“ส่วนยานี้นำไปกลับต้มดื่ม เพื่อบำรุงร่างกายไม่ให้อ่อนเพลีย” พระสนมเจียวจินพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พลางหยิบห่อสมุนไพรที่ว่ายื่นให้กับเหิงเยว่
“เ้าค่ะ” หญิงสาวก้มรับคำอย่างอ่อนน้อม พร้อมกล่าวลาแล้วหันเดินกลับจวนในทันที ระหว่างสองเท้าก้าวเดินนั้นรู้สึกถึงความอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด นางหยุดเดินแล้วนึกบางอย่างอยู่ครู่หนึ่ง
“ข้าปวดเมื่อยเช่นนี้ องค์ชายรองคงปวดเมื่อยยิ่งกว่าหลายเท่านัก เช่นนั้นข้าควรตอบแทนเขาบ้าง” หญิงสาวยิ้มอ่อนทบทวน ก่อนรีบเร่งกลับเข้าจวนโดยเร็วที่สุด นางชำระล้างร่างกายจนสะอาดพร้อมหันมาเตรียมอุปกรณ์ ส่วนผสมต่าง ๆ เพื่อทำขนมถั่วดำถวายองค์ชายรอง
หลังจากตะวันคล้อยตกดินกินเวลาล่วงเลยไปเกือบค่อนคืน ในตำหนักขององค์ชายรองอันเงียบสงัด มีเพียงทหารเฝ้าหน้าตำหนักทำหน้าที่เป็ยามรักษาความปลอดภัย ส่วนร่างหนานอนทอดกายภายใต้ความมืดมิดด้วยความอ่อนเพลีย เพียงพริบตาเดียวแสงจากตะเกียงไฟก็สว่างวาบขึ้นพอให้เห็นราง ๆ เขารู้สึกเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างเดินเข้ามาใกล้ จึงลืมตาฝ่าความสลัวเพ่งพินิจดู ก่อนดวงตากลมจะเบิกกว้างขึ้นอย่างฉับพลัน
“องค์รัชทายาท!” องค์ชายรองเด้งตัวขึ้นจากที่บรรทม พลางยกมือขยี้ตา เพราะคิดว่านี่อาจเป็ความฝัน หลังจากตั้งสติพินิจมองพระพักตร์ขององค์รัชทายาทดีแล้ว รอยยิ้มแสดงความดีใจจึงเผยออกมา
“ท่านมาได้อย่างไร เป็ท่านจริง ๆ” องค์ชายรองเอื้อมมือัักายของโจวอี้เฟย เขารอเวลาองค์รัชทายาทเสด็จกลับนครใหญ่มานาน จนหลายครั้งถึงกับหมดกำลังใจไป เจิ้งหลี่หลุบตาต่ำลงก่อนสีหน้าอันแสนดีใจเมื่อครู่ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็เศร้าลง
“เหตุใดท่านจึงหายไปนานเช่นนี้”
“เจิ้งหลี่ ข้ารู้ว่าเ้ารู้สึกเช่นไร ใจเ้าอยากออกไปตามหาท่านผู้เฒ่าหานตงแทนข้า แล้วให้ข้าอยู่เพื่อเป็ขวัญกำลังใจแก่ขุนนางน้อยใหญ่ ข้ารู้ความหวังดีของเ้าดียิ่งกว่าใคร”
“เช่นนั้นแล้ว เหตุใดจึงหายไปไม่ส่งข่าวคราว”
“วันนี้ข้ามาเพื่อแจ้งข่าวแก่เ้า ว่าข้าตามหาท่านผู้เฒ่าหานตงพบแล้ว” หลังจากได้ยินดังนั้น องค์ชายรองจึงเงยพระพักตร์สบตาองค์รัชทายาท แววตาระริกสื่อถึงความหวังและความดีใจออกมา จนมิอาจจะเก็บอาการไว้ได้
“เช่นนั้นแล้ว ท่านก็มีโอกาสได้ฝึกพลังเวทขขั้นแปดสำเร็จ ในที่สุดท่านก็ทำได้ ข้าดีใจที่ท่านจะได้กลับมาดำรงตำแหน่งองค์รัชทายาทอย่างมั่นคง มิมีสิ่งใดทำให้ท่านกังวลใจได้อีก” องค์รัชทายาทพยักหน้าตอบรับ ทว่าสีหน้ายังคงเคลือบไปด้วยความกังวลหลายอย่าง คล้ายคนไม่สบายใจอยู่ตลอดเวลา
“เหตุใดท่านจึงทำสีหน้าเช่นนั้น มีสิ่งใดไม่เป็ไปตามประสงค์ฤาไม่” องค์ชายรองเดินตามองค์รัชทายาทไปนั่งยังโต๊ะไม้ ที่มีตะเกียงไฟตั้งอยู่พอให้แสงสว่างสาดถึง
“มีหลายสิ่งที่ต้องแลกกับการฝึกวิชาเวทขั้นแปด และที่ข้ามาวันนี้ก็เพื่ออยากฝากฝังบางอย่างไว้กับเ้า” องค์ชายรองตั้งใจฟังความประสงค์ของโจวอี้เฟยอย่างละเอียด
“ผลกระทบจากการฝึกเวทขั้นแปด นับจากเริ่มฝึกจนสำเร็จความจำของข้าจะค่อย ๆ หายไปจนหมด แม้แต่นามของเ้า ข้าก็อาจลืมเลือนได้เช่นกัน” ถึงตอนนี้องค์ชายรองรู้สึกหวาดหวั่นในคำพูดของโจวอี้เฟย พลางกลืนน้ำลายอึกใหญ่
“เช่นนั้นแล้วท่านจักทำอย่างไร ในเมื่อท่านคือองค์รัชทายาทแห่งนครใหญ่ ผลกระทบเช่นนี้ข้าคิดว่ามันมากเกินไป”
“ท่านผู้เฒ่าหานตงแจ้งว่า ความจำจะค่อย ๆ กลับคืนมาในที่สุด เมื่อข้าจำได้ว่าข้าเป็ใคร มีจุดประสงค์อย่างไร ท่านผู้เฒ่าหานตงจะอนุญาตให้ข้า กลับมาดำรงหน้าที่เป็องค์รัชทายาทได้อย่างเช่นเคย หากแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า ข้าจักจำรายละเอียดทุกอย่างในชีวิตได้หมด และสิ่งที่ข้าหวาดหวั่นว่าจักลืมจนสูญสิ้น นั่นคือซูเจิน” องค์ชายรองขมวดคิ้วแปลกใจ
“นางเป็ใคร” ก่อนทบทวนความเป็มาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามกลับด้วยน้ำเสียงสั่นไหว
“ใช่ผู้ที่ท่านนำยาจากนครใหญ่ ออกไปรักษานางใช่ฤาไม่” องค์ชายรองหวนนึกถึงเหตุการณ์ ที่โจวอี้เฟยนำยามากมายไปตุนรักษาหญิงปริศนานางหนึ่ง
“เป็นางจริง นามของนางคือซูเจิน บัดนี้ข้าฝากนางไว้กับสำนักฮุ่ยหวงในเขตแคว้นเสี่ยนหลิว และข้ามิอาจยอมรับหากหัวใจดวงนี้ต้องลืมสิ้นทุกอย่างเกี่ยวกับนาง จึงขอร้องเ้าให้ทำตามความประสงค์ของข้านับจากนี้เป็ต้นไป” หลังจากนั้นองค์ชายรอง ได้สอบถามเื่ราวความเป็มานับจากต้นจนจบ กินเวลาล่วงเลยเกือบทั้งคืน องค์รัชทายาทถ่ายทอดความทรงจำมากมายระหว่างเขาและซูเจิน ฝากฝังไว้กับองค์ชายรอง ประดุจความทรงจำอีกกล่องที่บันทึกไว้
“ข้ารับรู้จุดประสงค์ของท่านดีแล้ว ท่านควรไปบอกความจริงนี้แก่นางด้วยเช่นกัน” องค์รัชทายาทส่ายศีรษะไปมา
“ข้ากลัวใจตัวเองไม่แข็งแรงพอ หากตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่กับนางอย่างเรียบง่ายที่ใดสักแห่งในใต้หล้า การตัดสินใจนี้อาจมีผลกระทบต่อนครใหญ่ ดังนั้นข้าไม่อยากให้เื่ส่วนตัวทำให้นครใหญ่ต้องปั่นป่วน การที่ไม่ไปพบนางเป็ครั้งสุดท้าย จึงเป็ทางออกที่ดีที่สุด ดังนั้นจึงขอฝากฝังทุกอย่างไว้กับเ้า รวมถึงฝากซูเจินด้วย รอความจำของข้ากลับมา แล้วจะสะสางทุกอย่างให้จบสิ้น”
“ท่านวางใจเถิด ข้าจักทำตามความประสงค์ของท่านทุกประการ” องค์รัชทายาทได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้าตอบรับ ก่อนกายในชุดขาวจะหายไปเพียงชั่วอึดใจ องค์ชายรองยังคงนั่งนิ่งทบทวนสิ่งต่าง ๆ โดยไม่ไหวติง ภายใต้แสงสว่างจากตะเกียงไฟที่ตั้งอยู่
ร่างของหญิงสาวจดจ่ออยู่กับแป้งสีขาว มือบางนวดคลึงไปมาอย่างชำนาญ พลันหันไปหาถั่วดำที่แช่น้ำไว้จนได้ที่ จึงตักมาบดอย่างละเอียด สายตามุ่งมั่นจับจ้องไปยังโม่หินที่กำลังหมุนวนไปเรื่อย ๆ ด้วยความตั้งใจ
สูตรขนมถั่วดำที่องค์ชายรองติดใจนี้ เป็สูตรที่ถ่ายทอดจากบรรพบุรุษ ส่งต่อกันรุ่นสู่รุ่นเรื่อยมาจนถึงนาง แม้ในยามนี้ผู้คนทั่วทั้งนครพากันหลับใหล นางยังคงง่วนอยู่ในครัวโดยให้ตะเกียงดวงเล็กๆ เป็แสงสว่าง ท่ามกลางความเงียบสงบมีเพียงเสียงจากโม่หิน ที่ยังคงดังลอดออกมาให้ได้ยินเป็ระยะ จวบจนเวลาผ่านไปจรดจนฟ้าสาง ตะเกียงไฟจึงดับลง ก่อนขนมถั่วดำจะถูกมือบางจิ้มลงไปเพื่อทดสอบความนุ่มนิ่ม ทว่าได้ที่ดีแล้วจึงยกขึ้นจากเตาเป็อันเสร็จสิ้น หญิงสาวแย้มยิ้มเล็กน้อยเมื่อหน้าตาของขนมออกมาดูดีเป็ที่พอใจ
“ข้าขอพบองค์ชายรอง” หญิงสาวถือห่อผ้าสีขาวด้านในบรรจุขนมถั่วดำที่ทำเสร็จใหม่ ๆ ยังคงระอุส่งความร้อนอ่อน ๆ ผ่านมือหญิงสาวที่กำลังยืนรออยู่หน้าตำหนักด้วยกิริยางดงามเช่นเดิม หลังจากทหารเข้าไปรายงานด้านในครู่หนึ่ง จึงออกมาพร้อมรับสั่งอนุญาตให้เหิงเยว่เข้าไปพบได้
“เ้ามาพบข้าถึงตำหนัก มีอันใดฤา” องค์ชายรองถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่น หลังจากนางเดินเข้ามาพร้อมย่อตัวลงแสดงความเคารพ หญิงสาวเงยใบหน้าขึ้น มองหน้าเขาไม่เต็มสายตานัก
“ข้าทำขนมถั่วดำมาให้เพคะ วันก่อนเห็นท่านบ่นอยากทาน” น้ำเสียงอ่อนหวานกล่าวตอบ ก่อนเดินนำกล่องใส่ขนมวางไว้บนโต๊ะไม้ประดับมุก มือบางแกะกล่องออกเผยให้เห็นขนมจำนวนมาก วางซ้อนกันเป็ชั้นส่งกลิ่นหอมคละคลุ้งดูน่ารับประทาน องค์ชายรองหันพระพักตร์พร้อมเบี่ยงวรกายเดินตรงมายังโต๊ะไม้ประดับมุก
“เ้าเอาเวลาที่ไหนไปทำ” สุรเสียงอันสุขุมตรัสถาม
“ข้า...” เหิงเยว่ก้มหน้าลงเล็กน้อยไม่ตอบ
“ขนมยังอุ่นอยู่ แสดงว่าเ้าพึ่งทำเสร็จใหม่ ๆ หรือว่า...ทั้งคืนเ้าเฝ้าทำขนมนี่ จนมิได้นอนพัก เหตุใดเ้าจึงดื้อ...” ชายหนุ่มขมวดคิ้วละจากขนมแล้วจับจ้องยังหญิงสาว ก่อนนางจะเงยหน้าแล้วส่งยิ้มหวานให้ หัวใจขององค์ชายรองหล่นวาบ ทำเอาเกือบลืมหายใจไปชั่วขณะ จากที่เคยคิดตำหนิ พลันต้องเงียบปากลงทันทีเมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้านั้น มิกล้าเอ่ยปากตำหนิสิ่งใดให้นางขุ่นใจ เพราะอยากเห็นรอยยิ้มนี้ต่ออีกนิด
“แม้ข้ามิได้นอนพัก แต่เมื่อเทียบกับท่านแล้ว ความเหนื่อยของข้าช่างน้อยนิด อดนอนเพียงคืนเดียวไม่ทำให้ข้าเจ็บป่วยได้ แลขนมพวกนี้ก็เสร็จทันเช้าพอดี” นางอธิบายช้า ๆ พร้อมดวงหน้าผ่องใส ไม่แสดงความอ่อนล้าให้เห็นแม้สักนิด
“ข้าชักไม่แน่ใจว่าความอยากกินขนมถั่วดำฝีมือเ้านั้น อาจนำซึ่งความลำบากแก่เ้ามากเพียงใด”
“ไม่เลยเพคะ ตอบแทนที่ท่านช่วยข้าหาสมุนไพรหลายชนิด ที่ข้าทำนั้นยังเทียบกับความเมตตาของท่านไม่ได้ จริงสิ! ข้าทำขนมได้หลายอย่าง นอกเหนือจากขนมถั่วดำแล้ว ยังมีขนมงาตัด และขนมเหนียนเกา ข้าทำเป็อยู่หลายอย่างเชียวแหละ” องค์ชายรองจับจ้องมองดูเหิงเยว่ โดยไม่ได้ใส่ใจคำพูดของนางเท่าไหร่นัก เพราะสิ่งที่น่าดึงดูดกว่าคือใบหน้าอ่อนหวาน แลกิริยางดงามที่ทำให้เขาหลงรักนางั้แ่แรกพบ และมิอาจมีใครแทนที่นางได้
“ข้าชอบ” คำพูดขององค์ชายรองทำให้เหิงเยว่ชะงัก หยุดนิ่งหันมองชายหนุ่มอย่างกะทันหัน หากแต่สายตากลมแป๋วนั้นทำให้องค์ชายรองนึกอยากแกล้ง
“ข้าชอบมาก”
“องค์รองหมายความว่าอย่างไรเพคะ” เหิงเยว่ถอยหลังออกจากเขา ขณะที่เท้าของชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้จนเกือบชิดกับใบหน้าหวาน ในขณะนี้เหิงเยว่มองั์ตาขององค์ชายรองได้อย่างชัดเจน สายพระเนตรอันอบอุ่นทำให้หัวใจของนางสั่นไหวเป็ครั้งแรก
“เหตุใดจึงทำหน้าเช่นนั้น” เขาถามในขณะที่ใบหน้าอยู่แนบชิดกับนางเพียงฝ่ามือขั้น
“ปะ เปล่าเพคะ” เขาเห็นกิริยาประหม่าจากนางอย่างชัดเจน จึงปล่อยยิ้มกว้าง ก่อนเบี่ยงตัวเดินออกเล็กน้อย
“ข้าชอบที่เ้ากล้าพูดคุยกับข้า ไม่หลีกหนีหลบหน้าเหมือนเช่นก่อน ชอบที่เ้าไม่ระวังตัวจนเกินไปเมื่ออยู่กับข้า ชอบทุกอย่างรวมถึงที่เ้ามาหาข้าถึงตำหนัก และทำขนมมาให้เช่นนี้” เหิงเยว่ยืนนิ่งไม่ไหวติง ตั้งใจฟังวาจาอ่อนโยนจากองค์ชายรอง อย่างเงียบ ๆ
“และข้าก็ชอบที่เ้ายืนมองข้าด้วยสายตาเช่นนี้” องค์ชายรองส่งสายตาหวานฉ่ำให้กับหญิงสาว จนนางต้องหลบสายตาเขาแล้วก้มหน้าลง
“แต่แบบนี้ข้าไม่ชอบ” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนมือหนาช้อยคางนางขึ้น สบตาหวานคู่หนึ่งพลางปล่อยยิ้มอบอุ่นออกมา
“ข้าชอบแบบนี้ ชอบสายตาแบบนี้มากกว่าที่เ้าจะหลบตาข้า”
“ขะ ข้า ง่วงนอนแล้ว ขอตัวกลับก่อนนะเพคะ” เหิงเยว่พูดตะกุกตะกัก ก่อนเบี่ยงตัวถอยห่าง แล้วรีบเร่งวิ่งจากออกจากตำหนักไป ปล่อยให้องค์ชายรองยิ้มออกมาอย่างมีความสุข พลางหันไปหาขนมถั่วดำที่วางทิ้งไว้