เมื่อซุนเฟยออกมาจากโลก Diablo พระอาทิตย์ก็เริ่มเอียงไปทางทิศตะวันตกแล้ว แต่แสงอาทิตย์กลับยังคงอบอุ่น แสงสีทองของพระอาทิตย์ยังคงสาดส่องผ่านใบไม้ของต้นไม้หอมลงสู่พื้นดินและยังมีกลิ่นหอมจางๆ ในอากาศ
เขาลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ มองไปรอบๆ ด้วยท่าทางสะลึมสะลือ สังเกตเห็นว่าองค์หญิงที่นอนหลับบนเก้าอี้โยกกำลังทานอาหารเย็นอยู่ บนโต๊ะเต็มไปด้วยเนื้อย่างสีทองและขนมปังสีเทาอยู่หลายสิบแผ่น นอกจากนี้ยังมีซุปข้าวโอ๊ตในแก้วสีทองอีกด้วย
นี่เป็อาหารเย็นขององค์หญิง
ข้างกายของนางยังคงไร้ผู้คุ้มกัน แม้แต่นักรบซูซานที่หลังจากพาซุนเฟยมาที่ลานเล็กๆ แห่งนี้ก็ไม่ปรากฏตัวขึ้นมาอีกเลย แม้แต่หัวหน้าอัศวินหน้ายิ้มผมทองที่อยู่ในความทรงจำของซุนเฟยก็ไม่ปรากฏตัวออกมาเช่นกัน ไม่รู้ว่าทั้งสองคนไปทำอะไรอยู่
แต่ในลานแห่งนี้ก็ยังคงมีกลิ่นอายแหลมคมของผู้คุ้มกันอีกยี่สิบกว่าคนที่กำลังหลบซ่อนอยู่ คอยคุ้มกันองค์หญิงอย่างแ่า แต่ซุนเฟยก็พอจะจำแนกออกได้ว่า ในบรรดากลิ่นอายที่แหลมคมนี้ ครึ่งหนึ่งเห็นได้ชัดว่าแตกต่างกับลมหายใจก่อนหน้านี้ ไม่แน่ว่าอาจจะมีการเปลี่ยนเวรยามกัน
“เอ๋...เมื่อกี้ข้าหลับไปหรือ?”
นี่เป็ประโยคแรกที่ซุนเฟยพูด
เขาเช็ดน้ำลายที่ไหลออกมาจากมุมปากโดยไม่รู้ตัว ท่าทางดูเป็ธรรมชาติ เขาถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเหมือนถามสหายเก่าตัวเอง พูดพลางลุกขึ้นยืนบิดี้เี จากนั้นก็เดินไปนั่งบนเก้าอี้หินฝั่งตรงข้ามกับองค์หญิงอย่างไม่เกรงใจ กลิ่นหอมของเนื้อย่างที่ลอยออกมา กระตุ้นความอยากได้ดีนัก...
“โอ้...กลิ่นไม่เลวเลย มาให้ข้าชิมหน่อยสิ!”
ก่อนจะหยิบมีดและซ้อมบนจานสีเงินมาหั่นเนื้อย่างอย่างคุ้นชิน ซุนเฟยรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่า กลิ่นอายของผู้คุ้มกันทั้งยี่สิบคนเริ่มรุนแรงขึ้นมา เหมือนทั้งยี่สิบคนนี้เป็หน้าไม้ที่พร้อมจะยิงศรใส่หลังของตัวเอง...จากนั้นซุนเฟยก็เห็นมือบอบบางขององค์หญิงยกโบกไปมาเหมือนไล่แมลง พวกผู้คุ้มกันที่ซ่อนอยู่ในเงามืดก็เก็บซ่อนกลิ่นอายของตัวเองอย่างเงียบๆ
“อาหารเย็นนี้ ไม่ได้เตรียมไว้ให้เ้า”
นี่เป็ครั้งแรกที่องค์หญิงแห่งราชอาณาจักรผู้มีดวงตาสีตาครามเหมืนน้ำทะเลพูดกับเขา เสียงของนางแหบเล็กน้อย ฟังดูแล้วให้ความรู้สึกเงียบสงบมาก แม้กระทั่งในความเงียบสงบนี้ยังแฝงไปด้วยความเ็าเหมือนไม่แยแสผู้คนอีกด้วย
ซุนเฟยรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า ความเ็านี้ออกมาจากความไม่สนใจและไม่ได้แสร้งทำแต่อย่างใด ราวกับว่าองค์หญิงที่ผอมบางและซีดเซียวคนนี้เคยชินที่จะพูดกับคนอื่นๆ ด้วยท่าทีแบบนี้
“เป็ถึงองค์หญิง ไม่ต้องกังวลเื่อาหารการกินและเสื้อผ้าสวมใส่ จะมางกอะไรกับเื่แค่นี้”
ซุนเฟยตำหนิองค์หญิงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยรอยยิ้ม เขายังคงไม่ใส่ใจองค์หญิงคนนี้ มีดในมือสะท้อนแสงแดดสีทองเป็ประกาย ก่อนจะหั่นเบาๆ แล้วจิ้มกับน้ำผึ้งก่อนจะนำมาวางบนจานของตัวเอง
คณะทูตแห่งราชอาณาจักรเซนิทนำแม่ครัวของตัวเองมาด้วย แน่นอนว่าฝีมือดีกว่าแม่ครัวของราชวงศ์แซมบอร์ดมาก ซุนเฟยเพลิดเพลินไปกับการทานอาหารมาก เขาแย่งถ้วยซุปข้าวโอ๊ตที่อยู่ในถ้วยสีทองอย่างไม่เกรงใจก่อนจะยกขึ้นมาดื่ม
“เ้า...”
น้ำเสียงขององค์หญิงแปรปรวนขึ้นมา ดวงตาสีฟ้าครามมองตาค้างไปยังถ้วยสีทองที่ซุนเฟยดื่ม ซึ่งซุนเฟยทิ้งคราบริมฝีปากไว้ ทันใดนั้นนางก็ยืดมือออกมาแล้วเทน้ำซุปที่เหลือลงบนพื้นก่อนจะมองมาที่ซุนเฟยด้วยท่าทางยั่วโมโห
ฉากนี้ทำเอาเหล่าผู้คุ้มกันที่ซ่อนตัวอยู่รอบๆ แทบจะกัดลิ้นขาด บางคนก็เกือบจะเผลอเปิดเผยร่องรอยออกมาเสียด้วยซ้ำ นี่มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว พวกเขาติดตามองค์หญิงนาตาชามาเป็เวลานานแล้ว องค์หญิงนาตาชาถูกพวกขุนนางชั้นสูงของเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กแอบตั้งฉายาว่า ‘ปีศาจน้ำแข็ง’ ใครจะเคยเห็นองค์หญิงแสดงท่าทางเป็เด็กๆ แบบนี้ได้อย่างไรกัน?
น่าเสียดายที่ซุนเฟยไม่ได้รู้เื่ด้วย
เขายังคงหั่นเนื้อย่างจิ้มน้ำผึ้งแล้วนำมาวางบนจานของตัวเอง ไม่แม้แต่จะเหลือบมองซุปข้าวโอ๊ตที่กระจายอยู่บนพื้น เขาส่งเนื้อย่างเข้าไปในปากพลางเคี้ยวกรุบๆ หน้าระรื่นต่อไป ราวกับจะบอกว่า อย่างไรข้าก็ดื่มไปแล้ว อยากจะเททิ้งก็ช่างเ้าสิ
องค์หญิงพลันชะงัก
จากนั้นนางก็ได้ทำเื่ที่ชวนให้พวกผู้คุ้มกันแทบจะกัดลิ้นอีกครั้ง นั่นคือการทำาแย่งเนื้อย่างกับซุนเฟย
ทั้งสองคนเริ่มทำ ‘าแย่งเนื้อย่าง’ กันดุเดือด
บางครั้งมีดในมือก็กระทบกันจนเกิดเสียงดังแกร๊งๆ เล็กน้อย องค์หญิงรูปร่างผอมบาง เรี่ยวแรงก็ไม่ค่อยมี เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้มีทักษะการต่อสู้อะไรเลย เหมือนคนอ่อนแอธรรมดาทั่วไป ไม่สิ ถ้าพูดให้ถูกต้องหน่อยคือ ควรบอกว่าสภาพร่างกายของนางดูแย่กว่าคนทั่วไป เหมือนนางกำลังป่วยอยู่
ผลของ ‘าแย่งเนื้อย่าง’ แน่นอนว่าเป็ซุนเฟยที่เป็ฝ่ายชนะ
เขาประสบความสำเร็จในการแย่งขาหมูย่างถึงสามในสี่ส่วนมาไว้ในจานของเขา ส่วนในจานขององค์หญิงนาตาชามีเพียงเนื้อหมูหนึ่งส่วนแปด และอีกเจ็ดส่วนที่เหลือถูกซุนเฟยแย่งไปหมด
ต่อมา ทั้งสองคนก็ไม่มีใครพูดกัน ได้แต่เริ่มจ้องตากันขณะที่ทานเนื้อ
คราวนี้องค์หญิงเป็ฝ่ายชนะ แม้ว่าซุนเฟยจะทานเร็วแต่ด้วยความตะกละที่แย่งเนื้อไปเยอะทำให้ใช้เวลานานพอสมควร หลังจากที่องค์หญิงทานอาหารเสร็จก็จ้องหน้าซุนเฟยเขม็งก่อนจะยืดส้อมออกไปฉกอาหารจากจานของซุนเฟยมา กิ๊งๆๆ เสียงกระทบกันของมีดและส้อมก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ฟังไปฟังมาก็เพราะหูไปอีกแบบ
เหล่าผู้คุ้มกันที่ซ่อนตัวอยู่ตอนนี้สมองพลันว่างเปล่า
เขาไม่กล้าเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็น ‘ปีศาจน้ำแข็ง’ ที่มักจะแผ่ความเยือกเย็นสูงศักดิ์อยู่เสมอ ตอนนี้ได้หายไปแล้ว เหลือเพียงหญิงสาวที่มีอารมณ์แบบเด็กๆ ตรงหน้าที่ ‘เล่นสนุก’ กับองค์าาน้อยคนนี้ คนตรงหน้ายังเป็องค์หญิงเ้าแผนการที่มีความคิดลึกล้ำดุจทะเล หนึ่งคำพูดสามารถช่วยชีวิตผู้คนได้นับพันนับหมื่น หนึ่งความคิดสามารถทำลายตระกูลขุนนางชั้นสูงของราชอาณาจักร หนึ่งวาจาสามารถทำให้นักรบระดับจันทราผู้แข็งแกร่งต้องยอมถอย หนึ่งอุบายสามารแก้ไขวิกฤตของราชอาณาจักร เด็กคนนี้เป็คนเดียวกับ ‘นักบุญหญิง’ แห่งราชอาณาจักรจริงหรือ?
แต่ซุนเฟยรู้ที่ไหน
เขาแค่รู้สึกว่าองค์หญิงองค์นี้ช่างน่าสนใจนัก
หลังมื้ออาหารผ่านไป ซุนเฟยกวาดสายตามองผู้หญิงตรงหน้า สีหน้าของซุนเฟยสีหน้าค่อยๆ เข้มขึ้น ก่อนจะจ้องเขม็งไปที่ใบหน้าขององค์หญิง แล้วถามอย่างสงสัยว่า “เ้าป่วย?”
ประโยคนี้ฟังดูเหมือนจะแช่ง
องค์หญิงเพียงขมวดคิ้วก่อนดวงจะเป็ประกายแวบหนึ่ง
ในตอนนี้ ซุนเฟยก็พลันรู้สึกเหมือนเห็นภาพลวงตาที่ผู้หญิงตรงหน้าพลันเปลี่ยนเป็อีกคน ไม่ใช่ผู้หญิงที่ตัวเองหยอกล้อเล่นด้วยเหมือนสหายเก่าเมื่อครู่นี้ แต่เป็อีกคนที่เ็าเหมือนน้ำแข็งและสามารถควบคุมความเป็ความตายของผู้คนนับพันนับหมื่นได้เพียงความคิดเดียว
“องค์าาอเล็กซานเดอร์ ที่ข้าสั่งให้ซูซานไปเชิญเ้ามา ก็เพื่ออยากจะถามว่า พิธีแต่งตั้งในอีกสามวันหลังจากนี้ เมืองแซมบอร์ดเตรียมพร้อมอะไรบ้าง?” น้ำเสียงขององค์หญิงก็ค่อยๆ ฟื้นความเยือกเย็นกลับมา จนดูเหมือนคนแปลกหน้าที่กำลังจ้องมาที่ซุนเฟยอย่างเ็า เผยให้เห็นถึงศักดิ์ศรีที่น่าเกรงขามขององค์หญิงแห่งราชอาณาจักร
ซุนเฟยได้ยินก็พลันหัวเราะออกมา จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนบิดี้เี
“การเตรียมพิธีาาภิเษก...อืม ก็ทำๆ อยู่ แต่เื่นี้ข้าเองก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไร เดี๋ยวให้ข้ากลับไปบอกให้เลขานุการเบสท์ที่รับผิดชอบหน้าที่นี้มารายงานองค์หญิงแล้วกันนะ ฮิๆ อย่างไรก็ตามแต่ พวกเ้าก็คงคุ้นเคยกันดี ทั้งยังรู้จักกันมาก่อน”
ซุนเฟยเป็ประเภทพวกมีเหตุผล เมื่อเห็นองค์หญิงเริ่มเป็งานเป็การก็รู้แล้วว่าไม่ควรล้อเล่น พูดตามตรง เขาไม่ได้สนใจราชอาณาจักรเซนิทมากนัก จึงตอบกลับไปด้วยประโยคดูี้เีแล้วหันหลังเดินจากไป
“บังอาจ!”
“โอหัง!”
เสียงเสื้อผ้าเสียดสีกับอากาศดังซวบซาบ ก่อนที่ผู้คุ้มกันที่สวมชุดเกราะสีม่วงสี่คนจะกระโจนออกมาเพื่อขวางทางซุนเฟย คนเหล่านี้มีความสูงและน้ำหนักแทบจะไม่แตกต่างกันเลย บนร่างกายสวมชุดเกราะสีม่วงพลางชักกระบี่ออกมาครึ่งฝัก ประกายแสงกระบี่เย็นะเืสาดส่อง คลื่นพลังพลุกพล่านอยู่ในร่าง ระดับพลังของทุกคนอย่างน้อยๆ อยู่ในระดับสองดาว่ปลาย
“ไอ้คนป่าเถื่อนไม่รู้ความ ยังไม่รีบคุกเข่าขออภัยจากองค์หญิงอีก?” ผู้คุ้มกันคนหนึ่งะโออกมา ดวงตาเ็าจ้องไปที่าาอาณาจักรเล็กๆ ที่รนหาที่ตาย ดูเหมือนว่าตราบเท่าที่เขามีการเคลื่อนไหวแปลกเพียงเล็กน้อย พวกเขาก็พร้อมที่จะชักกระบี่มาสังหารทันที
“ฮ่าๆๆ อาศัยแค่พวกเ้ามาขวางข้าคงขวางไว้ไม่ได้หรอก”
ซุนเฟยยักคิ้ว แรงกดดันที่ยิ่งใหญ่กว่าได้ไหลออกจากร่างกายของเขา แรงกดดันที่มองไม่เห็นประหนึ่งูเากำลังกดทับร่างของผู้คุ้มกันเกราะสีม่วงทั้งสี่คน อย่าว่าแต่จะให้ผู้คุ้มกันชักดาบออกมาเลย แค่จะขยับก็ขยับไม่ได้ จะพูดยังลำบากเลย หายใจก็ไม่กล้า
“ช่างเถอะ...ให้เขาไป!”
เหตุการณ์ทุกอย่างอยู่ภายใต้การเฝ้ามองอย่างเงียบๆ ขององค์หญิง นางโบกมือให้พวกผู้คุ้มกันของตัวเองถอยไป
ในขณะเดียวกัน ซุนเฟยก็แสยะยิ้มก่อนจะระงับกลิ่นอายดุดันของตัวเอง
ผู้คุ้มกันเกราะม่วงก็พลันรู้สึกหายใจสะดวกขึ้น แรงกดดันก็พลันหายไป สีหน้าดูตกตะลึงยามที่มองอีกฝ่าย พวกเขาคาดไม่ถึงว่าาาอาณาจักรเล็กๆ ที่เหมือนมดปลวกในสายตาของตัวเองก่อนหน้านี้ ความจริงแล้วจะมีพลังที่น่าเกรงขามแบบนี้ หากเขาลงมือจริงๆ เกรงว่าแม้แต่สหายทุกคนที่กำลังหลบซ่อนอยู่ในลานเล็กๆ แห่งนี้ก็ไม่อาจเป็คู่มือของาาคนนี้ได้ ยกเว้นแต่คนคนนั้นจะเป็คนลงมือ...ทั้งสี่คนต่างโค้งกายให้องค์หญิงก่อนจะหายวับไปจากลานเล็ก
ซุนเฟยก็เดินออกไป
เดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็นึกอะไรบางอย่างได้ ทันใดนั้นเขาก็หยุดเดินก่อนจะโยนขวดเล็กๆ สีม่วงหนึ่งขวดไปตกอยู่บนพื้นหญ้าด้านหน้าขององค์หญิง จากนั้นก็เดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
“องค์หญิงผู้ส่งส่ง เ้าคงป่วยหนักไม่น้อยจริงๆ ดูเหมือนจะทนไปได้อีกไม่นาน ถือว่าตอบแทนที่เ้าทานอาหารเย็นกับข้าในวันนี้ ลองดื่มน้ำยาขวดนี้ดู บางทีมันอาจจะช่วยเ้าได้บ้าง”
นี่เป็ประโยคสุดท้ายที่ซุนเฟยทิ้งไว้
-------------------
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้