“เจแปน เมื่อคืนมึงได้นอนไหมเนี่ย”
“นอนสิ กูก็เข้านอนตามเวลาปกตินั่นแหละ”
“แล้วทำไมวันนี้มึงถึงดูเหม่อจัง นี่ยังคิดมากเื่พอร์ตอยู่เหรอ?” ่สายของวัน ระหว่างที่กำลังนั่งเท้าคางฟังเพื่อนประชุมงานกลุ่มกัน เจแปนก็หันไปมองบัวด้วยท่าทีเบื่อหน่ายเล็กน้อย หลังเธอเดินมาทิ้งตัวนั่งข้างกันแล้วซักไซ้เื่ส่วนตัวของเขา
“ตอนนี้ไม่ได้คิดมากเื่พอร์ตแล้วล่ะ แต่ไปคิดมากเื่อื่นแทน” เจแปนตอบไปตามตรง
“เื่อะไรอีกล่ะ กูสามารถรู้ได้หรือเปล่า”
“อืม ก็รู้ได้นะ” เจแปนบอกกลับไปแล้วพูดต่อ “เมื่อคืนกูฝันไม่ค่อยดีเท่าไร แล้วในฝันคือตลกมาก เพราะกูฝันว่ามีพอร์ตสองคนแล้วพวกเขาก็บังคับให้กูเลือกหนึ่งในนั้น …ฟังดูเพ้อเจ้อเนอะ”
“เล่าต่อสิ เพราะมันคงไม่ได้มีแค่เท่านี้หรอกใช่ไหม?” บัวว่า
“เออ… อันที่จริงมันก็ไม่ได้มีแค่เท่านี้หรอก แต่กูก็จำความฝันไม่ค่อยได้แล้วเหมือนกัน” เจแปนตอบ พลางพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง “ซึ่งก่อนที่กูจะสะดุ้งตื่น ความทรงจำสุดท้ายคือกูกำลังตกตึกไปพร้อม ๆ กับสองคนนั้นอ่ะ กูว่ากูคงเครียดเื่พอร์ตมากจริง ๆ แหละ”
“ถามจริงเถอะที่มึงทนคบกับพอร์ตมาจนถึงทุกวันนี้ มันเป็เพราะมึงเสียดายเวลาหรือเปล่า”
“มึงถามอะไรแบบนี้อีกแล้วนะ บัว”
“ก็มันจริงนี่ เหมือนรักของพวกมึงไม่เท่ากันเลยอ่ะ”
“…”
“กูจำได้ว่ากูเคยถามอะไรแนวนี้ไปแล้วเมื่อปีสองปีก่อน แต่ทุกวันนี้กูก็ยังรู้สึกแบบเดิม คิดแบบเดิมนะว่าความรักของมึงกับพอร์ตไม่เท่ากัน และมึงทนอยู่ในความสัมพันธ์แบบนี้ก็เพราะมึงเสียดายเวลา”
“เฮ้อ พอร์ตมันก็มีส่วนดีของมันนั่นแหละน่า” เจแปนเถียงให้คนรัก ทำเอาเพื่อนสนิทของเขาถึงกับกลอกตาไปมาคล้ายกับเบื่อหน่ายคำตอบนี้
“ตอบแบบนี้ทั้งปีทั้งชาติ”
“อ้าว… ก็มันเป็เื่จริง กูเคยเล่าให้ฟังแล้วนะว่าตอนนั้นพอร์ตเข้ามาในชีวิตกูตอนที่กูกำลังแย่ที่สุด” เจแปนว่า เพราะถึงแม้เจแปนจะเกิดมาในตระกูลร่ำรวย พ่อแม่ของเขามีกำลังทรัพย์มากพอที่จะสนับสนุนในสิ่งที่เจแปนสนใจ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าชีวิตของเขาจะถูกโรยด้วยกลีบกุหลาบเสียหน่อย
เพราะเจแปนถือคติว่าไม่มีใครดีพร้อมไปเสียทุกเื่ นั่นจึงทำให้เขาเลือกที่จะมองข้ามข้อเสียของพอร์ตที่ใคร ๆ ต่างมองเห็นมัน
“แม่ครับ ไข่เจียวนี่จะให้ผมใส่ไข่กี่ฟองเหรอ”
“สักสามฟองก็พอแล้วลูก” แม่ของพอร์ตที่กำลังง่วนอยู่กับการหั่นมะเขือเทศเตรียมจะทำต้มยำเงยหน้าขึ้นมาพูดกับเจแปนทั้งรอยยิ้ม หลัง่วันหยุดที่เจแปนไม่ได้ออกไปไหน เขาก็ตัดสินใจเข้ามากินข้าวที่บ้านพอร์ตอย่างที่ชอบทำเป็ประจำ ในขณะที่พอร์ตก็ใช้ชีวิตอยู่ที่หอพัก ไม่ได้แวะเข้ามากินข้าวที่บ้าน
“ว่าแต่่นี้เจแปนเป็ยังไงบ้างลูก”
“…”
“เื่การเรียนกับเ้าพอร์ตน่ะ เป็ยังไงบ้าง”
“อ๋อ ่นี้ก็เรื่อย ๆ ครับ เรียนก็ไม่หนักมาก เพราะมันยังไม่ใช่่สอบ ส่วนกับพอร์ตความสัมพันธ์ก็เรื่อย ๆ เหมือนกันครับ” เจแปนตอบกลับไป เมื่อเขาถูกถามถึงความเป็ไปในชีวิต ซึ่งก็ดูเหมือนจะเป็การถามไถ่ตามมารยาท เพื่อไม่ให้ความเงียบก่อตัวขึ้นเสียมากกว่า
“ดีแล้ว นี่แม่นึกว่าแปนกับพอร์ตทะเลาะกันอีกนะเนี่ย” แม่ของพอร์ตเอ่ย ทำเอาคนที่กำลังง่วนอยู่กับการตีไข่ไก่ เตรียมจะทำไข่เจียวต้องเงยหน้าขึ้นมองคนพูด
“แล้วทำไมแม่ถึงคิดอย่างนั้นล่ะครับ?”
“ก็แม่เห็นว่าพอร์ตไม่เข้ามากินข้าวพร้อมกับแปนไง แม่ก็เลยนึกว่าสองคนเราทะเลาะกัน” เธอตอบกลับมาตามตรง
“เราไม่ได้ทะเลาะกันหรอกครับ แต่่นี้พอร์ตเขามีสอบตลอดเลย เขาก็เลยไม่ว่างเข้ามากินข้าวที่บ้านมั้งครับ” เจแปนให้คำตอบตามที่คนรักของเขาเคยบอกกันเอาไว้
โดยตัวของพอร์ตเองก็เป็ลูกชายคนเดียวเหมือนกัน เดิมทีพ่อพอร์ตเป็เสาหลักของบ้าน ทำธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ แต่พอเกิดวิกฤตการณ์ฟองสบู่ นั่นก็ทำให้ทุกอย่างที่ควรจะเป็ไปด้วยดี หายวับไปในพริบตา มิหนำซ้ำหลังจากนั้นเพียงไม่นาน พ่อของพอร์ตก็ล้มป่วยเป็เส้นเืในสมองตีบและกลายเป็อัมพาตในที่สุด
“อันนี้เสร็จแล้ว ถ้างั้นเดี๋ยวเจแปนยกไปไว้ที่โต๊ะกินข้าวเลยนะลูก”
“ได้ครับ”
ต่อมา เมื่อเจแปนและแม่ของพอร์ตช่วยกันทำอาหารมื้อเย็นเสร็จ เขาก็พยักหน้าตอบรับคำสั่งแม่ของพอร์ต หลังเธอบอกให้เขายกต้มยำไปไว้ที่โต๊ะทานอาหารก่อน แล้วค่อยทยอยหยิบอาหารจานอื่นตามออกไป ซึ่งตลอดทั้งการทำอาหารร่วมกับแม่แฟนและการสนทนากับคนในครอบครัวพอร์ตนั้น เจแปนก็สามารถประคับประคองและวางตัวให้มันเป็ไปได้อย่างลื่นไหลตามประสาคนที่รู้จักวิธีเข้าหาผู้ใหญ่
เพราะเจแปนรู้ว่าเขาควรจะเข้าหาผู้ใหญ่ยังไง นั่นจึงทำให้เขาได้รับความเอ็นดูจากแม่ของพอร์ตอยู่เสมอ
“แต่จะว่าไปแล้ว… เดี๋ยวแปนช่วยโทรหาพอร์ตให้แม่หน่อยสิลูก ถามเขาหน่อยสิว่าจะกินผัดหน่อไม้ใส่กุ้งไหม ถ้ากินแม่จะได้แบ่งไว้ใส่ตู้เย็น”
“ได้ครับ” เจแปนพยักหน้ารับอีกครั้ง จากนั้นเขาถึงค่อยหยิบเอาโทรศัพท์ส่วนตัวออกมาต่อสายโทรหาคนรักเพื่อสอบถามตามคำสั่งของแม่เ้าตัว แต่ทว่าไม่ว่าเจแปนจะต่อสายโทรหาพอร์ตกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง คนรักของเขาก็ไม่มีท่าทีว่าจะรับสายกันเสียที
“กำลังทำอะไรอยู่นะ หรือว่าเขาหลับไปแล้ว” ระหว่างที่กำลังต่อสายโทรหาคนรักหนที่สี่ เจแปนก็เริ่มมีการพูดกับตัวเองเสียงแ่ ขณะที่คนในครอบครัวของพอร์ตก็ต่างมองมาที่เขาเป็สายตาเดียว
“ว่ายังไงลูก พอร์ตไม่รับสายเหรอ” ในที่สุดแม่ของพอร์ตที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกันก็ถามขึ้น หลังเธอเห็นว่าเจแปนพยายามติดต่อลูกชายของเธอมาพักใหญ่แล้ว
“ใช่ครับ ไม่รับสายเลย… ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ หรือว่าเขาเผลอหลับไป” เจแปนพยายามคิดในแง่ดี
“แย่เลย ถ้างั้นไม่เป็ไรจ้ะ เดี๋ยวแม่ลองใช้โทรศัพท์บ้านโทรดีกว่า” แม่ของพอร์ตว่า พร้อมเดินไปหยิบเอาโทรศัพท์มาต่อสายโทรหาลูกชายของตัวเอง โดยหลังจากที่เธอยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูได้ไม่ถึงนาที คนปลายสายที่ไม่มีท่าทีว่าจะกดรับสายใครเลยในตอนแรก ก็รีบกดรับทันที
“ฮัลโหล… พอร์ตเหรอลูก กำลังทำอะไรอยู่” นั่นเป็ประโยคแรกที่แม่พอร์ตเอ่ยทักทายลูกชายตัวเอง ซึ่งหลังจากนั้นเจแปนก็มีการเบือนหน้าหนีไปทางอื่น พร้อมกับคำถามที่ผุดขึ้นมาในใจว่าทำไมพอร์ตถึงไม่ยอมรับสายเขา
เจแปนเข้าใจ… ถ้าหากนี่คือกรณีที่พอร์ตจะต้องเลือกว่าจะรับสายใคร ระหว่างแฟนกับคนในครอบครัว แต่เพราะมันไม่ใช่ มิหนำซ้ำเขายังโทรหาพอร์ตก่อนหน้านี้ตั้งหลายสาย คนรักของเขาก็ไม่คิดจะโทรกลับหรือกดรับสายเลยเหรอ แล้วถ้ามันมีเหตุการณ์ที่เจแปนจะต้องขอความช่วยเหลือจากพอร์ตเดี๋ยวนั้นล่ะ เจแปนจะทำยังไง?
“…แปน”
“…”
“เจแปน…”
“ค—ครับ? มีอะไรเหรอครับ” หลังยืนจมปลักอยู่ในภวังค์ความคิดนานเกือบนาที ต่อมาเจแปนก็มีอาการสะดุ้งเล็กน้อย หลังแม่ของพอร์ตมีการเรียกชื่อกัน
“แม่คุยกับพอร์ตเสร็จแล้วนะลูก ยังไงเดี๋ยวเราเริ่มกินข้าวกันดีกว่านะ”
“อ๋อครับ” เจแปนพยักหน้ารับทั้งรอยยิ้ม จากนั้นเขาก็เอื้อมมือไปหยิบอุปกรณ์การกิน ทำทีสนใจอาหารตรงหน้าทั้งที่ความคิดของเขามันก็ยังหมกมุ่นอยู่กับเื่ของคนรักอยู่
“จริง ๆ แม่ไม่ต้องให้ก็ได้นะครับ เพราะผมเกรงใจ”
“ไม่ได้สิ เจแปนก็ดีกับแม่ถึงขนาดนี้ ถืออะไรติดไม้ติดมือกลับไปบ้างเถอะนะลูก”
“…”
“นะ… เพราะแม่ก็อุตส่าห์เตรียมเอาไว้ให้ั้แ่บ่ายแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นผมก็ขอบคุณคุณแม่มากเลยนะครับ” พูดจบ เจแปนก็ยกมือขึ้นไหว้แม่ของพอร์ตไปหนึ่งหน หลังเวลาต่อมาเมื่อกินข้าวเสร็จแล้ว ่ที่เจแปนกำลังร่ำลาเตรียมจะขอตัวกลับ แม่ของพอร์ตได้มีการนำเอาขนมไทยมาให้เขาถึงสองกล่องใหญ่ โดยเ้าตัวก็เป็คนทำเองทั้งหมด
“จ้ะ เดินทางดี ๆ นะลูก พรุ่งนี้ใช่ไหมที่เราจะกลับต่างจังหวัดน่ะ”
“ใช่ครับ เดี๋ยวผมไปก่อนนะครับ” เจแปนยกมือขึ้นไหว้ลา จากนั้นเขาก็เดินไปที่รถของตัวเองตั้งใจจะเดินทางกลับคอนโดเลย เนื่องจากในวันพรุ่งนี้เขาจะต้องออกเดินทางกลับต่างจังหวัดั้แ่เช้าตรู่ เพราะเจแปนไม่ได้กลับไปหาแม่นานแล้ว
“เฮ้อ… คิดแบบนี้ไม่ดีเลยนะเจแปน” เวลาต่อมา หลังขับรถออกมาจากบ้านของพอร์ตได้พักใหญ่ เจแปนที่กำลังจ้องมองถนนตรงหน้าก็มีการพูดกับตัวเองด้วยน้ำเสียงคล้ายจะตำหนิ เมื่อสมองของเขากำลังคิดอะไรแย่ ๆ ที่ทำให้มันบั่นทอนจิตใจตัวเอง
จู่ ๆ คำพูดของเพื่อนที่เคยพูดถึงพอร์ตเอาไว้ก็ผุดขึ้นมาในหัวเต็มไปหมด ทั้งที่ตอนแรกเจแปนคิดว่าตัวเองได้ลืมคำพูดของเพื่อนไปแล้ว เพราะมันไม่น่าฟัง แต่ที่ไหนได้…เขากลับเก็บคำพูดเ่าั้มาใส่ใจ เขาจดจำมันอย่างไม่รู้ตัวและเพิ่งจะมาตระหนักได้ว่าตัวเองจำคำพูดเ่าั้ทุกคำก็ตอนที่การกระทำของพอร์ตมันเป็ไปอย่างที่เพื่อนเขาว่า
มันจริงอย่างที่เพื่อนเขาว่านั่นแหละ ความรักระหว่างพอร์ตกับเจแปนมันไม่เท่ากัน เพราะในขณะที่เจแปนให้พอร์ตเป็ความสำคัญอันดับหนึ่งในชีวิต แต่พอร์ตกลับให้เขาเป็ความสำคัญอันดับที่เท่าไรของชีวิตก็ไม่รู้
“พอ ๆ หยุดคิดได้แล้ว” ในที่สุดเจแปนก็ตัดสินใจเตือนตัวเองอีกครั้ง หลังเขารู้สึกว่าขอบตาของตัวเองกำลังร้อนผ่าว ทั้งที่เขากำลังขับรถอยู่
เมื่อกลับขึ้นมาคอนโด เจแปนก็จัดการนำเอาขนมไทยที่ได้จากแม่พอร์ตไปแช่ไว้ในตู้เย็น เพื่อถนอมไม่ให้มันเสียก่อนที่เขาจะนำกลับบ้าน จากนั้นเจแปนก็เริ่มทำกิจวัตรประจำวันของตัวเองต่อ เพื่อที่เขาจะได้ไม่มีเวลาคิดฟุ้งซ่านไปถึงเื่อื่น
“งั้นวันนี้ก็เริ่มเขียนสคริปต์เลยก็แล้วกัน” เพราะเขายังเหลืองานให้ต้องจัดการ เจแปนจึงต้องล้มเลิกความคิดที่ว่าเขาจะนอนดูซีรีส์ในห้อง แล้วเปลี่ยนมาเริ่มนั่งทำงานั้แ่่สามทุ่มจนถึงตีสองแทน
เอาเข้าจริง…เจแปนก็ใช้ชีวิตแบบคนเดียวได้ดีมาโดยตลอดนั่นแหละ
หลังกดปิดโน้ตบุ๊กเรียบร้อยแล้ว เจแปนก็ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยล้า เมื่อการนั่งเขียนสคริปต์อันแสนยาวนานของเขาได้สิ้นสุดลงแล้ว ซึ่งพอเขาเสร็จจากงาน สิ่งต่อไปที่เจแปนทำหลังจากนั้นก็คือการคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาเช็ก เผื่อมันจะมีข้อความบอกฝันดีจากคนรักมาบ้าง
…แต่ทุกช่องแชทกลับว่างเปล่า
“แล้วเราจะไปคาดหวังอะไรขนาดนั้น ถ้าเขาส่งข้อความมาบอกฝันดีนี่สิแปลก”
ขณะที่สายตากำลังจับจ้องหน้าจอโทรศัพท์ตาไม่กะพริบ เจแปนก็พูดกับตัวเองทั้งรอยยิ้มเหมือน้าจะปลอบใจตัวเอง ทว่าจังหวะที่เจแปนกำลังกดปิดหน้าจอโทรศัพท์เตรียมจะไปอาบน้ำต่อ มันก็ดันมีสายเรียกเข้ามาเสียก่อน ทำเอาเจแปนเผลอสะดุ้งเล็กน้อยและยิ่งใมากกว่าเดิม เมื่อคนที่โทรมาคือคนรักของเขา
พอร์ตโทรมาหากันตอนตีสอง
เพียงแค่รู้สึกว่านี่เป็ความผิดปกติ นิ้วสวยที่เตรียมจะกดรับสายแฟนหนุ่มแทบจะทันทีก็ต้องชะงักไปครู่หนึ่ง เจแปนจ้องหน้าจอโทรศัพท์ด้วยความชั่งใจ เพราะเขากลัวว่ามันจะเกิดเหตุการณ์แบบตอนล่าสุดอีก แต่พอเขาคิดว่าการที่พอร์ตโทรมาหาเวลานี้ เ้าตัวอาจจะ้าความช่วยเหลือ นั่นจึงทำให้เจแปนต้องลองเสี่ยงดูสักครั้ง
“ม—มีอะไรเหรอ” ครั้งนี้เจแปนเป็คนเอ่ยถามก่อนแทนที่เขาจะรอให้พอร์ตพูดก่อนเหมือนอย่างทุกครั้ง
[ทำอะไรอยู่] ปลายสายถามกลับมา
“เราเพิ่งทำงานเสร็จน่ะ กำลังจะไปอาบน้ำ”
[…]
“พอร์ตมีอะไรหรือเปล่า เพราะปกติไม่เคยเห็นโทรมาหาเวลานี้เลย” ว่าจบ เจแปนก็มีการหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เพื่อไม่ให้บรรยากาศมันดูตึงเครียดไปมากกว่านี้ ซึ่งก็ไม่รู้ทำไมเจแปนถึงได้รู้สึกกลัวคนรักของตัวเองขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน
[เพราะเราคิดถึงไง เราก็เลยโทรหา] อีกฝ่ายตอบกลับมา โดยนี่ก็ยิ่งดูเหมือนไม่ใช่พอร์ตเข้าไปใหญ่ หากมันเป็การพิมพ์แชต เจแปนก็คงนึกว่าเพื่อนของเ้าตัวกำลังอำกันแน่ แต่เพราะพวกเขากำลังคุยโทรศัพท์กันและเสียงของคนปลายสายก็คือพอร์ต นั่นจึงทำให้เจแปนยิ่งงุนงงเข้าไปใหญ่
“…”
[ตอนนี้แปนคงงงใช่ไหมว่าทำไมเราถึงพูดจาแบบนี้ นั่นก็เพราะเรารู้สึกผิดเื่ตอนหัวค่ำไง ขอโทษนะที่ตอนนั้นไม่ได้รับสาย ตอนแรกพอร์ตว่าพอร์ตจะโทรกลับอยู่แล้วเชียว แต่คนที่บ้านก็ดันโทรมาหาซะก่อน]
“อ๋อ แบบนี้นี่เอง” เจแปนขานรับและก็เริ่มรู้สึกดีขึ้นแล้ว เมื่อเขาได้รับคำอธิบายจากคนรัก ซึ่งคำอธิบายที่อีกฝ่ายบอกมามันก็ดูเป็เหตุเป็ผล
[เจแปนไม่โกรธเรานะ?]
“เราไม่โกรธหรอก แต่ก็แค่แอบน้อยใจนิดหน่อยว่าทำไมพอร์ตถึงไม่ยอมรับสายเราเลย ถ้าเกิดเรา้าความช่วยเหลือจากพอร์ต เราจะทำยังไง” เจแปนพูดออกไปตามตรง คิดยังไงรู้สึกแบบไหนเขาก็พูดออกไปโดยไม่คิดจะอ้อมค้อม
[ขอโทษนะ ถ้ามีครั้งต่อไปเราจะรีบรับสายเลย]
“อือ จริง ๆ พอร์ตก็ไม่ต้องรีบรับสายเราก็ได้นะ เราไม่ได้ซีเรียสอะไรเพราะเข้าใจว่าพอร์ตยุ่ง แต่เราขอแค่เราติดต่อกับพอร์ตได้ เราก็พอใจแล้วล่ะ”
[ครับ เข้าใจแล้ว… พอร์ตจะพยายามปรับปรุงเื่นี้ก็แล้วกัน ฝันดีนะครับ]
“ครับ ฝันดี”
เมื่อวางสายจากคนรักเสร็จ เจแปนก็มีการถอนหายใจออกมาอีกครั้ง หลังเขารู้สึกโล่งใจและรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก นี่ถ้าคนรักของเขาไม่โทรมาหากันในคืนนี้ เห็นทีก่อนจะเข้านอนเจแปนคงได้เก็บเอาเื่นี้ไปคิดมากอีกแน่ ๆ
เช้าวันต่อมา
“ไม่น่าจะลืมอะไรแล้วมั้ง อ้อ! ลืมกล่องขนมนี่เอง”
ขณะที่กำลังเตรียมข้าวของเพื่อกลับบ้านที่ต่างจังหวัด เจแปนก็เดินวนไปทั่วห้องของตัวเองนานอยู่พักใหญ่ เพื่อเช็กว่าตัวเองได้ลืมหยิบเอาของใช้ส่วนตัวอะไรลงใส่กระเป๋าหรือเปล่า ซึ่งพอเจแปนเช็กจนมั่นใจแล้วว่าตัวเองไม่ได้ลืมอะไรแน่ เขาถึงค่อยรูดซิปปิดกระเป๋าเดินทางแล้วพาตัวเองไปยังลานจอดรถทันที เนื่องจากเจแปนไม่อยากกลับถึงบ้านที่ต่างจังหวัดค่ำมากนัก
อันที่จริงเจแปนก็ไม่ได้อยากกลับบ้านที่ต่างจังหวัดเท่าไรหรอก นี่ถ้าที่นั่นไม่มีแม่ของเขา เจแปนก็ไม่คิดที่จะกลับไปด้วยซ้ำ
“แม่ ผมกลับมาถึงแล้วนะ”
“แม่! แม่อยู่ไหนอะ”
หลังเดินทางกลับมาถึงบ้านเกิด สิ่งแรกที่เจแปนทำ คือการะโเรียกหาคนที่เขาอยากเจอมากที่สุด เมื่อเจแปนไม่เห็นว่าเธอจะไปนั่งที่โต๊ะเก็บเงินเหมือนอย่างที่ชอบทำเป็ประจำ
แล้วเพราะที่หน้าร้านไม่มีคนนั่งเฝ้าจริง ๆ เจแปนจึงต้องแบกเอากระเป๋าเสื้อผ้าพร้อมด้วยถุงขนมเดินเข้าไปในบ้านตรงส่วนในต่อ ก่อนที่ต่อมาเขาจะต้องนิ่งค้างไป เมื่อเจแปนเห็นว่าแม่ของเขากำลังนั่งร้องไห้อยู่
“…แปน” แม่ของเขาเรียกชื่อกันเบา ๆ เมื่อเธอเห็นว่าเจแปนได้ไปยืนปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว
“เขาแวะมาหาอีกแล้วเหรอ” เจแปนถามเสียงนิ่ง ไม่แสดงออกถึงความรู้สึกอะไรทั้งนั้น
“…”
“เมื่อไรแม่กับเขาจะตัดขาดกันสักที ผมเคยบอกไปแล้วใช่ไหมว่าให้ตัด”
“เราอย่ามายุ่งเื่ของผู้ใหญ่น่า” แม่ของเจแปนว่าพร้อมใช้หลังมือเช็ดน้ำตาออกพอลวก ๆ
“เื่ของผู้ใหญ่อะไรอีก ตอนนี้ผมอายุยี่สิบเอ็ดแล้วนะแม่ โตแล้ว” เจแปนสวนกลับไป พยายามจะข่มอารมณ์ไม่พอใจของตัวเองเอาไว้อย่างถึงที่สุด เพราะเขาไม่อยากให้แม่เกิดความเครียดมากกว่านี้
“…”
“แม่ไม่สงสารตัวเอง ไม่สงสารผมบ้างเหรอ เขาทำทุกอย่างพังถึงขนาดนี้แล้วนะแม่ แล้วแม่จะยื้อทำไมให้เสียเวลา” พูดจบ เจแปนก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างแรงตามประสาคนที่กำลังหงุดหงิด จากนั้นเขาก็เดินเอากล่องขนมไปแช่ไว้ในตู้เย็นให้แม่ ปล่อยให้ความเงียบเข้ามามีบทบาทสักระยะ เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องทะเลาะกับแม่ของตัวเองั้แ่วันแรกที่กลับมาถึง
หากจะถามว่าคนแบบไหนที่เจแปนเกลียดที่สุดในชีวิต ก็น่าจะเป็คนแบบพ่อเขาแหละมั้งที่เจแปนเกลียด…
จริงอยู่ที่บ้านของเจแปนร่ำรวยมาก แทบจะเป็เศรษฐีประจำจังหวัดด้วยซ้ำ แต่ชีวิตของเจแปนมันกลับไม่ได้ดีขนาดนั้น เจแปนเติบโตขึ้นมาท่ามกลางความรุนแรงของครอบครัว พ่อของเขาเป็คนเ้าชู้ มีบ้านเล็กบ้านน้อยให้แม่เขาช้ำใจเป็ว่าเล่น ยิ่งไปกว่านั้นพ่อของเขายังเคยทำร้ายร่างกายแม่ด้วย
มันเป็สิ่งที่เจแปนรับไม่ได้เป็ที่สุด
พอเริ่มโตขึ้นและเริ่มรู้ว่าอะไรเป็อะไร เจแปนก็เริ่มรู้จักเกลียดชังพ่อของตัวเอง เขาไม่ค่อยลงรอยกับพ่อมากนัก แม้ว่าพ่อของเขาจะค่อนข้างใส่ใจเจแปนมาก เนื่องจากเขาเป็ลูกชายเพียงคนเดียวของอีกฝ่าย
ซึ่งพอเจแปนได้มีโอกาสย้ายไปอยู่กรุงเทพ เขาก็ไม่ค่อยจะกลับบ้านเกิดนัก เพราะเขารู้ว่าถ้ากลับมา ทุกอย่างมันก็คงไม่มีอะไรดีขึ้น
เจแปนต้องมาเห็นภาพที่แม่ของตัวเองเสียใจ ต้องมาสนทนากับคนที่เจแปนเกลียด ดังนั้นเจแปนจึงเลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพมากกว่า หากมันไม่ใช่วันหยุดยาวหรือแม่เขาเอ่ยปากว่าคิดถึงกัน เจแปนก็จะไม่กลับมาเหยียบบ้านเด็ดขาด
“แม่ย้ายไปอยู่กรุงเทพกับผมไหม เดี๋ยวเราไปเริ่มใหม่ที่นั่นกัน เพราะอีกไม่ถึงหนึ่งปีผมก็จะเรียนจบแล้วนะ” ขณะที่กำลังนั่งข้างแม่และใช้ทิชชูเช็ดน้ำตาให้กับเธอ เจแปนก็เอ่ยถามเธอไปด้วย โดยนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจแปนถามอะไรทำนองนี้
“ถามอะไรแบบนี้อีกแล้วนะลูก”
“ก็เผื่อแม่จะเปลี่ยนใจไง”
“…”
“ไปเริ่มต้นใหม่ที่นั่น อะไรที่มันจะทำให้แม่เสียใจ เราก็ทิ้งมันไว้ที่นี่มันจะไม่ดีกว่าเหรอ” พูดจบ เจแปนก็จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของแม่ เนื่องจากเขาอยากเข้าใจแม่ของตัวเองว่าทำไมเธอถึงยังคิดจะอยู่ที่นี่ต่อ ในเมื่อมันมีแต่ความทุกข์
“ที่นี่มันมีธุรกิจให้แม่ต้องดูแลไงลูก ถ้าแม่ย้ายไปอยู่กับแปนที่นั่น แม่จะทำมาค้าขายอะไรล่ะ?” เธอถามกลับมา
“ก็ไม่ต้องทำแล้วไง พอผมเรียนจบผมก็จะเลี้ยงแม่เอง”
“โธ่… แล้วกล้าที่จะบอกว่าตัวเองโตนะ เจแปน” แม่ว่าพร้อมกลั้วหัวเราะในลำคอเบาๆ แล้วค่อยว่าต่อ “แม่ขายปุ๋ย ขายเมล็ดพันธุ์อยู่ที่นี่ น่าจะได้กำไรเยอะกว่าเงินเดือนของแกไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า แล้วทำไมแม่ต้องทิ้งกำไรที่นี่ไปด้วยล่ะ ในเมื่อที่นี่แม่ก็ยังสามารถทำมาหากินได้”
“แต่พ่อก็จะวนเวียนมาหาแม่ไม่เลิกไง!” เจแปนสวนกลับไปอย่างอดไม่ไหว “แม่กับเขาจดทะเบียนหย่าไปหลายปีแล้วนะ แต่ทำไมทุกอย่างมันถึงยังคาราคาซังแบบนี้อีก เมียใหม่เขาก็ไม่คิดจะห้ามสามีตัวเองบ้างเหรอ”
“เจแปนอย่าไปว่าพ่อเขาแบบนั้น”
“แม่ก็พูดแบบนี้ทั้งปีทั้งชาติแหละ เพราะมันเป็แบบนี้ไงผมถึงไม่ค่อยอยากกลับบ้านนัก” เป็อีกครั้งที่เจแปนตัดสินใจพูดทุกอย่างออกไปตามตรง แม้ว่านั่นมันจะทำให้คนฟังรู้สึกเสียใจก็ตาม
“นี่ตอนนี้แปนเกลียดพ่อตัวเองไปแล้วใช่ไหม” นานเกือบนาทีกว่าที่แม่จะถามอะไรออกมาอีก ซึ่งคำถามของเธอก็ทำให้เจแปนต้องถอนหายใจออกมาอย่างแรง ก่อนจะให้คำตอบกลับไป
“ั้แ่ที่ผมรู้จักความรู้สึกเกลียด พ่อก็เป็คนแรกเลยที่ผมให้ความรู้สึกนี้”
“แม่อุตส่าห์ส่งแปนไปเรียนมัธยมปลายที่กรุงเทพั้แ่อายุสิบหก มันไม่ทันแล้วเหรอ”
“แล้วมันจะทันได้ยังไง ในเมื่อผมเกลียดพ่อตัวเองั้แ่ตอนประถมแล้ว” เจแปนเอ่ย
เพราะเหตุผลหลักที่ทำให้แม่ของเขาเป็ตัวตั้งตัวตีส่งเจแปนเข้าไปเรียนในกรุงเทพนั้น มันไม่ใช่เพราะเธอมองว่าการศึกษาในเมืองหลวงมันดีกว่าต่างจังหวัด แต่เธอก็แค่ไม่อยากให้เจแปนที่กำลังเข้าสู่่วัยรุ่นเต็มตัวเกิดความเกลียดชังพ่อของตัวเองต่างหาก แม่ของเขาถึงได้ส่งไปเรียนกรุงเทพ
ซึ่งเจแปนก็อยากจะบอกเธอเหลือเกินว่ามันไม่ทันแล้ว เพราะเขารู้สึกเกลียดพ่อของตัวเองั้แ่่ประถมแล้ว แต่ที่ยอมไปเรียนกรุงเทพตามความ้าของแม่ นั่นก็เพราะเจแปนไม่อยากข้องเกี่ยวกับคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็พ่อแท้ ๆ ของตัวเองต่างหาก