จิ่งเหวินซานตบหน้าอาอี อย่างแรง แรงจนอาอีไม่อาจไม่หน้าหันไป แล้วก็รีบหันกลับมาทันที เผชิญหน้าด้วยท่าทางคาราวะนอบน้อมต่อจิ่งเหวินซานที่กำลังเกรี้ยวกราด
“เ้าโง่!” จิ่งเหวินซานด่าด้วยความโกรธออกมาสองเสียง “เื่แค่นี้ยังทำให้ดีไม่ได้? เหตุใดจิ่งฝานถึงจับได้จิ่งเซิ้ง!”
ในใจอาอีเองก็รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ ด้านล่างกล่องไม้มีอีกชั้นแทรกอยู่ ได้จัดการเสร็จไว้เรียบร้อยั้แ่แรกแล้ว ชั้นบนสุดเป็ฉลากธรรมดา อาศัยดวงล้วนๆ แต่ชั้นล่างนั้นเป็แท่งไม้ที่ถูกเตรียมไว้ก่อนแล้ว หาก้าให้จับได้เลขอะไรก็ใส่แท่งไม้เลขนั้นลงไปให้เต็ม คนที่จับฉลากก็จะจับได้แต่เลขนี้เท่านั้น
คนที่เฝ้ากล่องอยู่ล่างเวทีเองก็เป็โจรมือไวที่มีชื่อเสียงบนแผ่นดินใหญ่ ไม่มีใครในโลกนี้ที่รู้จักใบหน้าของเขา หรือรู้ว่าเขาอยู่ไหน อีกทั้งคนผู้นี้ในเวลาปกติก็ดูธรรมดามาก หากอยู่ท่ามกลางฝูงชนก็คงแทบจะไม่มีตัวตนอยู่เลย ไม่ใช่คนที่จะสามารถดึงดูดความสนใจของคนอื่นได้เลย คนเช่นนี้คุ้ยเคยกับการอยู่ในฝูงชน ปะปนอยู่ในฝูงชน ทำงานที่ไม่ควรบอกใคร ยิ่งบวกกับมือแสนพิเศษคู่นั้นที่ทั่วโลกนี้ยากนักจะมี ทำเื่นี้ให้สำเร็จถือเป็เื่ง่ายๆ
อาอีเคยสานสัมพันธ์คบหากับคนผู้นี้ รอบนี้ก็ลงทุกลงแรงไปมากเพื่อตามหาคนผู้นี้ ให้เขาช่วยทำเื่นี้ หากดูจากความสามารถของคนผู้นี้แล้วไม่มีทางพลาดอย่างแน่นอน ทำไมถึงได้จับพลาดได้นะ?
โจรมือไวร้ายกาจจริงๆ แต่เช่นนั้นแล้วอย่างไร ใครบอกว่าจับฉลากเสร็จแล้วจะแอบเปลี่ยนกันไม่ได้ล่ะ?
แต่ว่าถึงแม้จะไม่ได้จับได้คนที่พวกเขาอยากให้จับได้ แต่การแสดงออกของจิ่งฝานก็ “ทำให้คนผิดหวัง” อย่างเหนือความคาดหมาย? จิ่งเหวินซานเองก็รู้สึกใมาก หรือว่าเ้าเด็กนี่จะไม่สนใจตำแหน่งผู้นำตระกูลแล้วจริง
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร จิ่งเหวินซานก็ยังคงหวังให้เื่ราวพัฒนาไปตามแผนที่เขาวางไว้ จะได้ไม่เกิดเื่ไม่คาดคิดใดใดขึ้น สะบัดแขนเสื้อส่งเสียงฮึหนักๆ ออกมาหนึ่งเสียง ความโกรธเคืองบนใบหน้าของจิ่งเหวินก็ลดลงหลายส่วน “ดูไว้ให้ดีๆ!หากยังเกิดความผิดพลาดขึ้นอีกก็ไสหัวไปรับโทษด้วยตัวเองซะ!”
อาอีรีบพยักหน้าตอบรับว่าขอรับ สีหน้าจริงจัง ไม่กล้าละเลยให้เกิดความผิดพลาดขึ้นอีก
ในตอนที่จิ่งเหวินซานหันกายนั้น อาอีก็ชะงักไปนิด ลังเลอยู่นาน สุดท้ายก็ยังพูดเสียงเบาว่า “นายท่าน อาชีหาป้ายแขวนประจำตัวของอาลิ่วเจอแล้ว”
เท้าที่กำลังย่างก้าวของจิ่งเหวินซานชะงัก ในตามีจิตสังหารมากขึ้นหลายส่วน “แล้วตัวเขาล่ะ?”
อาอีก้มหัว “แปด.....เก้าไม่ไกลสิบ1 น่าจะตายแล้วครับ”
จิ่งเหวินซานหน้ากระตุก ฟันกัดกันจนแทบจะบดละเอียด ถึงแม้จะพอเดาได้อยู่แล้ว แต่เมื่อมาได้ยินจริงๆ ก็ยังคงเกรี้ยวกราดมากอยู่ดี การจะสร้างนักฆ่ายอดฝีมือที่ซื่อสัตย์นั้นไม่ได้ใช้เวลาแค่วันเดียว จู่ๆ มาหายไปคนหนึ่ง จิ่งเหวินซานก็รู้สึกเจ็บเหมือนถูกเฉือนเนื้อ
“ให้คนที่เหลือกลับมาเถอะ แล้วก็ส่งคนให้หาต่อไป”
อาอีรีบตอบรับว่าขอรับ
กลับมาที่เวที จิ่งเหวินซานมองเห็นมาจากที่ไกลๆ ว่าสีหน้าของจิ่งเฟิงกั๋วนั้นราวกับมีหมอกเมฆดำปกคลุม ที่พร้อมจะปล่อยสายฟ้าออกมาได้ตลอดเวลา น่ากลัวเป็อย่างยิ่ง
การที่จิ่งฝานได้มาเป็นายน้อยนั้น จิ่งเฟิงกั๋วก็เคยรู้สึกพอใจเป็อย่างมาก เด็กคนนี้มีมารยาท อยู่ในกฎเกณฑ์ ความสามรถก็โดดเด่นอย่างน้อยมากที่จะมีในตระกูลจิ่ง เทียบกันแล้วพวกเขาตอนยังอายุเท่านี้นั้นเทียบไม่ได้เลย ข้อเสียก็คือจิตใจดีเกินไป หลงกลคนไม่ดีได้ง่าย แต่ความสามารถของเขานั้นไม่มีที่ติเลย มอบตระกูลจิ่งให้กับเขานั้นเชื่อถือได้อย่างแน่นอน ในขณะเดียวกันก็ควบคุมได้ง่ายด้วย
แต่่นี้ จิ่งฝานทำเื่ต่างๆ ราวกับเปลี่ยนไปเป็คนละคน เริ่มด้วยการล้างบางคนในตระกูลจิ่งไปส่วนหนึ่ง ในจำนวนนั้นมีหลายคนที่เป็คนของเขา ล้วนถูกเปลี่ยนจนสิ้น โดยเฉพาะตำแหน่งผู้ดูแลที่สำคัญๆ หลายตำแหน่ง จู่ๆ ก็ถูกกดถูกควบคุม จิ่งเฟิงกั๋วถึงเพิ่งค้นพบว่าเ้าเด็กนี่เป็หมาป่าที่ห่มหนังแกะ ปกติดูเรียบร้อยเชื่อฟัง แต่ในกระดูกเกรงว่าคงแอบซ่อนปีศาจร้ายที่พร้อมจะกัดกินผู้คนอยู่
จิ่งเฟิงกั๋วรู้สึกเกรี้ยวกราดเพราะเื่นี้อยู่นานแล้ว ขณะเดียวกันก็เกิดความคิดที่อยากจะเปลี่ยนจิ่งฝานออกขึ้นมา พอดีกำลังสัปงกก็มีคนมายื่นหมอนให้พอดี2 เ้าจิ่งเหวินซานที่มีใจไม่บริสุทธิ์นั่นก็เริ่มขึ้นมาก่อนเลย
เดิมทีคิดว่าเ้าหมาป่าที่ปลอมตัวเป็กระต่ายนี่จะคัดค้านหัวชนฝา กลับไม่คิดว่าเขาจะตอบรับอย่างเชื่อฟัง นี่ก็ช่างเถอะ แต่ไม่รู้ว่าในน้ำเต้าของเ้าเด็กนี่ขายยาอะไร ในการประลองยุทธ์ก็ประลองเสียแย่ขนาดนี้ เสแสร้งทำตัวเป็คนไร้ความสามารถจนถึงขั้นนี้
จิ่งเฟิงกั๋วไม่ใช่จิ่งเหวินซาน ความระแวงในใจเขามีมากกว่า เมื่อก่อนเขาคิดว่าจิ่งฝานมีความคิดที่ไร้เดียงสา แต่ดูแค่เื่ที่ตระกูลจิ่งเปลี่ยนคนภายในอย่างมากมายเื่นี้เพียงเื่เดียว ก็รู้แล้วว่าเ้าเด็กนี่ไม่ไร้เดียงสาแน่นอน ต้องเป็พวกโหดเด็ดขาดมากแน่ๆ ยอมเสแสร้งมาตั้งหลายปี ไม่มีทางยอมแพ้ไปอย่างง่ายๆ แค่นี้แน่
จิ่งเฟิงกั๋วไม่อาจไม่สงสัย ว่าจิ่งฝานจะต้องคิดการใหญ่อะไรอยู่แน่ๆ เมื่อถึงเวลาแสดงพลังที่แท้จริงออกมา จะต้องเป็การรุกฆาตอย่างแน่นอน นั่งตำแหน่งผู้นำตระกูลอย่างมั่นคง
แต่ว่า เขาก็ยังคิดไม่ออกจริงๆ ว่าเ้าเด็กนี่กำลังวางแผนร้ายอะไรอยู่
เฒ่าทารกจิ่งเฟิงจั๋วที่ใบหน้าประดับรอยยิ้มตลอดเวลาที่อยู่อีกด้านก็ยังอดขมวดคิ้วไม่ได้ พูดอย่างร้อนรน “จิ่งฝานคงไม่ได้คิดว่าการประลองนี่เป็เหมือนการฝึกฝนยามปกติหรอกใช่ไหม? ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาจะมาชี้แนะให้เ้าเด็กจิ่งเซิ้งที่ไม่เอาอ่าวนั่นนะ เขาทำเช่นนี้จะแสดงอำนาจอย่างไร เ้าเด็กโง่! ทำให้คนอื่นร้อนใจจะตายอยู่แล้ว!”
คนรอบๆ ทุกคนคนที่ร้อนรนก็ร้อนรน คนที่มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นก็มีความสุขไป สีหน้าแตกต่างกันไป
จิ่งเหวินซานแค่เห็นสีหน้านั้นของจิ่งเฟิงกั๋ว อดหัวใจเต้นแรงไม่ได้ คงจะไม่ถูกเ้าคนแก่ไม่น่าเคารพนี้จับได้เข้าให้แล้วหรอกนะ? จิ่งเฟิงกั๋วถือตนเป็ใหญ่เป็อย่างยิ่ง ไม่เคยสนใจความรู้สึกหรือไว้หน้าผู้ใด หากไปค้นพบเข้าว่าลับหลังเขาทำอะไรบ้าง แน่นอนว่าต้องโวยวายป่าวประกาศต่อหน้าผู้คนมากมายอย่างแน่นอน เช่นนั้นต้องได้ไม่คุ้มเสียอย่างแน่นอน
จิ่งเหวินซานกลับไปยังที่นั่งอย่างตัวสั่น คิ้วของจิ่งเฟิงกั๋วขมวดกันแน่นขึ้นกว่าเดิม ความไม่พอใจแผ่กระจายคลุมร่างจิ่งเหวินซาน “มีเื่อะไรถึงจำเป็จะต้องลงไปพูดล่างเวที เ้าเป็ผู้รับผิดชอบนะ ไม่รู้จักกฎรู้จักมารยาทเลยจริงๆ!”
ดีที่ไม่ได้พูดถึงเื่อื่น จิ่งเหวินซานถอนหายใจโล่งอก จิ่งเฟิงกั๋วเป็จ้าวแห่งพิธีการ เข้มงวดเื่กฎระเบียบ แล้วยัง้าให้พวกเด็กๆ ต้องจริงจังอยู่ในกฎระเบียบ จะออกนอกกรอบไม่ได้ จิ่งเหวินซานรู้สึกรำคาญอยู่ในใจ แต่ก็รู้ว่าตอนนี้ยังล่วงเกินจิ่งเฟิงกั๋วไม่ได้ ยังต้องพยายามกลบเกลื่อ อย่าให้เขาไปค้นพบเื่อื่นเข้า จึงรีบยิ้มกล่าวขออภัย “ไม่ใช่เื่ใหญ่อะไร หลายวันก่อนมีผู้คุ้มกันคนหนึ่งหายไป วันนี้เพิ่งจะเจอ อาอีไม่รู้เื่ เื่เล็กๆ แค่นี้ยังต้องรายงานข้า ทำให้ข้าต้องลงไป”
จิ่งเฟิงกั๋วหรี่ตามองเขาอย่างเข้มงวดไปทีหนึ่ง แต่ก็ไม่พูดอะไรอีก คนรอบๆ ที่เหลือที่อยู่ฝั่งจิ่งเหวินซานก็รีบยิ้มเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ พูดกันอย่างร่าเริง ทำให้บรรยากาศบนเวทีครึกครื้นขึ้นมาอีกครั้ง
ในใจจิ่งเหวินซานคิดอะไรอยู่ คนตระกูลจิ่งส่วนใหญ่ล้วนรู้ดี จิ่งเฟิงกั๋วไม่เชื่อหรอกว่าจิ่งเหวินซานจะเปลี่ยนสีหน้าขนาดนั้น แล้วรีบวิ่งลงเวทีไปอย่างรวดเร็ว แค่เพราะผู้คุ้มกันคนเดียว คาดว่าแปดส่วนต้องเป็เื่ที่เกี่ยวข้องกับจิ่งฝาน
แต่เช่นนี้ก็ดี เขาจะได้ไม่ต้องเหนื่อยอีก
ตอนนี้คนกลุ่มหนึ่งล้วนมารวมกันอยู่ที่อ๋าวหราน อ๋าวหรานก็ไม่กล้าพูดอะไรกับจิ่งฝานอีก แต่สายตาก็ยังอดหรี่ไปทางจิ่งฝานไม่ได้ ถลึงตาใส่เขาด้วยความโกรธไปทีหนึ่ง บอกให้เ้าอย่าชนะทางเต๋อรั่ว ไม่ใช่ให้เ้าแม้แต่สู้กับจิ่งเซิ้งยังต้องเปลืองแรงถึงเพียงนี้ เสแสร้งทำเป็อ่อนแอจนเกินไปแล้วล่ะมั้ง
อ๋าวหรานตาโตมาก ถึงแม้ขนตาจะไม่ยาว แต่ก็หนามาก ขนตาสีดำแต่ละเส้นปกคลุมหนาแน่นอยู่เหนือดวงตาเขา ตอนนี้เขาย่นจมูก ดวงตาถลึงน้อยๆ แฝงไว้ด้วยความเกรี้ยวกราดเล็กน้อย คล้ายว่าจะพยายามทำให้ตัวเองดูทรงอำนาจ แต่กลับเป็เพราะยังหน้าตาเหมือนเด็กน้อยอยู่ จึงทำให้ดูโง่ๆ เล็กน้อย ดวงตาสดใสคู่นั้นดูบริสุทธิ์ราวกับบ่อน้ำแร่ที่ใสสะอาด สะท้อนแสงเปล่งประกายแวววาว ทำให้คนหัวใจสั่นไหว จิ่งฝานนึกถึงดวงตาสีเืคู่นี้ของตนเองที่พยายามแอบซ่อนไว้ หัวใจที่เพิ่งสั่นน้อยๆ นั้นก็กลับไปแข็งเหมือนเหล็กแช่นเดิม
แต่เขาก็ยังควบคุมตัวเองไม่ให้นึกถึงแท่งไม้นั้นที่แลกเปลี่ยนกับตัวเองไม่ได้ ไม่เพียงบาดลงไปในมือเขา แต่ยังบาดลงไปบนใจของเขาด้วยเช่นกัน
เขาอยากเปลี่ยนวิธีเล่นใหม่ ทำให้ตัวเขาได้ปลดปล่อยเสียที แต่เขาก็ยังละโมบ่เวลาอันแสนสงบสุขนี้
เขาจะจัดการคนผู้นี้อย่างไรดี?
อ๋าวหรานเห็นว่าอารมณ์ของจิ่งฝานไม่ปกติ ก็รู้สึกโทษตัวเองขึ้นมาอีก ทั้งๆ ที่เป็ตัวเองแท้ๆ ที่บอกให้เขาแอบซ่อน สุดท้ายเขาแอบซ่อนแล้ว ตัวเองกลับมาคิดว่ามากเกินไป ในใจรู้สึกผิด จึงอดหันไปยิ้มให้จิ่งฝานไม่ได้ คิ้วตาโค้งขึ้น ดวงตาคู่นั้นเหมือนถูกปกคลุมไปด้วยขนตา ไม่เหมือน กับความหนักแน่นนิ่งสงบในยามปกติหรือความไร้สาระเหมือนเด็กเล็กๆ ยามอยู่กับพวกจิ่งเซียง ทั้งจริงใจและไร้เดียงสา เต็มไปด้วยความปรารถดีอย่างที่สุด แล้วยังแฝงไว้ด้วยความทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย คล้ายกับตัวเองเมื่อก่อน แต่กลับมีความจริงใจและความสดใสมากยิ่งกว่า
จิ่งฝานก็คิดถึงอ๋าวหรานในตอนที่โดนยาปลุกกำหนัดขึ้นมา ดวงตาคู่นั้นที่ขึ้นสีเื พยายามกดความปรารถนาของตนเองอย่างสุดความสามารถ ฟันกระทบกันกึกๆ ในตอนนั้น เขามีท่าทางราวกับหนุ่มน้อย ท่าทางเช่นนั้นำให้คนนึกอยากรังแก
แล้วยังตอนนี้อีก โค้งตาแย้มยิ้ม ความเป็หนุ่มน้อยไร้เดียงสาที่เวลาปกติน้อยนักจะมีปรากฏออกมาอย่างชัดเจน เราให้ดูโดดเด่นไม่เหมือนใคร ทั้งๆ ที่หน้าตาราวกับหมุ่มน้อย แต่คำพูดและการกระทำ รวมถึงความรู้สึกที่ส่งต่อถึงคนรอบกายนั้นราวกับว่าจะแก่กว่าพวกเขาอยู่หลายปี อาจเป็เพราะเหตุนี้ ทำให้ความไร้เดียงสาทำตัวไม่ถูกที่เกิดขึ้นในบางครั้งนี้ยิ่งทำให้ใจคนสั่นไหว
จิ่งเซียงตีๆ อ๋าวหราน “เ้ายิ้มโง่ๆ เช่นนั้นทำอะไร?”
อ๋าวหราน: “......” นั่นเรียกว่ารอยยิ้มขอโทษต่างหาก
“คุณชายอ๋าวมีความสัมพันธ์อันดีกับบรรดาคุณชายตระกูลจิ่งมากเลยนะ”
แค่ทางเต๋อรั่วเปิดปาก รอบข้างก็เงียบลง ประโยคนี้นับว่าเป็ประโยคที่ยาวที่สุดที่เขาเคยพูดั้แ่ปรากฏตัวออกมาเลยหรือเปล่า แล้วยังพูดเื่ของคนอื่นอีกด้วย!
อ๋าวหรานหัวใจเต้นแรงขึ้นมา ประโยคนี้ เข้าจะรับดี หรือไม่รับดี
ทำเป็ตกตะลึงที่แฝงไว้ด้วยความซาบซึ้งอยู่หลายส่วน “ใช่แล้ว พวกเขาเป็ผู้มีพระคุณช่วยชีวิตข้า”
ทางเต๋อรั่วพยักหน้าเบาๆ “คุณชายอ๋าวรู้ตัวคนร้ายหรือไม่? หากอยากจะแก้แค้น ข้าสามารถช่วยท่านได้”
เมื่อพูดคำนี้ออกมา ทุกคนก็เงียบสนิทในทันที พวกหลัวฉี่อดมองสลับไปมาระหว่างทางเต๋อรั่วและอ๋าวหรานไม่ได้ คุณชายผู้เ็าที่ั้แ่ปรากฏตัวออกมาก็มีท่าทางไม่มองเห็นสิ่งใดในโลกอยู่ในสายตาเช่นนี้ เหตุใดถึงได้ใส่ใจคุณชายอ๋าวผู้นี้ถึงเพียงนี้
ในใจอ๋าวหรานพ่นว่ามารดามันเถอะเป็หมื่นรอบ แต่ยังต้องเสแสร้งทำสีหน้าโศกเศร้าโกรธแค้น ทางเต๋อรั่วนี่ช่างไม่เกรงกลัวอะไรเลยจริงๆ ไม่สนใจเลยแม้แต่น้อยว่าความสนใจที่เขามีต่อตระกูลอ๋าวนั้นจะถูกคนอื่นดูออกหรือไม่ เขาไม่กลัวเอาเสียเลยว่าคนอื่นจะสืบจนรู้แล้วตัดหน้าเอาไปเสียก่อน เป็คนที่แข็งแกร่งจริงๆ ไม่เห็นใครอยู่ในสายตาเอาเสียเลย
สายตาของอ๋าวหรานราวกับมีด ที่ราวกับเคลือบไว้ด้วยยาพิษก็ไม่ปานกวาดไปทางเฉินเปิ่นฉีที่ยืนอยู่ค่อนไปทางด้านหลัง ขอบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “แน่นอนว่ารู้ ต่อให้พวกนั้นจะสลายกลายเป็เถ้าข้าก็ยังจำได้”
ทางเต๋อรั่วมองตามสายตาของอ๋าวหรานไปทีหนึ่ง ค่อยๆ ขมวดคิ้วเข้าหากันน้อยๆ
หลางฉาที่อยู่อีกด้านรีบรับว่า “คุณชายอ๋าวเองก็สนิทกับข้าอยู่บ้าง หากว่า้าแก้แค้น ข้าก็จะช่วยด้วยเช่นกัน
อ๋าวหราน: “......” ข้าไม่สนิทด้วย
ไม่รอให้อ๋าวหรานพูดอีก เหยียนเฟิงเกอเปิดปากพูดขึ้น นิ้มโป้งกดอยู่บนกระบี่ข้างเอว ตัวกระบี่เลื่อนออกจากฝักเล็กน้อย สะท้อนประกายเย็นะเื ใบหน้าของเหยียนเฟิงเกอที่เดิมทีก็แฝงไว้ด้วยความเ็าตอนนี้เพิ่มความดุดันและจิตสังหารเข้าไป “หากพึ่งพาผู้อื่นเพื่อแก้แค้นจะนับเป็การแก้แค้นได้อย่างไร มีเพียงใช้มือและกระบี่นี้จัดการศัตรู ถึงจะสามารถปลอบโยนิญญาของคนตระกูลอ๋าวของข้าได้!”
ทุกคนถูกเสียงแข็งกร้าวที่แฝงไว้ด้วยแท่งน้ำแข็งของเขาทำให้ใจนหลังเย็นวาบ อ๋าวหรานเองก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้ ไม่เสียทีที่เป็คนสนิทของตัวเอก บรรยากาศนี้ ไม่มีใครทำได้เช่นนี้อีกแล้ว
เฉินเปิ่นฉียืนค่อนไปทางด้านหลัง แต่ก็ยังอดตัวสั่นไม่ได้ เื่ฆาตรกรที่ฆ่าล้างตระกูลอ๋าว ไม่ใช่ว่าจะไม่แพร่งพรายไปถึงหูทุกคน แต่ละคนก็คาดเดากันไปต่างๆ นานา เฉินเปิ่นฉีก็ได้ยินมาบ้าง แต่เขาก็ไม่คิดที่จะปฏิเสธ เพราะพูดกันตามจริงแล้ว ตระกูลเฉินของเขาฆ่าล้างตระกูลไปมากมาย ทั้งเล็กและใหญ่ นับไม่ถ้วน แค่ตระกูลเล็กๆ เช่นตระกูลอ๋าวนี้ ไม่น่าว่าอาจจะเป็พวกเขาที่ทำจริงๆ ก็ได้
ถึงแม้เขาจะโง่ แต่ก็รู้ว่าเป้าหมายของอ๋าวหรานกับเหยียนเฟิงเกออยู่ที่ตระกูลเฉิน แต่ในเมื่อพวกเขาไม่ได้พูดออกมาอย่างชัดเจน เขาก็คงไม่สามารถเสนอตัวขึ้นไปรับ หรือปฏิเสธได้เพราะยิ่งเช็ดหมึกก็ยิ่งเลอะ แต่ว่าการมาตระกูลจิ่งครั้งนี้ก็ผิดแผนเสียจริงๆ เขาต้องเป็เป้าแน่แล้วตอนนี้ อาจจะโดนเหยียนเฟิงเกอที่วรยุทธ์ไม่ธรรมดาคนนั้นฆ่าได้ทุกเวลา เฉินเปิ่นฉีใจสะท้านน้อยๆ คิดจริงๆ ว่าจะรั้งอยู่ในตระกูลจิ่งไม่ได้แล้ว
ดูท่าคืนนี้คงต้องหนีซะแล้ว
อ๋าวหรานไม่รู้ว่าเฉินเปิ่นฉีคิดจะทำอะไร แต่ว่าถ้าเ้าโง่เฉินเปิ่นฉีนี่หนี ก็นับว่ารับแล้วว่าพวกตัวเองทำจริง เขาจะได้ไม่ต้องเหนื่อยคิดวิธีโกหก แล้วยังต้องส่งสายตาจับจ้องเฉินเปิ่นฉีอย่างเคียดแค้นแบบนี้อยู่ทั้งวัน
แปดเก้าไม่ไกลสิบ1 (八九不离十)หมายถึง น่าจะเป็เช่นนี้ , มีความเป็ไปได้สูง
กำลังสัปหงกก็มีคนมายื่นหมอนให้พอดี2 (瞌睡有人送枕头)เปรียบเทียบถึงเวลาที่เรากำลังคิดจะทำอะไรหรือ้าอะไรแล้วความช่วยเหลือก็มาพอดี
