หลัวเลี่ยซึ่งกำลังถูกคุกคามมองไปยังอัจฉริยะหนุ่มนับพันที่อยู่ตรงหน้าเขา และความโกรธที่เพิ่งบรรเทาลงก็แผดเผาจิตใจเขาอีกครั้ง
เขายืนอยู่หน้าสังเวียนับรรพชนและมองดูกลุ่มอัจฉริยะอย่างเ็า “ทั่วทั้งดินแดนเหยียนหวงไม่ใช่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์เพียงเผ่าพันธุ์เดียวที่อาศัยอยู่ แต่เผ่าพันธุ์ของเ้าที่อยู่ในทะเลมักจะอวดอ้างความภาคภูมิใจและศักดิ์ศรีของนักรบ เ้ากล่าวอ้างตนว่าเป็นักรบ แต่กลับเหยียดหยามเผ่าพันธุ์มนุษย์โดยไม่รู้ว่านักรบที่แท้จริงคืออะไร”
“ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว ไม่ใช่ว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ไร้ความสามารถ แต่เป็เ้าที่สกปรกเกินไป”
“และข้าก็เข้าใจเจตนาของ์แล้ว”
“บางคนอ้าปากอวดอ้างศักดิ์ศรีและปิดปากผู้อื่นด้วยความหยิ่งยโส ั้แ่ยุคจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ยังไม่ถือกำเนิด ข้าลองคิดดูแล้ว ภายนอกเ้าแกล้งทำเป็มนุษย์แต่ภายในไม่ต่างจากเดรัจฉาน สกปรกและไร้ยางอาย”
การเยาะเย้ยที่ไร้ยางอายอย่างยิ่ง ทำให้อัจฉริยะมากกว่าหนึ่งพันคนเหล่านี้ไม่พอใจ
หลงไป๋จางและอัจฉริยะรุ่นเยาว์อีกสี่คนดูโกรธเคือง ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยถือว่าตัวเองเป็นักรบ แต่ตอนนี้พวกเขาคุ้นเคยกับการวางแผนต่อสู้ อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่สามารถละทิ้งสมบัติล้ำค่าได้ ดังนั้นพวกเขาจึงเงียบและไม่ได้หยุดเขา
ตอนนี้เ้าไร้ยางอายแล้ว เรามาไร้ยางอายกันจนจบก็ได้
หลงจวินผู้ดูแลเหล่าอัจฉริยะนับพันนี้กระตุกมุมปาก เขากำหมัดแน่น อดทนกับความโกรธ และกล่าวอย่างเ็าว่า “เ้าก็ไม่ใช่คนบ้าเช่นกันหรือ หากเ้ากล้าบ้าบิ่นก็มาสู้กับเรา หากไม่กล้าก็เอาสมบัติมา”
“ที่กล่าวไปทั้งหมดนี้ไม่ได้ทำให้พวกเ้าเกิดความละอายใจบ้างเลยหรือ?” หลัวเลี่ยกล่าว
“หากเ้ายอมมอบสมบัติในมือเ้าให้ข้า เ้าก็ไม่จำเป็ต้องสู้” หลงจวินยืนยัน
อัจฉริยะนับพันคนสร้างแรงกดดันที่น่าทึ่ง น้ำทะเลที่สั่นไหวไหลล้นออกไปด้านนอกเป็วงกลม ทำให้เกิดกระแสน้ำวนในทะเลขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นด้านล่างพวกเขา
“สู้หรือไม่?”
“สู้”
“พวกเ้าเต็มใจสู้หรือไม่?”
“สู้”
แรงกดดันของอัจฉริยะนับพันเหล่านี้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าพวกเขา้าทำลายความมั่นใจของหลัวเลี่ยทุกครั้งที่เปล่งเสียงออกมา
หลัวเลี่ยหายใจเข้าลึกๆ แล้วหายใจออกยาวๆ เสียงของเขาไม่ดังและเขากล่าวด้วยน้ำเสียงสงบ “ถ้าอยากสู้ก็สู้”
หลัวเลี่ยผู้ที่ยังคงสงบนิ่งราวกับผิวน้ำทะเลที่ไร้คลื่น และจู่ๆ ก็กลายเป็พายุลูกใหญ่ ร่างกายของเขาลอยขึ้น คลื่นพลังอันรุนแรงกวาดไปทุกทิศทางทำให้น้ำทะเลปั่นป่วน และทำให้พื้นที่ว่างกลางอากาศแตกร้าวและบิดเบี้ยว
แสงของจักรพรรดิัสีม่วงทองเปล่งประกายเจิดจ้าทะยานตรงสู่ท้องฟ้าส่องสว่างในรัศมีหนึ่งลี้เป็สีม่วงทอง
ับรรพชนตัวน้อยบินออกมาอีกครั้ง และขยายใหญ่ขึ้นจนมีขนาดถึงหนึ่งร้อยจั้ง ด้านหลังหลัวเลี่ยมีัศักดิ์สิทธิ์ตัวใหญ่ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า และคำรามอย่างภาคภูมิใจไปทั่วโลก
เสื้อคลุมของวีรบุรุษปลิวไปตามสายลม และมีลายัสีทองที่ขอบเหมือนัแกว่งไปรอบๆ
หลัวเลี่ยเหยียดมือออกในลักษณะที่เปิดกว้าง และเสียงของเขาก็เหมือนกับเสียงศักดิ์สิทธิ์ที่พุ่งลงมาจากท้องฟ้า
“น้ำในแม่น้ำเหลืองพุ่งขึ้นมาจากท้องฟ้าและไหลลงสู่ทะเลอย่างไม่มีวันกลับ!”
ตูม!
พลังน้ำแห่ง์และปฐีะเิออก
ด้วยััสีทองในน้ำที่ไหลเชี่ยวเหมือนกับทางช้างเผือกที่ไหลลงมาจาก์ทั้งเก้า และเหมือนดาวหางที่กระทบพื้น จากัตัวน้อยถูกขยายส่วนจนกลายเป็ัที่แท้จริงขนาดมหึมา
พลังัที่ไร้ขอบเขตและแรงกดดันที่น่าใ ทำให้หลัวเลี่ยสามารถระงับแรงกดดันของอัจฉริยะหนุ่มนับพันที่อยู่ตรงหน้าเขาด้วยตัวเอง ราวกับว่าเขาเป็คนเดียวที่พื้นที่ในรัศมีหนึ่งลี้
“พวกเรามีอัจฉริยะนับพันคนจะกลัวเ้าได้อย่างไร” หลงจวินก็ก้าวออกมาเช่นกัน เสียงของเขากังวานราวกับระฆัง “พวกเราทุกคน จัดการหลัวเลี่ยซะ”
อัจฉริยะนับพันคนต่างส่งเสียงร้องอย่างดุเดือด
ลมปราณที่หลากสีสัน เช่น แดง ส้ม เหลือง เขียว น้ำเงิน และม่วง พุ่งออกมาจากร่างกายของพวกเขา โดยมีหลงจวินเป็ผู้นำ ลมปราณที่พวกเขาสร้างขึ้นมานั้นกลายเป็โลกใบหนึ่งที่มีูเา แม่น้ำ ท้องฟ้า และผืนดิน มันคือความมหัศจรรย์
หลงจวินะโ “โลกนี้มีพลังปราณให้ใช้ไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อมันเพิ่มขึ้น มันก็จะกลายเป็ปราณั กลืนกิน์และปฐี เมื่อมันตกลงมา มันก็จะกลายเป็แม่น้ำและทะเล”
“ระหว่างทางสู่์ ชีวิตและความตาย การเปลี่ยนแปลง เื่ราวระหว่างการก้าวข้ามและเกิดใหม่”
“นี่คือสิ่งที่เรียกว่าทักษะอันยิ่งใหญ่แห่งทะเลทั้งสี่...ปราณเดียวเคลื่อนูเาและแม่น้ำ!”
ลมปราณหลากสีสันยังคงเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ในขณะที่หลงจวินะโเสียงดัง มันพัฒนาไปสู่วงจรแห่งชีวิตและความตาย
เมื่อหลงจวินยกมือขึ้น ลมปราณอันไม่มีที่สิ้นสุดได้ล้อมรอบสิ่งมหัศจรรย์ของ์ปฐี และผู้คน กลายเป็มือที่เคลื่อนูเาและแม่น้ำ กำหนดจักรวาล ทำลายอวกาศ และสังหารหลัวเลี่ยด้วยพลังอันไม่มีที่สิ้นสุด
พลังนี้น่าประหลาดใจ และผลที่ตามมาของพลังนั้นทำให้อัจฉริยะรุ่นเยาว์ทั้งสี่คน รวมถึงหลงไป๋จางได้รับผลกระทบ จนต้องกระเด็นออกไปคนละทิศทาง
แม้ว่าพวกเขาจะเป็เผ่าพันธุ์เดียวกัน แต่การรวบรวมปราณแตกต่างกัน หลายคนยังไม่เข้าใจ และไม่สามารถร่วมกันกระตุ้นพลังปราณของ์และปฐีเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของพวกเขา อย่างไรก็ตาม ในบรรดาอัจฉริยะรุ่นเยาว์นับพันคน ระดับที่ต่ำที่สุดอยู่ใน่เริ่มต้นของระดับหยินหยาง และระดับสูงสุดจะอยู่ใน่ปลายของระดับหยินหยาง ความแข็งแกร่งและความกล้าหาญในการต่อสู้ของพวกเขานั้นน่าประทับใจ และพลังโดยรวมของพวกเขาสามารถกล่าวได้ว่าพลิกปฐี
“์และปฐีมีกฎระเบียบ พระอาทิตย์และพระจันทร์ล้วนโคจรไปตามกฎ ถ้าข้า้าเปลี่ยนแปลงมัน ข้าทำได้เพียงโค่นท้องฟ้าและแหกกฎเท่านั้น ทว่าก็ทำได้ไม่ยาก แค่นิ้วเดียวก็เพียงพอ!” หลัวเลี่ยค่อยๆ ยกมือขวาขึ้น และขยับนิ้วทั้งสี่ของเขา
เขางอนิ้วลง มีเพียงนิ้วชี้เท่านั้นที่เหยียดตรง และชี้ไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า
นี่คือการเคลื่อนไหวพิเศษที่สงบเสงี่ยมอย่างแท้จริง และยังเป็การเคลื่อนไหวพิเศษที่ดีที่สุดจากสำนักกวงเฉิงจื่อที่เขาไม่เคยใช้มาก่อน...ดัชนีพลิกฟ้า!
ดัชนีพลิกฟ้าสามารถใช้งานได้โดยพลังของระดับแก่น์เท่านั้น
ตอนนี้หลัวเลี่ยอยู่ในขั้นปลายของระดับหยินหยางแล้ว และอยู่ห่างจากระดับแก่น์เพียงก้าวเดียว แม้ว่าจะมีช่องว่าง แต่เขาก็ยังได้รับพรจากพลังของ์และปฐี
ธาตุน้ำระดับทองแดงทำให้เขามีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นหกเท่าจากภายในสู่ภายนอก ซึ่งอยู่ไกลเกินกว่าระดับแก่น์ทั่วไปแล้ว
แรงกดดันที่ปล่อยออกมาจากมงกุฎจักรพรรดิั พลังที่เพิ่มขึ้นของับรรพชนตัวน้อย ร่างกายที่ไม่มีใครเทียบได้ซึ่งมาจากทักษะแรกทั้งสอง และพลังงานที่ได้รับแรงบันดาลใจจากความพยายามทั้งหมด เมื่อทุกสิ่งรวมกันทำให้่เวลานี้รุ่งโรจน์และเจิดจ้าถึงขั้นสูงสุด
“หากจะพลิกโลก แค่นิ้วเดียวก็เพียงพอ!”
เสียงอันเคร่งขรึมของหลัวเลี่ยดังก้องไปทั่วท้องฟ้า
เขาเหยียดนิ้วออก และทันใดนั้น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวที่สว่างไสวแต่เดิมก็อ่อนแสงลง ราวกับว่าพลังทั้งหมดภายในรัศมีสิบลี้ถูกรวบรวมไว้ที่นิ้วของเขา ก่อตัวเป็นิ้วที่มีความยาวหนึ่งร้อยจั้ง กล่าวให้ถูกคือปลายนิ้วยาวถึงหนึ่งร้อยจั้ง
ตอนนี้เขาสามารถใช้วิชาดัชนีพลิกฟ้าได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
แต่ครึ่งเดียวก็เพียงพอแล้ว
ปลายนิ้วขนาดหนึ่งร้อยจั้งทะลุผ่านเวลาและพื้นที่ ทำลายความเข้าใจของผู้คนเกี่ยวกับทักษะการต่อสู้โดยสิ้นเชิง นิ้วนั้นปะทะกับฝ่ามือขนาดใหญ่ที่เกิดจากพลังของคนนับพันที่ร่วมมือกันเพื่อเคลื่อนูเาและแม่น้ำ
เมื่อทั้งสองฝ่ายปะทะกัน แรงปะทะที่เกิดขึ้นก็เหมือนความฝัน และต่างฝ่ายต่างก็กระจัดกระจายไปพร้อมๆ กัน
เป็พลังที่เท่าเทียมอย่างแท้จริง
ดวงตาของหลงไป๋จางและอัจฉริยะหนุ่มอีกสี่คนแทบจะทะลักออกมาจากเบ้าตาของพวกเขา พวกเขามองหลัวเลี่ยราวกับว่าเขาเป็สัตว์ประหลาด พวกเขาพยายามกลืนน้ำลาย และพบว่ามันแห้งจนไม่มีน้ำลายในปาก พวกเขารู้สึกตกตะลึงกับการปะทะกันครั้งนี้จนพูดไม่ออก
“อัจฉริยะหลายพันคนร่วมมือกัน แต่หลัวเลี่ยเพียงคนเดียวกลับมีพลังเทียบเท่ากับพวกเขาทั้งหมด” หลงไป๋จางมองดูหลัวเลี่ยด้วยความไม่เชื่อ และกล่าวน้ำเสียงสั่นเทาว่า “หลัวเลี่ย เ้ายังเป็มนุษย์อยู่หรือไม่?”