สตรีแซ่ซ่งไม่กล้าเอ่ยถึงเื่ที่ตนรู้ว่าฝนจะตกทำได้เพียงแย้มยิ้มออกมา “ไม่ได้โชคดีอะไรเ้าค่ะแต่โชคดีเพราะวัวเทียมเกวียนของท่านอาสะใภ้ไม่เช่นนั้นข้าวที่เกี่ยวทิ้งไว้ในทุ่งนาคงจะชุ่มฝนเสียแล้วเ้าค่ะ”
ครั้นเห็นสตรีแซ่ซ่งเอ่ยวาจานอบน้อม สตรีแซ่หวังไม่อาจเอ่ยสิ่งใดมากนักแย้มยิ้มกล่าวว่า “ในจวนของเ้ามากคนมากความสามารถหากเปลี่ยนเป็ครอบครัวอื่นคงไม่อาจเกี่ยวข้าวเสร็จในคืนเดียว”
“ท่านอาสะใภ้ ในจวนยังไม่ทำกับข้าว ข้าขอตัวกลับไปก่อนนะเ้าคะ”สตรีแซ่ซ่งเอ่ย
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าฝนในครั้งนี้จะตกติดต่อกันเป็เวลาสามวันโดยไม่หยุดหย่อนคนในหมู่บ้านต่างเป็กังวลยิ่ง
มีเพียงธัญญาหารของสกุลอวี๋เท่านั้นที่ไม่ได้รับความเสียหายเพราะเื่ในครั้งนี้ ท่าทีที่คนในสกุลอวี๋มีต่ออวี๋เจียวเปลี่ยนไปไม่น้อยทุกคนต่างคิดโดยไม่รู้ตัวว่าไม่อาจไม่ฟังคำกล่าวของอวี๋เจียว
อวี๋กานเฉ่าสองสามีภรรยาไม่รั้งรอต่อไปต่างพากันฝ่าสายฝนกลับบ้านสามี
ถึงแม้ว่าจะสามารถเก็บธัญญาหารกลับมาได้ทว่าไม่อาจใช้หินกลิ้งสีข้าว ทำได้เพียงตำทีละนิด ครั้นอวี๋เจียวได้เห็นนางจึงเข้าใจความหมายของกวีโบราณที่กล่าวเอาไว้ว่า “ผู้ใดจะรู้ว่าอาหารในถาดเปี่ยมด้วยความยากลำบากทุกเม็ด”เพราะไม่มีเครื่องมือทันสมัย ต้องทำทุกสิ่งด้วยมืออย่างยากลำบากโดยเฉพาะในรัชสมัยที่ประชาชนเห็นอาหารเป็สิ่งสำคัญเทียมฟ้าธัญญาหารจึงนับเป็สิ่งล้ำค่าอย่างยิ่ง
ตลอดหลายวันมานี้อวี๋เจียวตั้งใจต้มยาให้อวี๋ฉี่เจ๋อยามว่างมักคลุกตัวอยู่ในห้องของอวี๋ฉี่เจ๋อเพื่อฝึกคัดอักษรอาจเป็เพราะตั้งใจอย่างยิ่ง ตัวอักษรของอวี๋เจียวเป็รูปเป็ร่างขึ้นมาบ้างอวี๋ฉี่เจ๋อจึงคัดบทประพันธ์หนึ่งพันอักษรอีกหนึ่งเล่มให้อวี๋เจียวฝึกฝน
อวี๋เจียวไม่ชอบบทประพันธ์สี่อักษรที่ยาวยืดและซับซ้อนคัดไปได้ไม่นานก็รู้สึกง่วงงุนเสียแล้ว เพียงแต่นางยังคงบังคับให้ตนเองเขียนต่อไป แม้จะยิ่งเขียนยิ่งสัปหงกก็ตาม
อวี๋ฉี่เจ๋อเอนกายพิงหัวเตียงพลางอ่านตำรา หลังผ่านไปครู่หนึ่งเขาเงยหน้าขึ้นมองเพราะไม่ได้ยินเสียงพู่กันและน้ำหมึกขีดเขียนลงบนกระดาษ พบว่าอวี๋เจียวหมอบหลับอยู่บนโต๊ะในมือยังคงกำพู่กัน ทว่าน้ำหมึกกลับเปรอะเปื้อนบนใบหน้าขาวเรียวเล็กของนาง
อาจเพราะนอนหลับอย่างสบายใจบนแก้มนิ่มดุจผิวเด็กจากการถูกเลี้ยงดูภายในสกุลอวี๋ตลอดหลายวันเผยให้เห็นผงแป้งชั้นบางภายใต้ความขาวมีสีแดงระเรื่อน่ามองยิ่งนัก
เมื่อตั้งใจมองอย่างละเอียดบริเวณหางคิ้วของนางมีไฝสีแดงเม็ดเล็กราวกับจุดแต้มชาดขับให้ใบหน้าฉลาดหลักแหลมสว่างกระจ่าง ยามนี้ดวงตาดุจผลซิ่งปิดสนิทไม่อาจมองเห็นถึงความปลิ้นปล้อนเช่นยามปกติ
เขาไม่ชอบท่าทางคล้ายสามารถควบคุมทุกสิ่งไว้ในมือเช่นยามปกติของนางราวกับนางไม่เคยเป็กังวลเพราะผู้ใดจริงๆ สักครั้ง ไม่เคยเก็บเื่ใดมาใส่ใจไม่ว่ายามใดล้วนแต่ปลีกตนออกห่าง
ยามนี้นอนหลับอย่างเงียบสงัดไร้ความหวาดระแวงเช่นนี้ทำให้ผู้อื่นเห็นแล้วรู้สึกจิตใจสงบ
อวี๋ฉี่เจ๋อรู้สึกว่าตนจดจ้องอวี๋เจียวเป็เวลานานถึงแม้ภายในห้องจะไร้ซึ่งผู้อื่น ทว่าปลายหูของเขากลับระเรื่อด้วยสีแดง
เขาหยัดกายลุกขึ้นไปเอาเสื้อคลุมสะอาดตัวหนึ่งในลิ้นชักจากนั้นคลุมลงบนกายของอวี๋เจียวอย่างเบามือเมื่อหันไปนั่งบนเตียงจึงหยิบตำราขึ้นมาอีกครั้ง แต่กลับไม่อาจอ่านต่อไปเสียแล้ว
แท้จริงแล้วห้องนี้คือห้องตำราเขาอ่านตำราทั้งหมดไม่เพียงแค่รอบเดียว คล้ายกับท่องเนื้อหาออกมาเกือบทั้งหมดได้หลังถือตำรานั่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง อวี๋ฉี่เจ๋อผุดลุกขึ้นอีกครั้งล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาจากชายแขนเสื้อก่อนจะเดินไปข้างเตียงอย่างเชื่องช้าเทน้ำชาสะอาดใส่ลงไปเล็กน้อยก่อนจะเช็ดลงบนใบหน้าของอวี๋เจียวอย่างแ่เบา ค่อยๆซับรอยน้ำหมึกที่เปื้อนบนใบหน้าของนางทีละเล็กทีละน้อย
อวี๋เจียวผู้นอนหลับอย่างสบายใจขมวดคิ้วงามเมื่อใบหน้าถูกััชวนจั๊กจี้พาดผ่านทันใดนั้นยกมือขึ้นจับสิ่งที่ก่อกวนใบหน้าของตนโดยไม่ตั้งใจ
อวี๋ฉี่เจ๋อถูกอวี๋เจียวคว้ามือเอาไว้โดยไม่ทันชักมือกลับมา มือเล็กขาวเนียนัักับปลายนิ้วของเขาอวี๋ฉี่เจ๋อชะงักค้างครู่หนึ่งก่อนจะได้สติกลับมา คิดอยากจะชักมือตนกลับทว่ามือเล็กเนียนนุ่มกลับจับนิ้วมือของเขาไว้แน่นนางแบะปากพลางดึงมือของเขาเข้าใกล้หน้าอกของตนด้วยท่าทางคล้ายกับไม่พอใจ
อวี๋ฉี่เจ๋อไม่กล้าฝืนดึงมือกลับมาเพราะกลัวจะทำให้อวี๋เจียวตื่นกระทั่งเสียงลมหายใจยังหายใจแ่เบาลงไม่น้อยเขายืนกายแข็งทื่ออยู่ข้างโต๊ะเป็เวลานานจนกระทั่งมือที่ถูกอวี๋เจียวคว้าเอาไว้เริ่มรู้สึกชาตามด้วยแขนทั้งข้างไร้ความรู้สึกเสียแล้ว
ทว่ามือเล็กที่กอบกุมนิ้วมือไม่กี่นิ้วนั้นกลับอบอุ่นราวกับผิงไฟอย่างไรอย่างนั้น
เขาเอาแต่ยืนเงียบเชียบอยู่เช่นนี้หลังจากเหน็บชาไปครึ่งตัวถึงขยับแขนเล็กน้อยปลายนิ้วของเขาัักับฝ่ามืออ่อนนุ่มของอวี๋เจียวแ่เบา
อวี๋ฉี่เจ๋อนิ่งงัน ลอบหัวเราะเยาะตนเองอย่างไร้เสียง ไม่รู้ว่าแม่นางน้อยผู้นี้หลับสนิทไปั้แ่เมื่อใดนางคลายแรงจับนิ้วของเขาไปตั้งนานแล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าเขากลับไม่รู้ตัว
เขานวดแขนข้างที่เป็เหน็บชาครู่หนึ่งครั้นเห็นว่าท้องฟ้าด้านนอกมืดลงแล้วไม่รู้ว่าผู้ที่นอนหลับอยู่บนโต๊ะจะตื่นขึ้นมายามใด หากหมอบอยู่เช่นนี้เป็เวลานานย่อมต้องรู้สึกไม่สบาย
หลังจากลังเลครู่หนึ่ง อวี๋ฉี่เจ๋อโน้มกายลงไปอุ้มอวี๋เจียวจากนั้นเดินไปยังห้องของอวี๋ฝูหลิงด้วยฝีเท้าเชื่องช้า
ผู้ที่อยู่ในอ้อมกอดตัวเบาอย่างยิ่งถึงแม้อวี๋ฉี่เจ๋อจะร่างกายผอมบาง แต่เมื่ออุ้มนางกลับไม่รู้สึกเกินกำลังสักนิดเอวเล็กบางราวกับโอบได้ด้วยหนึ่งแขน แต่กลับอ่อนนุ่มเป็อย่างมากแม้จะถูกคั่นกลางด้วยอาภรณ์ผืนบาง แต่กลับอุ่นร้อนราวกับััด้วยฝ่ามือโดยตรงมือทั้งสองข้างของอวี๋ฉี่เจ๋อพลันแข็งค้างเขาสูดลมหายใจเข้าลึกไม่กี่ครั้งถึงรู้สึกผ่อนคลายลง
ยามนี้ในห้องด้านนอกไร้ผู้คนนับั้แ่อวี๋เมิ่งซานมีขาเทียมก็นอนอยู่บนเตียงน้อยครั้งยิ่งนัก เดิมทีก็มีนิสัยไม่อยู่นิ่งเฉยอยู่แล้วตลอดสองวันนี้เอาแต่อยู่ในห้องโถงเพื่อตำข้าว
อวี๋ฉี่เจ๋อผลักประตูห้องด้านข้างออกอย่างแ่เบาครั้นกำลังจะอุ้มอวี๋เจียวเข้าไปในห้อง อวี๋ฝูหลิงกลับเลิกม่านเดินเข้ามาข้างในพอดีทันทีที่เห็นว่าอวี๋เจียวอยู่ในอ้อมกอดของอวี๋ฉี่เจ๋อ นางพลันเบิกตาโตด้วยสีหน้าตื่นเต้นทำราวกับตนค้นพบความลับสุดยอดอย่างไรอย่างนั้น ขณะกำลังจะเอ่ยบางสิ่งอวี๋ฉี่เจ๋อก็หันมาชำเลืองมองนาง
อวี๋ฝูหลิงปิดปากอย่างรู้ตัว ยามนี้นางเพิ่งจะรู้ว่าอวี๋เจียวกำลังหลับอยู่
นางกดข่มความดีอกดีใจภายในใจ เอ่ยเสียงเบาว่า“เหตุใดอวี๋เจียวถึงหลับเสียแล้ว? ท่านแม่ทำกับข้าวเสร็จพอดีข้ามาเรียกพวกเ้าไปกินข้าว”
อวี๋ฉี่เจ๋อเอ่ยเสียงเบา “เก็บข้าวไว้ให้นางเถิดขอรับรอให้นางตื่นขึ้นมาค่อยกิน”
อวี๋ฉี่เจ๋อกำลังจะวางร่างอวี๋เจียวลงเตียงอย่างเบามือเบาเท้านึกไม่ถึงว่าคนในอ้อมกอดจะขยับตัวและเอื้อมมือโอบเอวของเขาราวกับไม่อยากออกห่างจากอ้อมอกกว้างและอบอุ่น
อวี๋ฝูหลิงที่มองดูอยู่ด้านข้างหน้าแดงทิ้งท้ายไว้เพียงหนึ่งประโยค “ข้าจะไปช่วยท่านแม่ตั้งสำรับก่อน” จากนั้นก็รีบหนีออกไปจากห้อง
อวี๋ฉี่เจ๋อนิ่งเงียบครู่หนึ่ง ครั้นกำลังจะดึงมือทั้งสองข้างของอวี๋เจียวออกจากเอวนึกไม่ถึงว่านางจะโน้มใบหน้าเล็กมาถูแผงอกของเขาอวี๋ฉี่เจ๋อนิ่งเกร็งไปทั้งร่างโดยพลัน ลมหายใจหอบหนักอยู่หลายครั้งชะงักครู่หนึ่งก่อนจะวางร่างของอวี๋เจียวลงบนเตียงดึงมือที่โอบรอบเอวตนของนางออกเเล้วนำผ้าห่มผืนบางคลุมลงบนกายของอวี๋เจียวหลังจากนั้นรีบหันหลังเดินออกไปนอกเรือนอย่างรวดเร็ว
หลังจากออกมานอกเรือนและตากฝนเย็นสดชื่น อวี๋ฉี่เจ๋อถึงรู้สึกสงบใจลงใบหน้าหล่อเหล่าหวนกลับคืนสู่ความเยือกเย็นเช่นยามปกติเมื่อนึกได้ว่าร่างกายของตนไม่อาจตากฝน เขาจึงรีบมุ่งหน้าไปยังห้องโถง
ครั้นอวี๋เจียวตื่นขึ้นมาเป็เวลากลางดึก อวี๋ฝูหลิงนั่งเย็บผ้าอยู่ด้านข้างพบว่าอวี๋เจียวที่นอนอยู่ในห้องรู้สึกตัวตื่นและเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่าอย่างง่วงงุนว่า“ยามใดแล้ว?”
“พึ่งจะถึงยามไฮ่ เ้านอนหลับสนิทมาก น้องเล็กบอกไม่ให้ข้าปลุกเ้าในห้องครัวยังมีข้าวเก็บไว้ให้เ้าด้วย!” ครั้นเห็นนางตื่นแล้ว อวี๋ฝูหลิงพลันเม้มปากยกยิ้มและเอ่ยถึงอวี๋ฉี่เจ๋อในทันที
อวี๋เจียวจำได้ว่าก่อนจะหลับไปตนฝึกคัดอักษรอยู่ในห้องของอวี๋ฉี่เจ๋อยามนี้มานอนอยู่บนเตียง หรือว่าอวี๋ฉี่เจ๋ออุ้มนางกลับมาห้อง?
ครั้นนึกถึงท่าทางเช่นสุภาพบุรุษผู้เ็าสง่าผ่าเผยเขาคงไม่มีทางใกล้ชิดกับตนแน่นอน
