แต่ละคนถูกขานชื่อให้ออกมารับค่าแรงของตนเอง
คนในหมู่บ้านเขาหมีรู้ดีกันอยู่แล้วว่าคนสกุลลู่ใจกว้าง พวกเขาซาบซึ้งและคิดว่าต่อไปจะดีกับสกุลลู่ให้มากๆ เห็นสกุลลู่เป็คนในครอบครัวจริงๆ ของตนเอง แต่ก็แค่นั้น
พวกนายช่างที่มาสร้างเรือนพวกนั้นต่างหากที่ซาบซึ้งใจอย่างสุดประมาณ เมื่อก่อนเวลารับจ้างก่อสร้างที่อื่น อาหารที่ผู้ว่าจ้างเลี้ยงนั้นหากพูดหยาบๆ หน่อยก็ราวกับข้าวหมูก็ไม่ปาน และมักจะได้ค่าแรงไม่ครบอีกด้วย ไม่เหมือนสกุลลู่ที่ให้กินดีอยู่ดี ก่อนหน้านี้พวกเขาก็แค่ช่วยถือขวานยืนขับไล่ผู้บุกรุก ยังได้ค่าแรงเพิ่มเป็ค่าตอบแทนด้วย เหล่านี้ล้วนเป็เื่เหนือจินตนาการสำหรับพวกเขา
ทุกคนพากันขอบคุณพวกเสี่ยวหมี่ ลู่เสี่ยวหมี่เห็นว่าพวกนายช่างผมขาวกันหมดแล้ว ยังมาค้อมเอวต่ำให้นางอีก นางจึงรีบเอ่ยปฏิเสธอย่างเกรงใจ ขณะเดียวกันก็รีบเร่งรัดท่านป้าหลิวให้ยกอาหารเข้ามาเสียที
พวกเด็กๆ ร้อนใจอยากได้ของรางวัล พากันมาล้อมเสี่ยวหมี่เอาไว้อย่างแ่าเสี่ยวหมี่หัวเราะหยอกล้อกับพวกเขาอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงมอบอุปกรณ์เครื่องเขียนกับผ้าใหม่ให้คนละพับ พวกเด็กๆ โห่ร้องอย่างดีใจ ตามมาด้วยเสียงขอให้มารดาทำกระเป๋า ทำเสื้อผ้าใหม่ให้ดังขึ้นไม่ขาด...
หน้าเพิงทำอาหารมีโต๊ะจัดวางไว้ถึงสิบตัวเต็มๆ บุรุษน้อยใหญ่ในหมู่บ้านเขาหมี พวกนายช่างที่ถูกว่าจ้างมา รวมทั้งเถ้าแก่เฉินและเด็กรับใช้ของเขาต่างก็นั่งลงด้วยกัน
กับข้าวสี่อย่าง น้ำแกงหนึ่งอย่าง ข้าวสวยถ้วยใหญ่ ทุกคนกินอย่างพออกพอใจ
บิดาลู่นำพี่ใหญ่ลู่และพี่รองลู่ไปคารวะสุราทุกโต๊ะ ตอนที่เดินกลับมาจึงมีอาการโซเซเล็กน้อย
พี่รองลู่จึงแบกบิดากลับเรือนไปนอนพักบนเตียง เสี่ยวหมี่ขอให้ท่านป้าหลิวต้มน้ำแกงสร่างเมาให้ ส่วนนางเดินไปหานายช่างที่มาสร้างบ้านเพื่อนัดแนะพวกเขา ้าจะว่าจ้างพวกเขาให้มาสร้างโรงเก็บแป้งให้นาง
นายช่างแซ่หม่ากำลังรู้สึกเศร้าที่งานเสร็จสิ้นลงแล้วอยู่พอดี เขาคิดว่าคงจะไม่ได้มาทำงานที่สกุลลู่อีกแล้ว เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็ตอบรับอย่างดีใจ
หากไม่ใช่เพราะไม่ได้กลับบ้านมานานนับเดือน เขาคงอยากจะอยู่ทำงานต่อเลยไม่จากไปไหน
ตอนบ่ายยามที่พวกเขาแยกย้ายกันกลับไป เสี่ยวหมี่ยังไม่ลืมให้ของฝากพวกเขาเป็มันฝรั่งคนละตะกร้ากลับไปด้วย ทุกคนจึงจากไปโดยมีรอยยิ้มประดับเต็มหน้า
กลางดึกคืนนั้นมีงานเลี้ยงดื่มสุราเล็กๆ น้อยๆ ที่บ้านใหม่ ถือว่าเป็พิธีขึ้นบ้านใหม่ที่จัดกันอย่างอบอุ่นเฉพาะคนสกุลลู่และเพื่อนบ้านที่สนิทสนม
เสี่ยวหมี่ ท่านป้าเจียง และท่านป้าหลิวรับหน้าที่เข้าครัว ส่วนเสี่ยวเอ๋อยังคงยิ่งช่วยยิ่งยุ่งเช่นเดิม สุดท้ายก็ตั้งโต๊ะรับประทานอาหารกันง่ายๆ สองโต๊ะ พอดีพวกเสี่ยวเตาที่กลับจากลาดตระเวนก็มาร่วมวงด้วย
พวกเฝิงเจี่ยนที่เพิ่งจัดเก็บข้าวใหม่เสร็จเดินผ่านมาก็เข้ามาร่วมวงด้วยเช่นกัน โดยเขาถูกเรียกไปนั่งที่โต๊ะหลัก
คนสกุลลู่เดิมทีก็เห็นพวกเฝิงเจี่ยนเป็เหมือนครอบครัวเดียวกันอยู่แล้ว จึงไม่รู้สึกผิดแปลกอะไรที่จะให้มากินอาหารขึ้นบ้านใหม่ด้วยกันที่โต๊ะนี้
แต่ตัวหลิวเสี่ยวเตานั้นหลังจากที่ดื่มสุราไปสองถ้วย สายตาที่มองไปยังโต๊ะหลักกลับไม่ปกติ เสี่ยวหมี่ยุ่งอยู่กับการเติมสุราอาหารให้ทุกคน เมื่อมาเติมสุราให้เถ้าแก่เฉินก็ถูกเขารั้งไว้
“เสี่ยวหมี่ นั่งพักหน่อยเถอะ พอดีข้าเองก็มีเื่จะพูดกับเ้า”
เสี่ยวหมี่แย้มยิ้มส่งไหสุราในมือตนให้ท่านป้าหลิว แล้วจึงนั่งลงข้างเฝิงเจี่ยนถามว่า “ท่านลุงเฉิน ตอนกลางวันไม่ใช่ว่าวัดขนาดบ้านไปเสร็จแล้วหรือเ้าคะ? หรือว่าพี่เยว่เซียน้าสิ่งใดเป็พิเศษ?”
“ไม่มีๆ” เถ้าแก่เฉินโบกมือปฏิเสธเป็พัลวัน เกรงว่าคนสกุลลู่จะเข้าใจบุตรสาวตนผิดไป อีกอย่างสกุลลู่ก็ทำดียิ่งนักแล้ว หากพวกเขาสกุลเฉินยังหาเื่ติอีก เช่นนั้นก็นับว่าไม่รู้ความอย่างยิ่งแล้ว
“พี่เยว่เซียนของเ้านางเป็คนง่ายๆ รู้ว่าพวกเ้าสร้างบ้านใหม่ ก็ยังห่วงว่าพวกเ้าจะเหนื่อยเกินไป ยังฝากข้ามาบอกว่านางขอแค่พออยู่ได้ก็พอแล้ว”
ใครๆ ก็ชอบคนปากหวาน เสี่ยวหมี่เองก็เช่นกัน อย่างไรเสียเฉินเยว่เซียนก็จะเข้ามาเป็สะใภ้ใหญ่ของสกุลลู่ หากว่าเป็คนคิดเล็กคิดน้อยและช่างติ เกรงว่าวันหน้าคงจะอยู่ด้วยกันยาก
“พี่เยว่เซียนเกรงใจแล้ว อยากจะสู่ขอเฟิ่งหวงทองคำมาไว้ที่บ้าน เราก็ต้องเตรียมปลูกต้นอู๋ถง [1] ไว้ก่อนสิเ้าคะ”
เสี่ยวหมี่เองก็ปากหวาน เถ้าแก่เฉินได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มแย้มไปถึงดวงตา “พูดตามจริง เ้าต่างหากที่เป็เฟิ่งหวงแห่งหมู่บ้านเขาหมี หรือพูดให้ถูกก็คือของอันโจวแห่งนี้ พี่เยว่เซียนของเ้าอย่างมากก็เป็ได้แค่นกยูงทองคำเท่านั้น”
ทุกคนพากันหัวเราะออกมา “เสี่ยวหมี่เป็เด็กดี เยว่เซียนเองก็เป็แม่นางที่ยอดเยี่ยม เมื่อแต่งมาแล้วเชื่อว่าวันหน้าก็คงเป็สะใภ้ที่ดีแห่งหมู่บ้านเขาหมีเช่นกัน”
คุยเล่นกันอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเถ้าแก่เฉินก็พูดเื่จริงจังขึ้นมา “ลูกชายคนโตของข้าส่งจดหมายมาจากเมืองหลวง สอบถามเื่ตุ๊กตาชุดที่สองว่าจะส่งของไปเมื่อใดหรือ บรรดาคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ส่งคนมาถามเขาไม่เว้นแต่ละวัน”
่ก่อนหน้านี้สกุลลู่สร้างสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ไปหลายอย่าง เรียกได้ว่าจ่ายออกไปเยอะแต่หาเงินได้น้อย แน่นอนว่าเสี่ยวหมี่เห็นการขายตุ๊กตาพวกนี้เป็ช่องทางหาเงินที่สำคัญ
เมื่อได้ยินเถ้าแก่เฉินเอ่ยเร่งรัด ก็ตอบว่า “ท่านลุงเฉินวางใจ ข้าเตรียมการไว้หมดแล้ว เพียงแต่ตอนนี้เรายังไม่ได้หนังใหม่ๆ มาเลย ต้องรออีกครึ่งเดือน”
“เช่นนี้เองหรือ เช่นนั้นข้าจะเขียนจดหมายไปแจ้งซิ่นเกอร์ก่อน ให้เขาพอมีคำตอบให้ลูกค้า อีกอย่างซิ่นเกอร์ถามมาว่าฤดูกาลนี้จะผลิตเพิ่มสักหน่อยหรือไม่...”
“ไม่ได้ ท่านลุง เหตุผลเดียวกับที่ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกไป หากสามารถซื้อหาได้อย่างง่ายดาย เกรงว่าคุณหนูสูงศักดิ์เ่าั้คงไม่สนใจตุ๊กตาบ้านข้าหรอก”
“ก็จริง เป็ข้าที่โลภมากไปเอง”
ชายชราและเด็กสาวสนทนากันอย่างครึกครื้น คนในหมู่บ้านฟังอย่างตั้งอกตั้งใจเป็พิเศษ โดยเฉพาะพวกผู้หญิง อย่างไรเสียค่าแรงที่เสี่ยวหมี่ให้สำหรับทำตุ๊กตาก็เยอะทีเดียว อีกทั้งยังให้ผ้าพับใหม่ๆ เป็รางวัลอีกต่างหาก พวกนางแบ่งเงินค่าจ้างเข้ากองกลางให้ครอบครัวแล้ว ก็ยังเหลือเงินเก็บเป็เงินส่วนตัวอีกจำนวนหนึ่ง สตรีนางไหนจะไม่ชอบบ้าง
“อย่างไรเสียข้าวสาลีที่ปลูกไปก็ยังต้องรออีกพักหนึ่งกว่าจะเก็บเกี่ยวได้ ไม่สู้พรุ่งนี้ขึ้นเขาไปล่าสัตว์เสียเลย”
ท่านป้าหลิวตื่นเต้นจนทนไม่ไหวเอ่ยออกมา
สะใภ้คนอื่นที่ยามปกตินับว่าเป็พวกใจร้อนก็เอ่ยอย่างเห็นด้วยว่า “ใช่แล้ว เมื่อวานสามีข้ายังบอกว่า พวกสัตว์บนเขาผลัดขนกันเรียบร้อยแล้ว ยามนี้ถือเป็เวลาเหมาะสมที่สุดในการขึ้นเขาล่าสัตว์”
ท่านลุงหลิวดื่มสุราไปสองถ้วย ใบหน้าแดงก่ำน้อยๆ ได้ยินพวกผู้หญิงแย่งกันเอ่ยปากขึ้นมาก่อนเขา ก็เอ่ยตำหนิอย่างหงุดหงิดเล็กๆ “พวกผู้หญิงพูดอะไรไร้สาระ จะล่าสัตว์ต้องรอนายท่านเฝิงคำนวณวันออกมาก่อนถึงจะเริ่มได้”
ท่านป้าหลิวไม่ยอมเสียหน้า จึงถลึงตาใส่สามีตัวเองะโโต้ว่า “ไม่มีใครบอกว่าไม่เคารพนายท่านเฝิงสักหน่อย คำนวณวันง่ายดายจะตายไป เราส่งคนไปถามเสียเลยก็สิ้นเื่”
เสี่ยวเตาลุกขึ้นยืนทันที ตอบรับว่า “ท่านแม่ ท่านรอสักครู่ ข้าจะไปถามเดี๋ยวนี้”
ตอนที่เขาพูดก็มีเด็กหนุ่มคนอื่นที่ใจร้อนผุดลุกขึ้นวิ่งหายไปพร้อมกับเสี่ยวเตาเช่นกัน
ท่านป้าหลิวได้ใจ อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “พวกเ้าดูสิ ผู้หญิงอย่างเราอย่างไรก็ต้องคลอดลูกชายถึงจะดีที่สุด วันหนึ่งสามีตายไปแล้วจะได้พึ่งพาลูกชาย”
ท่านลุงหลิวดื่มสุราที่เหลืออยู่อีกครึ่งถ้วยลงไปจนหมด เขาโต้กลับว่า “ไม่มีข้า แล้วเ้าจะไปคลอดลูกชายกับใคร”
ทำให้ทุกคนพากันหัวเราะเสียงดังลั่น “ได้ยินว่าเมื่อก่อนนี้ท่านป้าหลิวถือเป็ดอกไม้งามของหมู่บ้าน หากไม่ใช่เพราะแต่งมาอยู่ที่หมู่บ้านเขาหมี เกรงว่าคงได้แต่งเข้าตระกูลใหญ่ๆ ไปแล้ว”
“นั่นน่ะสิ ดันมาแต่งกับเ้าท่อนไม้นี่ จนต้องมาลำบากอยู่อย่างนี้ไงเล่า”
ท่านป้าหลิวเอ่ยวาจาร้ายกาจ แต่มือกลับแย่งถ้วยสุราไปจากท่านลุงหลิว กลัวว่าเขาดื่มมากไปแล้วจะปวดหัวปวดท้องเอาภายหลัง
แน่นอนว่าทุกคนอดไม่ได้ที่จะล้อเลียนอย่างสนุกสนาน บรรยากาศครื้นเครงอย่างยิ่ง
ราวกับว่านายท่านเฝิงจะคำนวณวันไว้เรียบร้อยแล้ว รอเพียงให้พวกเด็กๆ ไปถาม เพียงไม่นานพวกเสี่ยวเตาก็วิ่งกลับมาพร้อมแสงแดดยามสนธยา
“นายท่านเฝิงบอกว่าพรุ่งนี้ก็สามารถเริ่มล่าสัตว์ได้แล้วขอรับ”
“ฮ่าฮ่า เช่นนั้นก็ดียิ่งนัก ข้าลับมีดดาบไว้พร้อมแล้ว ธนูก็ขึ้นสายใหม่แล้ว กำลังรอวันนี้อยู่เลย”
“นั่นน่ะสิ หากปีนี้โชคดี ล่าสัตว์ตัวใหญ่ๆ ได้ ปีนี้เราก็คงจะสบายกันแล้ว”
พวกผู้ชายเมื่อได้ยินว่าวันพรุ่งนี้สามารถเริ่มล่าสัตว์ได้แล้วก็พากันตื่นเต้น ถึงแม้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาพวกเขาจะทำงานให้สกุลลู่จนไม่ขาดเงิน มีกินมีใช้ แต่นิสัยดั้งเดิมของนายพรานล้วนปรารถนาจะได้กลับสู่สังเวียนนักล่า
เสี่ยวหมี่กลัวว่าทุกคนจะตื่นเต้นกับสัตว์ป่าตัวใหญ่จนลืมนางไป รีบกำชับว่า “ท่านลุงท่านอาทั้งหลาย อย่าลืมล่าหนังสัตว์สีสวยกลับมาให้ข้าด้วยนะเ้าคะ ดีที่สุดก็เป็หนังกระต่ายสีขาวล้วน”
“ได้ พวกเราจำได้อยู่แล้ว ไม่มีทางลืมหนังสัตว์ของเ้าแน่นอน ก็แค่กระต่ายไม่กี่ตัวเท่านั้น เ้าวางใจเถอะ”
พวกผู้ชายโบกมืออย่างไม่คิดอะไร เสี่ยวหมี่คิดจะพูดอะไรต่อ แต่เฝิงเจี่ยนที่นั่งข้างๆ กลับคีบเห็ดชิ้นหนึ่งใส่ลงในชามข้าวของนาง กล่าวเสียงเบาว่า “วางใจเถอะ”
ยังไม่รอให้เขาพูดจบประโยค เสี่ยวเตาที่เอาแต่จ้องมาทางนี้ก็พูดออกมาเสียงดังว่า “น้องเสี่ยวหมี่ เ้า้าหนังของสัตว์ชนิดใดบ้าง ข้าจะล่ากลับมาให้เ้าเอง ได้ยินว่าหนังจิ้งจอกเหมาะจะเอามาทำเสื้อคลุมเป็อย่างยิ่ง ข้าจะล่ากลับมาให้เ้าแน่นอน”
คนในหมู่บ้านไม่มีกฎเกณฑ์เข้มงวดเื่แบ่งแยกชายหญิงอย่างคนในเมือง หากว่าหนุ่มสาวในหมู่บ้านเดียวกันสนิทชิดเชื้อถูกตาต้องใจ พวกพ่อแม่ก็ดีใจ อย่างไรเสียก็ถือว่าเห็นกันมาแต่เด็กๆ รู้จักภูมิหลังกันดี
แต่ยามปกติต่อให้พวกเด็กๆ จะรักชอบกัน อย่างมากก็แค่หน้าแดงเวลาสนทนากัน แอบมองกันไปมาเท่านั้น แต่ประเภทเสี่ยวเตาที่แสดงออกอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ ทั้งยังแสดงออกต่อหน้าทุกคนอย่างไม่ปิดบัง ก็ดูไร้มารยาทจนน่าใไปบ้าง
บิดาลู่สีหน้าดำคล้ำทันที ถึงเขาจะอนุญาตให้บุตรสาวทำอะไรก็ได้ตามใจ ให้เป็ผู้ดูแลบ้าน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้อื่นจะปฏิบัติต่อบุตรสาวของเขาอย่างไรก็ได้
พี่ใหญ่ลู่เองก็วางตะเกียบลงทันควัน ส่วนพี่รองลู่กลับไม่รู้เื่รู้ราวแม้แต่น้อย อีกทั้งตัวเขาเองก็ยังสนิทกับเสี่ยวเตาจนเรียกได้ว่าตอนเด็กๆ แทบจะสวมกางเกงตัวเดียวกันเติบโตขึ้นมา จึงะโออกมาว่า “เสี่ยวเตาอย่าให้มันมากนัก ฝีมือเ้ายังสู้ข้าไม่ได้เลย น้องหญิงข้าอยากได้ขนจิ้งจอกหนังจิ้งจอก ข้าล่าให้นางก็ใช้ได้แล้ว”
พูดจบก็รู้สึกว่าบรรยากาศเงียบแปลกๆ เขายังคิดจะพูดอะไรต่อ ก็ถูกพี่ใหญ่ห้ามไว้
ท่านลุงหลิวและท่านป้าหลิวร้อนใจอยากจะกลืนคำพูดเมื่อครู่ของบุตรชายให้หายไปเสียประเดี๋ยวนี้ ต้องยอมรับว่าเมื่อก่อนพวกเขาสามีภรรยาเองก็คิดอยากจะได้เสี่ยวหมี่มาเป็สะใภ้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีมานี้พวกเขาได้เห็นว่าเสี่ยวหมี่ทำให้สกุลลู่ที่ก่อนหน้านี้กินให้อิ่มยังลำบาก กลายมาเป็ตระกูลร่ำรวยเป็ที่รู้จักไปทั้งอันโจว ทั้งยังพาให้คนบนหมู่บ้านเขาหมีสิบแปดครอบครัวมีความเป็อยู่สุขสบายไปด้วย
ฝีมือระดับนี้ หากจะชมเชยคงบอกได้แค่ว่าเสี่ยวหมี่เฉลียวฉลาดเกินมนุษย์ แต่หากเป็คนที่ริษยานางสักหน่อยก็คงจะพูดว่านางเป็ ‘นางปีศาจ’ เสียมากกว่า
ตระกูลหลิวเล็กๆ ของพวกเขา อีกทั้งเสี่ยวเตาเองก็เป็แค่เด็กหนุ่มธรรมดา ย่อมไม่มีวาสนาจะแต่งเสี่ยวหมี่เข้าบ้านได้
เสี่ยวเตาถูกปฏิกิริยาของคนรอบตัวทำเอารู้สึกอยากยอมแพ้ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง เขากลับยิ่งเืร้อนขึ้นกว่าเดิม
เชิงอรรถ
[1] ต้นอู๋ถง(梧桐)เป็ไม้ชนิดหนึ่งที่นิยมนำมาใช้ทำเครื่องดนตรี ตำนานว่าไว้ว่าเป็ที่พำนักของเฟิ่งหวง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้