“ได้เลย ทุกท่าน เราหั่นให้แม่สาวน้อยคนนี้ก่อนได้หรือไม่?” พ่อค้าเห็นว่านางอายุน้อย บวกกับเป็เด็กดี จึงรู้สึกเอ็นดูเป็พิเศษ
ชายร่างใหญ่ทั้งหลายก็ไม่ได้ถือสา ทุกคนต่างก็เป็คนชอบดื่มเหล้า จึงเข้าใจข้อนี้ดี
พ่อค้าเองก็นับว่าไม่เลว ช่วยนางจัดการหั่นเนื้อให้เป็แผ่นบาง แล้วก็โปะด้วยขิง หัวหอม และกระเทียม จากนั้นก็ใส่น้ำส้มสายชูกับซีอิ๊วขาว
กลิ่นของซีอิ๊วขาว หลิวเต้าเซียงอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย ซีอิ๊วที่หมักจากถั่วเหลืองบริสุทธิ์นี้มันช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“นี่ รับเอาไว้” เ้าของร้านหยิบใบบัวแห้งและห่อให้นาง จากนั้นใช้ฟางมัดให้สองสามรอบ หลังจากห่อเรียบร้อยก็วางเข้าไปในตะกร้าของนาง
หลิวเต้าเซียงปากหวาน และยื่นเงินสี่ร้อยอีแปะให้กับพ่อค้าเป็ที่เรียบร้อย จากนั้นก็ขานเรียกทักทายบรรดาท่านลุงท่านอา พร้อมกับกล่าวขอบคุณ แล้วจึงเดินไปทางไปบ้านแม่เฒ่า
นางเดินเข้าไปกลางตรอก เมื่อไม่มีใครผ่านมา นางจึงเก็บเนื้อวัวห้ากิโลกรัมเข้าไปไว้ในคลังเก็บของห้วงมิติ
ในความเป็จริง เนื้อวัวห้ากิโลกรัมไม่ได้ห่อใหญ่มากนัก เพียงแต่มีน้ำหนักพอสมควร
หลิวเต้าเซียงซึ่งใช้เงินไปสี่ร้อยเหรียญไม่ได้ทุกข์ใจ ว่ากันว่าการคิดอยากหาเงินต้องหัดใช้จ่ายให้เป็เสียก่อน ขอเพียงใช้จ่ายเยอะ ก็จะมีความพยายามที่อยากจะหาเงินเพิ่ม
หลิวเต้าเซียงที่ได้ซื้อเนื้อวัว หัวใจที่บอบช้ำก่อนหน้านี้เริ่มมีเืสูบฉีดขึ้นมาบ้าง เมื่อเห็นว่าใกล้ถึงเวลานัดหมายกับลุงหวัง พอคิดได้ดังนั้น นางก็เร่งฝีเท้า เดินไปทางร้านขายของชำที่ไม่สะดุดตาตรงปากทางเข้าตำบล หลิวเต้าเซียงไปซื้อเกลือกับซีอิ๊วขาวที่นั่น และจ่ายไปยี่สิบเหรียญเพื่อซื้อไข่เยี่ยวม้าสิบฟอง
นางคํานวณว่าเมื่อกินเนื้อวัวหมดแล้ว ก็จะทำไข่เยี่ยวม้าราดพริก แล้วก็เหยาะซีอิ๊วขาว เพียงแค่คิดถึงรสชาติสด อร่อย นางก็กลืนน้ำลาย
เมื่อนั่งรถเข็นวัวกลับถึงบ้าน ก็เป็่เวลาที่ควันลอยขึ้นจากห้องครัว ในหมู่บ้านได้ยินเสียงไก่ขันสุนัขเห่า และบรรดาผู้ใหญ่ที่ลากจูงลูกกลับเข้าบ้าน
นับแต่รู้ว่าบุตรสาวคนรองของตนนั้นหาเงินได้เร็วกว่าอาชา หลิวซานกุ้ยก็เริ่มนั่งไม่ติด วันนี้งานที่สวนไม่ได้เยอะมากนัก เขากับหลิวต้าฟู่ถางหญ้าเสร็จั้แ่เช้า
เมื่อเห็นว่าดวงอาทิตย์กําลังสูงขึ้นเรื่อยๆ หลังจากกลับบ้านเขาก็ไม่ได้ออกไปไหน เพียงแต่วนเวียนอยู่ตรงคั่ง
“ข้าว่าพ่อของลูก เ้าเลิกเดินวนเถิด นี่ไม่ใช่หนแรกที่นางไปกลับตำบลคนเดียวเสียหน่อย” จางกุ้ยฮัวเริ่มทนหลิวซานกุ้ยไม่ไหว รู้เช่นนี้คงไม่บอกเื่นี้กับเขาั้แ่แรก
หลิวซานกุ้ยมองไปที่ประตูลานบ้านเป็ครั้งคราว เมื่อได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ จึงตอบ “ข้าจะไม่ร้อนใจได้อย่างไร นางยังเด็กนัก ของเ่าั้ก็ราคาสูง เกิดมีคนรังแกนางที่เป็เด็กล่ะ”
“นี่ ข้าว่าซานกุ้ย ที่นี่เป็ชนบท เงยหน้าไม่เห็น ก้มหน้าก็ต้องเห็น เกิดมีเื่ขึ้นมาจริง คิดวกไปวนมามีผู้ใดที่ไม่ได้เป็ญาติมิตรสหายกันบ้าง อีกอย่าง บุตรสาวเราแต่งตัวเช่นนั้น…” พูดถึงตรงนี้ จางกุ้ยฮัวเอ่ยเสียงค่อย “นางแต่งกายสภาพเช่นนั้น แม้ว่าในกระเป๋ามีเงิน หากระวังหน่อยแล้วใครเล่าจะรู้”
หลิวซานกุ้ยคิดเห็นตามนั้น ตัวเขาเองได้เห็นเงินน้อยครั้งนัก อย่าเอ่ยถึงเด็กคนหนึ่งเลย ใครเล่าจะมีกะจิตกะใจคิดเื่นี้ได้
“ข้าว่า เ้าไปจับปลาสักหน่อยเถิด อีกเดี๋ยว ‘เ้าแมว’ ในบ้านเรากลับมาแล้วไม่มีปลาให้กิน ไม่แน่ว่าจะเคืองโกรธพ่อเช่นเ้าก็ได้” อันที่จริงจางกุ้ยฮัวก็เป็ห่วง แต่ดูจากท่าทีไม่นิ่งนอนใจของหลิวซานกุ้ย จึงไม่กล้าพูดความจริง ได้แต่ปลอบให้เขาไปจับปลาในลำธาร
หลิวซานกุ้ยรู้สึกว่าภรรยาของตนไม่เข้าใจความทุกข์ของเขา มีบุตรบ้านไหนที่หาเงินได้มากกว่าผู้ใหญ่กัน?
ช่างเป็ความเศร้าโศกของอันแสนหวาน!
หลิวซานกุ้ยผู้มีความรู้สึกเร่งด่วน ทันใดนั้นก็มีแรงบันดาลใจ มองเข้าไปในลานบ้านจากหน้าต่าง ไม่เห็นใครทำอะไรอยู่ตรงลานบ้าน จึงเดินไปตรงหลังฉากกั้นไม้ไผ่ราวกับโจร เดินจ้ำอ้าวไปข้างคั่ง แล้วหย่อนก้นนั่งลง
“กุ้ยฮัว นับวันข้ายิ่งรู้สึกว่าผิดปกติ เ้าว่า บุตรสาวเราแต่ละคนเก่งกาจยิ่งนัก ข้าไม่เอาไหนใช่หรือไม่?”
“อืม เ้าสู้ลูกรองของเราไม่ได้ ทว่า ถึงอย่างไรเ้าก็เป็พ่อของนาง ดังนั้นเ้าควรดีใจถึงจะถูก” จางกุ้ยฮัวรู้สึกว่าพ่อของเด็กนั้นได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างแรง
หลิวซานกุ้ยได้ยินดังนั้นจึงเอ่ย “เ้าพูดให้มันน่าฟังหน่อยไม่ได้หรือ? ช่างเถิด ข้ากำลังอยากบอกเ้าหนึ่งเื่ เ้าช่วยออกความเห็นให้ข้าหน่อย”
จางกุ้ยฮัวรู้สึกแปลกๆ หลิวซานกุ้ยนิสัยเป็เช่นไร มีหรือที่นางจะไม่รู้?
นางถามอย่างอยากรู้อยากเห็นว่า “เื่อะไร?”
หลิวซานกุ้ยลดเสียงลงและพูดว่า “ข้าไตร่ตรองอยู่ว่า ่นี้ในตลาดไม่ค่อยมีปลาขาย เ้าเองก็รู้ ข้าไม่ได้มีความสามารถด้านอื่น แต่เื่ใช้ที่ครอบจับปลา ข้านั้นถือว่าพอมีฝีมืออยุ่บ้าง ประจวบเหมาะกับมีเวลาว่าง ข้าคิดอยากจับปลาไปขาย”
“นี่เป็ความคิดที่ดี แต่ข้าไม่รู้ว่าแม่ของเ้าจะโวยวายอย่างไรเมื่อรู้เื่” จางกุ้ยฮัวแต่เดิมเคยคิดจะทำงานเย็บปักไปขายได้เงินมา ปรากฏว่าพอหลิวฉีซื่อรู้เข้า ทุกครั้งที่นางไปตำบล ก็มักจะสั่งให้นางซื้อซีอิ๊วขาว เกลือ น้ำส้มสายชูอะไรเทือกนี้
ไม่ง่ายเลยกว่าที่นางจะเย็บปักออกมาได้ ยังไม่ทันได้อุ่นดี ก็ถูกหลิวฉีซื่อกวาดไปหมดเรียบ ต่อมานางจึงพักความคิดนี้ไป
หลิวซานกุ้ยยิ้มและตอบว่า “เราก็มีชิวเซียงกับเต้าเซียงอยู่นี่ไง ถึงอย่างไรหากว่างจากงานสวน ข้าเองก็คงไม่ออกไปทำงานนอก”
เนื่องจากคนที่ออกไปรับงานนอกมีมาก ดังนั้นคนจับปลาขายในตำบลจึงมีน้อยลงเรื่อยๆ
“ไม่ใช่ ความหมายของข้าคือ เ้าไม่ออกไปทำงานนอก แม่เ้าอาจจะบ่นได้” จางกุ้ยฮัวย่อมรู้สึกดีใจ เพียงแต่กังวลว่าหลิวฉีซื่อจะด่าอีกหรือไม่
หลิวซานกุ้ยเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะพูดว่า “ท่านแม่ไม่ได้มีข้าเป็ลูกชายคนเดียว หลายปีมานี้ในบ้าน ข้าก็กตัญญูมากพอแล้ว หากว่าท่านแม่มีเงินไม่พอ ก็ให้ขอกับพี่ใหญ่กับพี่รองเถิด อีกอย่าง หลายปีมานี้ข้าเองก็รู้สึกผิดต่อพวกเ้าแม่ลูก คิดแต่จะทำเพื่อทั้งครอบครัว แต่กลับไม่เคยคิดอย่างแท้จริง อันที่จริง พี่ใหญ่กับพี่รองยังหาเงินได้มากกว่าข้าเสียอีก”
มีอีกประโยคหนึ่งที่เขาไม่ได้พูด นั่นคือสองพี่น้องมีรายได้มากขึ้น แต่ไม่เคยเลี้ยงดูหลิวฉีซื่อและหลิวต้าฟู่แต่อย่างใด
จางกุ้ยฮัวมีความสุขมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ได้ยินเื่นี้และแอบคิดว่านี่อาจเป็สิ่งที่บุตรสาวคนรองบีบเค้นเขาก็ได้
แต่จะว่าไป ความคิดของจางกุ้ยฮัวก็ถูกเผงตามนั้นจริง
หลิวซานกุ้ยเป็ผู้ชาย ทั้งยังเป็เสาหลักของครอบครัว จู่ๆ ก็พบว่า บุตรสาวคนรองนั้นเริ่มรู้ความ ตนเองก็เริ่มตามไม่ทัน จะทนอยู่เฉยต่อไปได้อย่างไร
ดังนั้น เมื่อหลิวเต้าเซียงถือตะกร้าไม้ไผ่ขนาดเล็กอย่างมีความสุขและคิดว่าจะกินมันเทศป่าตุ๋นกระดูก ฝีเท้าก็เดินฉับๆ อย่างเร็ว
แม้ว่าจะเป็การเสียผลประโยชน์ให้กับคนในตระกูลหลิวคนอื่น แต่นางคิดดีแล้วว่า จะต้มเสร็จแล้วแอบซ่อนของดีไว้ก่อน แล้วค่อยเติมน้ำร้อน การทำเช่นนี้เป็การผิดต่อซูจื่อเยี่ยเล็กน้อย แต่เมื่อนึกถึงว่าพ่อผู้แสนดีของตนจับปลากลับมา จึงสลัดความรู้สึกผิดตรงนี้ไป
จากที่ไกลๆ หลิวเต้าเซียงเห็นหลิวชิวเซียงอุ้มน้องสามนั่งอยู่ตรงขอบประตู
เมื่อห็นนางกลับมา ก็ยิ้มจนไม่เห็นดวงตา โบกมือให้นาง
หลิวเต้าเซียงแอบคิด หากว่าพี่ใหญ่ผู้แสนดีของตนได้กลิ่นหอมของเนื้อล่ะ?
นางวิ่งเหยาะๆ ไปจนถึงหน้าประตูลานบ้าน
“พี่ใหญ่ เหตุใดจึงมานั่งอยู่ตรงนี้”
“อ้อ ทีแรกข้านึกอยากไปรอเ้าที่ปากทางหมู่บ้าน แต่ก็กลัวว่าน้องเล็กจะร้อน จึงนั่งรออยู่ที่นี่” หลิวชิวเซียงอารมณ์เบิกบาน นางรู้ว่าทุกครั้งที่หลิวเต้าเซียงไปในตำบล ก็มักจะมีของดีมาเซ่นให้คนในครอบครัว
หลิวเต้าเซียงพยุงนางลุกขึ้น “ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ?”
“เ้าไม่เห็นหรือ? ท่านพ่อไปจับปลาแล้ว ส่วนท่านแม่กำลังหุงข้าวอยู่ที่ห้องครัว”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ นางก็บอกกล่าวกับหลิวเต้าเซียงด้วยท่าทีลับๆ ล่อๆ “ไม่รู้ว่าวันนี้เป็อะไรไป ท่าทีของป้ารองดูน่ากลัวชอบกล”
หลิวเต้าเซียงไม่ได้สนใจ ถูกหลิวฉีซื่อโขกสับอยู่ทุกวัน จะไม่โมโหสิแปลก
“คงอยากให้ลุงรองรีบกลับมารับสินะ!”
หลิวฉีซื่อต้องไม่พอใจเป็แน่ หลิวเต้าเซียงเห็นนางกำลังสั่งสอนได้ถึงพริกถึงขิง
หลิวเต้าเซียงทิ้งความคิดเหล่านี้ไป แล้วดึงหลิวชิวเซียงไปยังห้องปีกตะวันตก
“ท่านพี่ ไปเถิด ข้าได้ของดีมาอีกแล้ว”
นางพาหลิวชิวเซียงเข้าไปในห้องและปิดประตูอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็หยิบเนื้อตุ๋นออกมาจากตะกร้า
ยังไม่ทันได้เปิดออก หลิวชิวเซียงก็ได้กลิ่นหอมของเนื้อแล้ว
นางตื่นเต้นจนพูดผิดพูดถูก “น้อง น้อง น้องรอง เนื้อ เนื้อ เนื้อ…”
หลิวเต้าเซียงขัดจังหวะนางอย่างขบขัน “เนื้อตุ๋น เก็บเอาไว้ เราค่อยๆ กิน”
“เนื้อ เนื้อวัวหรือ?” หลิวชิวเซียงมีความสุขมากจนเกือบกัดลิ้นของตนเอง
นางเคยได้ยินเพียงว่าเนื้อวัวอร่อยแค่ไหน แต่นางไม่เคยกินมันเลย
แม้ว่าหลิวเหรินกุ้ยจะไหว้วานให้คนส่งเนื้อวัวกลับมา แต่นางก็ได้แค่ดู
“น้องรอง ใช่ ใช่จริงหรือ?” หลิวชิวเซียงนึกว่าตนเองได้ยินผิด
หลิวเต้าเซียงเปิดห่อที่มัดด้วยฟาง เมื่อใบบัวถูกแกะออกก็หยิบเนื้อแผ่นหนามาไว้ในปากของนาง
“อร่อยใช่หรือไม่?” พูดจบ ตนเองก็อดไม่ไหว หยิบเข้าปากตนเองไปหนึ่งชิ้น
อืม ไม่มีสารเร่งเนื้อแดงหรือผงชูรสใดๆ ผสมอยู่ ความสดใหม่นั้นเทียบกันไม่ได้ หอมเลิศล้ำ โอ๊ย นางอยากกินอีกสักสองชิ้น รู้เช่นนี้ไม่ควรเสียดายเงิน แล้วซื้อมาสักสิบกิโลกรัม
“ดี ดี อร่อย ต่างจากรสเนื้อหมูจริงด้วย แต่ว่ามีกลิ่นที่ไม่น่าดมเล็กน้อย” หลิวชิวเซียงรู้สึกว่ารสชาติเนื้อวัวนั้นอร่อยล้ำเลิศ หัวใจก็ชุ่มฉ่ำ ์ นางได้กินเนื้อวัวแล้วจริงๆ หากพูดออกไป คงได้ทำให้คนในหมู่บ้านพากันอิจฉาแน่
หลังของหลิวชิวเซียงเหยียดตรงโดยไม่รู้ตัว
หลิวเต้าเซียงเห็นว่าใบหน้าของนางเปล่งประกายแวววาวมีความมั่นใจ พลันอมยิ้ม แล้วหยิบอีกหนึ่งชิ้นให้นางกิน ตนเองก็หยิบชิ้นใหญ่ขึ้นมากิน จากนั้นค่อยปิดห่ออย่างระมัดระวัง
หากนางไม่รีบเก็บก่อน เกรงว่าทั้งสองคงจะกินต่อไปทีละชิ้นสองชิ้น จนเนื้อวัวนี่หมดแน่นอน
“เก็บไว้กินตอนดึก อืม กินกับข้าวขาวอร่อยที่สุด”
“ข้าวขาว?” ดวงตาของหลิวชิวเซียงเปล่งประกาย หลังจากที่นางกินมันครั้งเดียวก็เฝ้านึกถึง เพียงแต่แม่บอกว่าห้ามหุงข้าวขาวกินอีก
หลิวเต้าเซียงตอบด้วยความกล้าหาญอย่างยิ่ง “เอาล่ะ เรามาหุงข้าวขาวกินกันเถอะ และในอนาคตเราจะไม่กินโจ๊กข้าวร่วน แต่กินข้าวขาวหุงสุก”
แม้ว่าจะยังซื้อผ้าฝ้ายไม่ได้ในเร็ววัน แต่ความเ็ปสามารถบรรเทาได้ด้วยของกิน
“ใช่ ใช่ เราจะซ่อนไว้ที่ไหนดี?” หลิวชิวเซียงเดินวนในห้อง ห้องนี้ไม่ได้กว้างนัก และไม่มีตู้ไม้อะไรทำนองนั้น คิดอยากซ่อนของก็แสนยากเย็น ไม่แปลกที่พ่อของตนเมื่อได้เงินมาจึงยกให้น้องรองเป็คนดูแล
เพราะพ่อของนางบอกว่าน้องรองเกิดปีชวด
“พี่ใหญ่ กังวลอะไรกัน ปล่อยให้เป็หน้าที่ข้า” หลิวเต้าเซียงไม่ได้คิดจะแบ่งเนื้อวัวนี้ให้ซูจื่อเยี่ยแม้แต่น้อย ไม่ใช่ว่านางไม่อยาก แต่หากยกขึ้นไปบนโต๊ะ คงต้องถูกหลิวฉีซื่อสอบถาม ซึ่งนางคร้านจะรับมือ
-----
