังมือเจแปนเอาไว้ แล้วพูดย้ำอีกหนคล้าย้าจะให้เข้าใจตรงกัน “พวกเรายังรักกันอยู่นะ เพียงแต่ว่า่นี้พอร์ตเครียด… พอร์ตเรียนหนัก…”
“…”
“ไว้ปิดเทอมเมื่อไร เราค่อยไปเที่ยวด้วยกันนะ พอถึงตอนนั้นถ้าเจแปนอยากขึ้นเหนือล่องใต้ พอร์ตก็ตามใจหมดนั่นแหละ แต่่นี้มันไม่ได้จริง ๆ”
“งั้นแสดงว่าพอร์ตสัญญากันแล้วนะว่าปิดเทอมนี้ เราจะไปเที่ยวด้วยกันน่ะ” เจแปนถาม
“ครับ เราจะไปเที่ยวด้วยกัน” อีกฝ่ายพยักหน้าตอบรับ โดยนั่นก็ทำให้คนที่กำลังเศร้าในตอนแรกเริ่มกลับมาทำตัวสดใสอีกครั้ง เพียงเพราะแฟนหนุ่มดูเหมือนจะกลับมาใส่ใจกันแล้ว แม้ว่ามันจะเป็การใส่ใจแบบเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ตาม
ราวกับเป็น้ำที่มาหล่อเลี้ยงจิตใจ เพียงแค่แฟนหนุ่มให้คำสัญญากันเท่านั้น เจแปนก็รู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
“พอร์ต เดี๋ยวเราแวะไปกินทับทิมกรอบกันดีไหม?”
“แปนอยากเหรอ?”
“อืม เราแค่รู้สึกว่าไม่ได้กินมานานแล้วน่ะ”
“ได้สิ งั้นเดี๋ยวเราพาไป”
หลังเดินออกมาจากร้านอาหารเรียบร้อยแล้ว บทสนทนาระหว่างทั้งสองก็ดังขึ้นอีกครั้ง ซึ่งโดยปกติแล้วทั้งคู่ก็มักจะแยกย้ายกันในทันที แต่เพราะหลังจากที่เจแปนเอ่ยถามออกไปอย่างนั้นแล้วพอร์ตมีท่าทีอ่อนลง ลดความเมินเฉย นั่นจึงทำให้เจแปนอยากลองอ้อนคนรักดู เนื่องจากอยากรู้ว่าพอร์ตจะยอมตามใจกันหรือไม่
และก็เป็เื่ดีที่พอร์ตยอมตามใจกัน
“เป็อะไร ทำไมยิ้มแบบนั้นล่ะ” เมื่อขึ้นมานั่งบนรถได้ พอร์ตที่รับหน้าที่เป็คนขับก็ถามขึ้น ขณะที่เจแปนกำลังยื่นมือไปหยิบเอาสายรัดนิรภัยมาคาดตัว
“ก็เรามีความสุขไง” เจแปนตอบกลับไปตามตรง
“…”
“พอเห็นว่าพอร์ตยอมตามใจเราบ้าง ยอมลดท่าทีเมินเฉยที่มีต่อเราลง เราโคตรดีใจเลยว่ะ”
เพื่อนของเจแปนเคยบอกว่าชีวิตรักของเขาน่าสงสาร ตอนแรกเจแปนก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเพื่อนของเขาถึงบอกอย่างนั้น แต่พอทุกอย่างถูกดำเนินมาถึงตอนนี้ เจแปนก็สามารถตอบตัวเองได้แล้ว
ชีวิตรักของเขามันน่าสงสารจริง ๆ นั่นแหละ แต่ท่ามกลางความน่าสงสารนั้นเจแปนก็รู้สึกว่าเขามีความสุขดี มันอาจจะไม่ได้มากมาย แต่มันก็มีความสุข
“แปน ่นี้เราคงไม่ค่อยได้มากินข้าวด้วยกันบ่อย ๆ แล้วนะ”
“ทำไมล่ะ”
“ก็อย่างที่เราเคยบอกนั่นแหละ พอดี่นี้เราทั้งสอบทั้งทำแล็บเลย อาจต้องหายหน้าหายตาไปสักพัก”
“แล้ว… พอร์ตอยากให้เราช่วยเหลือตรงไหนหรือเปล่า? อยากให้เราช่วยทำแล็บไหม เพราะเรายังพอมีเวลาว่างอยู่นะ” เจแปนเสนอตัวทันที เมื่อในระหว่างการเดินทางกลับคอนโดของเขา พอร์ตก็มีการพูดขึ้นอีกครั้งด้วยหัวข้อที่เจแปนไม่ค่อยอยากได้ยินนัก นั่นก็คือเื่การหายหน้าหายตาไปสักระยะ เพราะอีกฝ่ายเรียนหนัก
พอร์ตเรียนคณะทันตะ ส่วนเจแปนก็เรียนคณะนิเทศ
“รอบนี้ไม่ต้องหรอก พอร์ตว่าแปนเอาเวลาที่ว่างไปพักผ่อนน่าจะดีกว่านะ เพราะคณะแปนก็กำลังจะมีโปรเจกต์ใหญ่ไม่ใช่เหรอ”
“เอางั้นเหรอ โอเค… งั้นถ้าพอร์ต้าลูกมือช่วยทำแล็บตอนไหนก็บอกเราก็แล้วกันนะ เดี๋ยวเราจะไปช่วย” เจแปนบอกคนรัก และไม่คิดจะเซ้าซี้หรือหยิบยื่นความหวังดีให้อีกฝ่ายต่อ เนื่องจากเขารู้จักนิสัยของคนรักดี แล้วก็รู้ด้วยว่าพอร์ตไม่ชอบให้ใครยัดเยียดความหวังดีให้ หากเ้าตัวบอกไปแล้วว่าไม่้า
“ตกลงตามนี้นะ เดี๋ยวหลังจากที่เราเคลียร์เื่สอบเื่แล็บเสร็จแล้ว เราจะโทรมาชวนกินข้าวอีกที”
“ได้” พูดจบ เจแปนก็ระบายยิ้มสดใสไปให้คนรักหนึ่งหน ซึ่งในเวลาเดียวกันนั้นรถสัญชาติญี่ปุ่นชื่อดังก็ถูกเลี้ยวเข้ามาจอดในคอนโดของเจแปนพอดี หลังมันพาพวกเขามาถึงที่หมายแล้ว
“เฮ้อ… ถึงแล้วเหรอเนี่ย นี่พอร์ตรู้ปะว่าเราภาวนาขอให้วันนี้รถติดหรือให้พอร์ตขับรถช้ากว่านี้อะ เพราะเราไม่ค่อยอยากแยกจากพอร์ตเลย อุตส่าห์รอเจอหน้ามาทั้งอาทิตย์” เจแปนเอ่ยเสียงอ้อนพลางพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง เมื่อมันถึงคราวที่เขาจะต้องแยกจากคนรักแล้ว
“เรารีบแยกกันน่ะดีแล้ว แปนจะได้รีบไปพักผ่อนไง” พอร์ตตอบกลับมา พร้อมยื่นมือมาลูบเรือนผมของเจแปนเบา ๆ ทำเอาคนที่ได้รับััถึงกับยิ้มแฉ่ง เพราะการกระทำแบบนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นอยู่บ่อย ๆ
ครั้งล่าสุดมันก็นานมากแล้ว… มากจนเจแปนจำไม่ได้ด้วยซ้ำ
“ส่วนตอนนี้แปนรีบขึ้นห้องเร็ว รีบไปอาบน้ำแล้วเข้านอนนะ อย่าเล่นเกม อย่าเล่นโทรศัพท์จนดึกดื่น” พอร์ตพูดขึ้นอีก ระหว่างที่เจแปนกำลังจ้องมองดวงตาคมที่เขาตกหลุมรักมานานหลายปี
“อือ พอร์ตก็เหมือนกันนะ อย่าอ่านหนังสือจนหักโหม” เจแปนเอ่ยกลับไป และเคลื่อนหน้าเข้าไปจุ๊บเบา ๆ ที่ริมฝีปากของคนรัก เพื่อเป็การบอกลาและเจอกันใหม่ หลังจากที่พอร์ตเคลียร์ตารางชีวิตอันแสนยุ่งเหยิงของเ้าตัวเสร็จ
“ขับรถดี ๆ นะ” เมื่อลงมาจากรถเรียบร้อยแล้ว เจแปนก็มีการพูดกับอีกคนเหมือนอย่างที่เขาชอบทำเป็ประจำ โดยในครั้งนี้พอร์ตก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา อีกฝ่ายทำเพียงแค่พยักหน้ารับแล้วค่อย ๆ เคลื่อนรถออกไปเท่านั้น
“ทำไมเขาถึงยิ้มแบบนั้นนะ” ระหว่างที่กำลังยืนมองรถของคนรักค่อย ๆ เคลื่อนห่างออกไปเรื่อย ๆ เจแปนก็พึมพำกับตัวเองเสียงแ่ เมื่อสายตาของเขาดันเหลือบไปเห็นวินาทีที่พอร์ตมองกระจกมองหลังและส่งยิ้มมาให้กันพอดี
ซึ่งรอยยิ้มของพอร์ตมันก็ดูแปลกประหลาด จนเจแปนไม่อยากจะเชื่อว่ามันคือรอยยิ้มของคนรัก
“น่ากลัว” เจแปนเอ่ยตามที่ตัวเองรู้สึก จากนั้นเขาถึงค่อยพาตัวเองเข้าไปในคอนโด โดยรอยยิ้มที่ได้รับมาจากคนรักเมื่อครู่นี้ มันก็ยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำของเจแปนอยู่
เพราะพอร์ตไม่เคยยิ้มแบบนั้นให้กันจริง ๆ
“เหนื่อยชะมัด”
เวลาต่อมา เมื่อเปิดประตูเข้ามาในห้องเรียบร้อยแล้ว เสียงบ่นของเจแปนก็ดังขึ้นโดยพลัน เพราะตลอดทั้งวันมานี้เขาแทบจะไม่ได้พักเลย เจแปนมีเรียนั้แ่เช้าจนถึงเย็น แถม่ค่ำของวันเขาก็ยังมีนัดกินข้าวกับคนรักตามประสาคนที่ไม่ค่อยได้เจอกันอีก นั่นจึงทำให้ร่างเล็กรู้สึกเหนื่อยล้าและหมดพลังงานอย่างบอกไม่ถูก
“แล้วใครมันโทรมาหาอีกล่ะเนี่ย!” หลังโยนกระเป๋าไว้บนเตียงเรียบร้อยแล้ว เจแปนก็พูดขึ้นอีกครั้งพร้อมหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกางเกง เมื่อมีสายเรียกเข้า ซึ่งพอเขาเห็นว่าชื่อที่ปรากฏขึ้นคือพอร์ต อารมณ์หงุดหงิดในตอนแรกก็แปรเปลี่ยนทันที
เจแปนรีบกดรับและเอาโทรศัพท์แนบข้างหู เพื่อรอให้คนรักเป็ฝ่ายพูดธุระก่อน
“พอร์ต… พอร์ตมีอะไรหรือเปล่า” เนื่องจากถือสายรอให้คนรักพูดอะไรก่อนนานเกือบนาที แต่ก็ไม่เห็นว่าพอร์ตจะเอ่ยอะไรสักที สุดท้ายเจแปนจึงต้องเป็ฝ่ายพูดก่อน
[…]
“หรือว่ามือไปโดนปุ่มเหรอ” เจแปนคาดเดา เพราะคนรักของเขายังเอาแต่เงียบไม่ยอมพูดอะไร โดยในวินาทีที่เจแปนกำลังจะกดตัดสาย เสียงจากคนปลายสายก็ดังขึ้นพอดี
[เปล่า] อีกฝ่ายตอบกลับมาเสียงห้วน
“ถ้างั้นพอร์ตมีอะไรเหรอ?”
[…]
“พอร์ต…”
[…หึ]
ตู๊ด ๆ ~ ยังไม่ทันจะได้ถามอะไรกลับไป คนปลายสายก็ชิ่งตัดสายกันไปเสียก่อน ทำเอาคนที่กำลังรอฟังอย่างใจจดจ่อถึงกับนิ่งค้างไป
“อะไรของเขา” คราวนี้เจแปนพูดออกมาทั้งคิ้วขมวด เนื่องจากพอร์ตดูแปลกไปจริง ๆ ั้แ่ตอนที่อีกฝ่ายส่งยิ้มมาให้เขาผ่านกระจกมองหลังแล้ว
ปกติแล้วเจแปนไม่ใช่คนคิดมากอะไรขนาดนั้น แต่เพราะวันนี้เขาต้องมาเจออะไรที่ดูผิดแปลกไปจากธรรมชาติถึงสองครั้งสองครา นั่นจึงทำให้เจแปนอดไม่ได้ที่จะเก็บมันมาใส่ใจ
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับคนรักของเขากันแน่?
ขณะที่กำลังแช่ตัวอยู่ในอ่าง ร่างเล็กก็คอยนึกทบทวนเหตุการณ์เมื่อ่หัวค่ำไปด้วย เจแปนแช่ตัวอยู่ในอ่างนานเกือบชั่วโมง ก่อนที่สุดท้ายเขาจะตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาเพื่อนสนิท เพื่อปรึกษาสิ่งที่เกิดขึ้น
[ทำไมถึงโทรมาหาเวลานี้ นี่มึงทะเลาะกับแฟนอีกแล้วเหรอ?] นั่นเป็ประโยคแรกที่บัวเอ่ยขึ้น หลังอีกฝ่ายกดรับสายเจแปนแล้ว
“ปากไม่ดีนะ กูกับพอร์ตไม่ได้ทะเลาะกันบ่อยขนาดนั้นสักหน่อย” เจแปนสวนกลับไป
[กล้าพูดว่าไม่บ่อย กูเห็นทะเลาะกันทุกวันที่เจอหน้า บอกให้แยกย้ายทางใครทางมันก็ไม่ยอมฟัง] อีกฝ่ายบ่นกลับมา ทำเอาเจแปนได้แต่นั่งเงียบ เนื่องจากสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมามันคือความจริง
ไอ้เื่ที่ว่าเขากับพอร์ตทะเลาะกันทุกวันที่เจอหน้าน่ะ
[เอาล่ะ ตอนนี้เราช่างเื่นั้นไปก่อน… ถ้ามึงกับแฟนไม่ได้ทะเลาะกันแล้วมึงมีเื่อะไรเหรอ?]
“อ๋อ คือกูเจอเหตุการณ์แปลก ๆ น่ะ” ว่าจบ เจแปนก็มีการเม้มปากไปหนึ่งหน เมื่อเขาไม่รู้ว่าควรจะเริ่มเล่าเหตุการณ์แปลก ๆ ที่ว่าจากจุดไหนก่อนดี
[…]
“จริง ๆ มันก็ไม่ใช่เหตุการณ์แปลก ๆ หรอกมั้ง แต่มันน่าจะเป็พฤติกรรมที่แปลกไปของพอร์ต”
[หมายความว่าไงวะ มัน…มีคนอื่นเหรอ] คราวนี้บัวถามกลับมาเสียงเครียด เพราะเื่นี้มันเป็เื่แปลกใหม่สำหรับคู่ของเจแปนมาก
“ไม่ใช่อย่างนั้นเลย กูก็แค่รู้สึกว่าพอร์ตเหมือนไม่ใช่คนเดิมที่กูเคยรู้จัก แต่มันก็เกิดขึ้นแค่่เวลาสั้น ๆ นะ” เจแปนอธิบายสิ่งที่เขาพบเจอมาให้เพื่อนสนิทฟัง
[มันเป็เพราะพอร์ตเรียนหนักหรือเปล่า แฟนมึงก็เลยแสดงพฤติกรรมที่แปลกไปจากเดิม] บัวตั้งข้อสันนิษฐานกลับมาให้ แต่เจแปนก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี
“แล้วมันจะเครียดหนักขนาดนั้นเลยเหรอ” เขาถามออกไปอย่างซื่อ ๆ
[มึงนี่ก็ถามแปลกนะเจแปน… มึงคบกับมันมานาน มึงเองก็น่าจะรู้ไม่ใช่เหรอว่ามันซีเรียสเื่เรียนขนาดไหน แถมพอร์ตมันยังให้ความสำคัญกับการเรียนของตัวเองมากกว่าให้มึงอีก] บัวร่ายยาวกลับมา ซึ่งพอคนฟังได้ยินเช่นนั้นก็มีอาการสะอึกเล็กน้อย เพราะนี่มันคือความจริงอีกเหมือนกัน
“แล้วกูต้องปล่อยเบลอเื่พฤติกรรมแบบนี้ไปใช่ไหม?” นานเกือบนาทีกว่าที่เจแปนจะถามเพื่อนต่อ โดยเขาก็เลือกที่จะวกกลับมาที่ประเด็นแรก แทนที่จะนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตที่ทำให้เจแปนเกิดความน้อยใจในตัวของคนรัก
[ถ้ามันดูไม่ได้ร้ายแรงมาก ดูไม่ได้กระทบต่อการใช้ชีวิตของมันขนาดนั้น กูว่ามึงควรจะปล่อยไปก็ได้มั้ง พอมันหายเครียดเื่เรียน เดี๋ยวมันก็กลับมาทำตัวปกติเองแหละ ว่าแต่ว่าพฤติกรรมแปลก ๆ ที่มึงพูดถึง มันคืออะไรเหรอ ไม่เห็นจะเล่าให้ฟัง]
“ก็ส่งยิ้มให้กูแปลก ๆ มันเป็รอยยิ้มแบบที่กูไม่เคยเห็นมาก่อนใน่หกปีที่ผ่านมา เหมือนไม่ใช่พอร์ตเลย แล้วล่าสุด… พอร์ตโทรมาหากู ไม่ยอมพูดธุระอะไรทั้งที่นิสัยพอร์ตไม่ใช่แบบนั้น พอร์ตโทรมาแล้วไม่พูด ผ่านไปพักใหญ่พอร์ตก็แค่นหัวเราะในลำคอแล้วเป็ฝ่ายตัดสายไปเลย” เจแปนเล่า
[น่าจะไม่มีอะไรหรอกมั้ง อย่าเก็บมันมาใส่ใจเลย กูว่ามันเครียดเื่เรียนจริง ๆ แหละ] บัวยังคงยืนกรานคำตอบของตัวเอง แม้ในตอนนี้น้ำเสียงของอีกฝ่ายจะไม่ค่อยแน่ใจแล้วก็ตาม
“เอางั้นเหรอ”
[อือ เอางั้นแหละ มึงอย่าไปเครียดอะไรมากนัก เดี๋ยวจะปวดหัวเอา] บัวว่า โดยในจังหวะเดียวกันนั้นเจแปนก็ต้องมองไปยังประตูห้องน้ำ เมื่อเขาได้ยินเสียงของตกดังลั่น
[เสียงอะไรน่ะ] บัวที่ได้ยินเช่นกันถามขึ้น
“อ๋อ ของตกน่ะ งั้นเดี๋ยวแค่นี้ก่อนนะ”
[อือ ๆ เดี๋ยวเราค่อยคุยกันต่อที่มหาลัยก็ได้]
เมื่อวางสายจากเพื่อนเสร็จ เจแปนก็รีบลุกขึ้นจากอ่างน้ำและจัดการล้างเนื้อล้างตัวของตัวเองให้เรียบร้อย แล้วหยิบชุดคลุมอาบน้ำมาสวมพอลวก ๆ เพื่อเดินออกไปข้างนอกห้องน้ำ โดยทันทีที่เปิดประตูห้องน้ำออกไปได้ เขาก็เริ่มกวาดสายตามองซ้ายขวาทันที ก่อนที่เขาจะหยุดสายตาไว้ตรงของที่ตกพื้นจนทำให้เกิดเสียง
“มันก็อยู่ของมันดี ๆ ไม่ใช่เหรอ แต่ทำไมมันถึงตกลงมาได้” เจแปนพูดกับตัวเอง พร้อมพยายามคิดไปว่าอาจเป็เพราะแรงลมมันเลยทำให้ของตก แม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่ได้เปิดหน้าต่างห้องเอาไว้ก็ตาม
แต่ถ้าเจแปนคิดแบบนี้ เขาน่าจะรู้สึกสบายใจกว่า
เจแปนเป็ลูกชายคนเดียว เขาไม่มีพี่น้องร่วมสายเืเลยสักคน
บ้านของเจแปนทำธุรกิจเกี่ยวกับเกษตรกรรมทั้งขายปุ๋ยและเมล็ดพืชพันธุ์ที่จังหวัดหนึ่งในแถบภาคอีสาน โดยเจแปนก็ย้ายเข้ามาเรียนในกรุงเทพั้แ่ชั้นมัธยมปลายแล้ว เขาเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพมาั้แ่อายุสิบหก บ้านของเจแปนจึงตัดสินใจซื้อคอนโดให้หนึ่งห้อง เพราะยังไงเขาก็ใช้ชีวิตที่นี่ยาว ๆ อยู่แล้ว
และคงไม่ค่อยได้กลับไปต่างจังหวัดอีก หากมันไม่มีเหตุจำเป็
“พรุ่งนี้มีคุยงานกลุ่มนี่นา เฮ้อ… น่าเบื่อชะมัด” ระหว่างที่กำลังนั่งเป่าผมอยู่ที่หน้ากระจกเงา เจแปนก็พูดกับตัวเองไปด้วย เมื่อเขากำลังนึกถึงธุระที่จะต้องทำในวันพรุ่งนี้ ซึ่งเื่ที่ทำให้เจแปนรู้สึกเบื่อหน่ายมากที่สุด นั่นก็คือการทำงานกลุ่มของวิชาหนึ่ง
เพราะเจแปนเรียนคณะนิเทศศาสตร์ อาจารย์จึงมักจะสั่งงานกลุ่มเป็เสียส่วนใหญ่ บางวิชาก็ให้นักศึกษาคิดรายการและผลิตมันออกมา บางวิชาก็ให้พวกเขาทำข่าวประหนึ่งเป็สำนักข่าว โดยหน้าที่ส่วนใหญ่ที่เจแปนมักจะได้รับมอบหมายจากกลุ่มเพื่อนนั้น นั่นคือการเขียนสคริปต์และเสนอไอเดียต่าง ๆ ตามความถนัดของเขา
โดยส่วนตัวแล้ว เจแปนก็ชื่นชอบการทำงานในตำแหน่งนี้ เพราะมันทำให้เขาไม่ต้องสุงสิงกับใครมากนัก อาจจะมีการปรับแก้งานบ้างตามความคิดเห็นของเพื่อนในกลุ่ม แต่มันก็ยังเป็งานที่ไม่ค่อยได้ยุ่งเกี่ยวกับใครอยู่ดี ซึ่งเจแปนก็โอเคกับมันมาก เนื่องจากเขาไม่ค่อยชอบคุยกับใครนัก ยกเว้นเพื่อนสนิทและคนรักของตัวเอง
เวลาต่อมา เมื่อจัดการเป่าผมจนแห้งสนิทและทาครีมบำรุงหน้า เพื่อไม่ให้ผิวแห้งกร้านเรียบร้อยแล้ว เจแปนก็รีบพาตัวเองไปยังเตียงนอนขนาดหกฟุตของตัวเองทันที เขาทิ้งตัวลงเตียงอย่างแรงและเงยหน้าขึ้นมองเพดานห้องอย่างที่ชอบทำเสมอ
ดวงตาเรียวรีเงยหน้าขึ้นมองเพดานห้องอย่างใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง โดยเจแปนก็ชอบมองเพดานห้องจนติดเป็นิสัย เนื่องจากในห้องนอนของเขาติดสติกเกอร์เรืองแสงเอาไว้ ซึ่งมันก็จะทำให้เจแปนรู้สึกสงบแล้วเคลิ้มหลับไปในที่สุด
“ทำไม…ทำไมถึงมีสองคน?” ขณะที่กำลังยืนอยู่บนดาดฟ้าของตึกไหนสักแห่งในมหาลัย เจแปนก็พูดขึ้นพร้อมมองคนรักทั้งสองคนสลับกันไปมาด้วยแววตาสับสน เมื่อเวลานี้ตรงหน้าของเขากำลังมีพอร์ตจำนวนสองคนยืนอยู่
ทั้งสองแต่งตัวเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วราวกับเป็เงาสะท้อนของกันและกัน
“แปนต้องเลือกแล้วนะ” หนึ่งในสองคนตรงหน้าพูดขึ้น
“เลือกอะไร?” เจแปนถามกลับไปทั้งสายตาไม่เข้าใจ
“ก็เลือกไงว่าจะเก็บใครเอาไว้”
“…”
“ถ้าเจแปนเลือกเรา อีกคนก็ต้องไม่อยู่บนโลกใบนี้ ถ้าเจแปนเลือกเขา เราก็จะไม่อยู่บนโลกใบนี้” หนึ่งในสองคนอธิบาย แต่นั่นก็ยังไม่สามารถทำให้เจแปนเข้าใจอะไร ๆ ได้อยู่ดี
“ยังไงเราก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี” เจแปนเอ่ยออกไปตามตรงแล้วถามต่อ “แล้วนี่พอร์ตมีแฝดเหรอ? ทำไมเราถึงไม่เคยรู้มาก่อนเลย”
“พวกเราไม่ใช่แฝด แต่พวกเราเป็ส่วนหนึ่งของกันและกันต่างหาก”
“…”
“เอาล่ะ…เลือกมาสิ เจแปนจะเลือกใคร?” ระหว่างที่หนึ่งในนั้นถามขึ้นด้วยคำถามเดิม ๆ เท้าของทั้งคู่ก็ค่อย ๆ ก้าวถอยหลังพร้อมกันอย่างช้า ๆ โดยทางด้านหลังของทั้งคู่นั้น ก็คือขอบตึกที่ไม่มีที่กั้นหรือความปลอดภัยอะไรให้ทั้งนั้น
“คิดดี ๆ นะเจแปน เลือกผิดชีวิตเปลี่ยนเลยนะ” พอร์ตอีกคนเอ่ยด้วยท่าทีที่ดูกวนประสาทกันเหลือทน แล้วเพราะไม่ว่าใครก็คือคนรักของเจแปนทั้งนั้น นั่นจึงทำให้คนที่กำลังยืนงงกับสถานการณ์ตรงหน้าต้องรีบเดินเข้าไปหา หวังจะไปช่วยทั้งสองไม่ให้ตกลงไปจากตึก
“แต่ไม่ว่าจะเป็ใคร มันก็คือนายไม่ใช่เหรอ ถ้าอย่างนั้น…เราขอไม่เลือกได้ไหม” เจแปนละล่ำละลักบอกกลับไป เนื่องจากเขาไม่สามารถเลือกได้จริง ๆ
“ไม่ได้” ทั้งสองตอบกลับมาพร้อมกัน
“…”
“ตอนนี้เจแปนยังเลือกไม่ได้ใช่ไหม งั้นไม่เป็ไร…เพราะพวกเรามีวิธี” ว่าจบ พอร์ตทั้งสองคนก็เร่งฝีเท้ายิ่งกว่าเดิม จนทั้งสองไปหยุดอยู่ที่ขอบตึกที่ไม่สามารถถอยหลังไปได้มากกว่านี้แล้ว และด้วยสัญชาตญาณที่เจแปนมี เขาจึงตัดสินใจยื่นมือออกไปคว้าทั้งสองเอาไว้โดยพลัน
ไม่ว่าจะยังไงเจแปนก็ต้องช่วยชีวิตคนรักของตัวเองเอาไว้ก่อน
“ตอนนี้เราไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร แล้วทำไมถึงต้องให้เราเลือกด้วย” เจแปนเอ่ยทั้งขอบตาร้อนผ่าว เมื่อสถานการณ์ตรงหน้ากำลังบีบบังคับให้เขาเกิดความเครียด
“ก็เพราะพวกเราเริ่มรักเจแปนไม่เท่ากันไง เจแปนเลยต้องเลือก” หนึ่งในสองพูดประโยคปริศนากับเจแปน ก่อนจะเอียงกายไปทางด้านหลังพร้อมดึงร่างของเจแปนให้ตกตึกไปด้วยกัน
เฮือก!
หลังถึงวินาทีที่ร่วงลงจากตึกพร้อมกันแล้ว เจแปนก็สะดุ้งตื่นจากความฝันด้วยหัวใจที่ถี่รัวทันที เขาสูดลมหายใจเข้าออกอย่างแรงตามประสาคนกลัวตาย ก่อนที่ต่อมาเจแปนจะค่อย ๆ สงบลง เนื่องจากเขารู้ตัวแล้วว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ มันเป็แค่ความฝันเท่านั้น
ความฝันที่จะไม่มีทางเกิดขึ้นจริง