หมอหยางไม่เหลียวกลับมา "แล้วแต่เ้าเถิด จะทำอันใดก็ทำ!"
ขืนเขายังอยู่ต่อ เกรงว่าคงเสียชื่อเสียงในฐานะแพทย์ในหมู่บ้านที่สั่งสมมาช้านานไป
สะใภ้สกุลเซินทำหน้าทุกข์ใจและขุ่นเคืองมาก กำลังจะหันกลับไปตำหนิเมิ่งอู่สองประโยค แต่กลับเห็นเมิ่งอู่จับข้อมือของเหล่าเซินเพื่อตรวจชีพจรให้
ครู่ต่อมาเมิ่งอู่กล่าวเบาๆ "หากเ้าเชื่อหมอเถื่อนคนนั้นจริงๆ แล้วกินยาของเขาจะทำให้อาการทรุดหนัก อีกไม่กี่วันเหล่าเซินคงต้องตาย"
กล่าวจบ เมิ่งอู่ก็หยิบเข็มเงินออกมาจากแขนเสื้อ กล่าวเสริมว่า "ถอดเสื้อผ้าของเหล่าเซินออก"
สะใภ้สกุลเซินยืนนิ่ง ไม่ขยับเขยื้อน เมิ่งอู่หันมองนางผาดหนึ่ง เห็นนางยังโง่งม จึงส่งสัญญาณทางสายตาให้อีกครั้ง เพื่อบอกให้นางเข้ามาช่วย
สะใภ้สกุลเซินได้สติ ก็รีบเดินไปข้างเตียง เมิ่งอู่ในยามนี้ไม่เหมือนเด็กสาวตัวเล็กๆ อายุสิบกว่าปี นางสุขุมเยือกเย็น เด็ดขาด คำพูดและการกระทำเปี่ยมไปด้วยความน่าเชื่อถือ
เมื่อสะใภ้สกุลเซินถอดเสื้อผ้าของเหล่าเซินออก เมิ่งอู่ก็ใช้มือจับเข็มเงินแล้วแทงตามร่างกายของเขาอย่างแม่นยำทีละเข็ม
เหล่าเซินหน้าเปลี่ยนเป็สีเขียว ทรมานแสนสาหัส
ในไม่ช้าจุดฝังเข็มต่างๆ บนหน้าอกของเขาก็มีเข็มเงินปักอยู่ประปราย
ราวครึ่งเค่อ [1] ผ่านไป เืลมไหลเวียนสะดวกขึ้น สีหน้าของเหล่าเซินก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าเขาผ่อนคลายลง ไม่ทรมานเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
สะใภ้สกุลเซินดีใจจนน้ำตาไหล กล่าวว่า "รอดแล้วๆ เมิ่งอู่ เ้าช่างมีวิธีจริงๆ!"
เมิ่งอู่กล่าวเสียงแ่เบา "ระบบย่อยอาหารของเหล่าเซินทำงานผิดปกติ ไม่กี่วันก่อนเขาทุกข์ทรมานจากอาการอาหารไม่ย่อย แต่ยามกินอาหารที่เรือนของข้า เขากลับกินลงท้องมากเกินไป แบบนี้ยิ่งทำให้อาการของเขาแย่ลง"
สะใภ้สกุลเซินได้ฟังแล้วอับอายเล็กน้อย
นางรู้ว่าสองวันที่ผ่านมาเหล่าเซินมีอาการอาหารไม่ย่อย แต่นางกับเหล่าเซินไม่ได้ใส่ใจ
เพราะเหล่าเซินกินอาหารของเมิ่งอู่ที่เรือนของเมิ่งอู่ ไม่ใช่อาหารของบ้านตนเอง จึงไม่จำเป็ต้องรู้สึกปวดใจเลย และเหล่าเซินไม่สนใจว่าท้องของตนเองจะทนรับไหวหรือไม่ พอถึงเวลากินอาหาร เขามักกินอย่างตะกละตะกลาม ปรารถนาอย่างยิ่งว่าจะกินอาหารหนึ่งมื้อที่เรือนเมิ่งอู่เท่ากับกินสามมื้อ
เมิ่งอู่กล่าว "การกินมากเกินไปทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานหนัก เืข้นขึ้น เป็ผลให้เืลมไหลเวียนไม่สะดวก เกิดเป็ลิ่มเือุดตัน สุดท้ายจะเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย ยังดีที่ไม่รุนแรงมาก แต่หากช้ากว่านี้ก็ยุ่งยากแล้ว”
สะใภ้สกุลเซินเอ่ยอย่างกังวล "เช่นนั้นยามนี้สมควรทำอย่างไร?”
เมิ่งอู่เก็บเข็มเงินพลางเอ่ย “ข้าใช้เข็มเงินช่วยให้เืลมของเขาไหลเวียนสะดวกแล้ว ประเดี๋ยวท่านไปเอายาที่เรือนข้า แล้วนำไปต้มให้เขาดื่มทุกวัน ระหว่างนี้ให้เขากินแต่อาหารรสจืดและย่อยง่ายเป็หลัก ค่อยๆ บำรุงร่างกายไป”
สะใภ้สกุลเซินพยักหน้ารัวๆ "ได้ๆ เมิ่งอู่ ขอบใจเ้ามาก”
เมื่อนึกถึงพฤติกรรมของเหล่าเซินและเื่โง่เขลาที่ตนเองทำลงไป สะใภ้สกุลเซินก็รู้สึกละอายใจชั่วขณะ นางถูชายเสื้ออย่างประหม่าถามว่า “เอ่อ เมิ่งอู่ เ้าคิดค่ารักษานี่...”
เมิ่งอู่กล่าว “รอให้เหล่าเซินหายดีแล้ว หากเขายังเต็มใจทำงานที่เรือนข้า ก็เอาค่าจ้างมาหักลบกับค่ายาก็แล้วกัน”
สะใภ้สกุลเซินพยักหน้าขอบคุณอีกครั้ง จากนั้นก็ตามไปเอายาที่เรือนของเมิ่งอู่
ครั้งก่อนยามที่เมิ่งอู่ขึ้นูเาไปเก็บสมุนไพร บังเอิญพบสมุนไพรที่สามารถรักษาอาการป่วยของเหล่าเซินเข้าพอดี นางจึงกลับบ้านมาจ่ายยาให้สะใภ้สกุลเซิน
สะใภ้สกุลเซินนำยากลับเรือน แล้วต้มให้เหล่าเซินดื่มตามคำแนะนำของเมิ่งอู่ ไม่กี่วันต่อมาเหล่าเซินก็ค่อยๆ ฟื้นตัว
จากนั้นเป็ต้นมาทุกครั้งที่สะใภ้สกุลเซินพบเจอผู้คน นางมักจะกล่าวว่า เมิ่งอู่มีความสามารถในการรักษาโรค ทักษะทางการแพทย์ดีกว่าหมอหยางมากนัก ทุกครั้งที่เจอคนสกุลเมิ่ง นางจะทักทายอย่างอบอุ่น
หลังเหล่าเซินหายป่วยแล้ว ก็รู้สึกละอายยิ่งนัก เขากลับไปช่วยงานที่เรือนของเมิ่งอู่ต่อโดยสมัครใจ ไม่ขอรับค่าแรง เพื่อหักลบกับค่ายาทั้งหมด ขอเพียงมีอาหารให้กินอิ่มทุกวันก็พอ
พอผ่านเหตุการณ์นี้ครอบครัวสกุลเซินก็เคารพนับถือคนสกุลเมิ่ง ทั้งยังบอกว่าภายภาคหน้าหาก้าความช่วยเหลือใดก็บอกได้ทุกเมื่อ พวกเขาสามีภรรยาจะไม่ปฏิเสธเลย
เมื่อเห็นเพื่อนบ้านรักใคร่กลมเกลียวกัน แน่นอนว่านางเซี่ยย่อมปีติยินดี แต่ก่อนชาวบ้านมองตนกับเมิ่งอู่ด้วยความเห็นอกเห็นใจและเมินเฉย ในที่สุดยามนี้พวกเขาก็เคารพซึ่งกันและกันแล้ว
การก่อสร้างเรือนของครอบครัวเมิ่งอู่กลับมาดำเนินการต่อตามปกติ เรือนหลังใหม่ใกล้จะเสร็จแล้ว โครงสร้างคานและหลังคาสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว กระเื้ัคาก็เตรียมพร้อมแล้ว
เนื่องจากเรือนตั้งเรียงกัน ทำให้ลานเรือนใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเป็เท่าตัว สิ่งที่ล้อมรอบลานเรือนไม่ใช่รั้วที่ทำจากไม้หยาบๆ อีกต่อไป แต่เปลี่ยนเป็รั้วที่ทำจากไม้ไผ่สูงเรียงรายหนาทึบ
ยอดรั้วไม้ไผ่แต่ละต้นถูกลับให้แหลมคม หากผู้ใดคิดจะปีนเข้ามาคงต้องเสี่ยงอันตรายบ้าง
พูดถึงหวังสี่ซุ่นกับพวกอันธพาลละแวกนั้นกัน ก่อนหน้านี้พวกเขาไปก่อเื่ชั่วที่เรือนของเมิ่งอู่ แต่กลับพ่ายแพ้ยับเยิน นี่เป็ความอัปยศครั้งแรกในอาชีพอันธพาลของพวกเขา
หากไม่พลิกสถานการณ์กลับมา ภายหลังหากจะก่อกรรมทำชั่วในหมู่บ้าน แล้วยังจะมีอำนาจขู่เข็ญอะไรอีก?
ดังนั้นพวกเขาจึงรอโอกาสแก้แค้นอยู่เสมอ
ผักที่เรือนของเมิ่งอู่หมดแล้ว จึงต้องไปเก็บผักในทุ่ง นางเซี่ยยุ่งอยู่กับการทำอาหาร อินเหิงเองก็เดินไม่สะดวก จึงเป็เมิ่งอู่ที่ต้องไป
ยามเมิ่งอู่ออกจากเรือน นางเซี่ยทำอาหารอยู่ที่ลานเรือน ส่วนอินเหิงผ่าฟืนและให้อาหารไก่ ดูอบอุ่นกลมเกลียวกันมาก
หลังหายป่วย หวังสี่ซุ่นที่สามารถะโลงพื้นได้ตามปกติอีกครั้ง ก็คอยช่วยจับตาดูความเคลื่อนไหวของเมิ่งอู่ เมิ่งอู่เพิ่งออกจากเรือน พวกอันธพาลในหมู่บ้านก็วิ่งบุกไปที่เรือนของนางอีกครั้งทันที
ในเมื่อยามนี้เทพผู้ชั่วร้ายอย่างเมิ่งอู่ไม่อยู่ นี่ไม่ใช่โอกาสดีที่สมควรจะใช้ประโยชน์จากมันหรือ?
มีชาวบ้านบางคนวิ่งมาที่หน้าเรือนเมิ่งอู่อย่างเร่งรีบ ก่อนะโใส่ลานเรือนว่า “แย่แล้ว! พวกอันธพาลชั่วนั่นมาอีกแล้ว!”
หากเมิ่งอู่อยู่ที่นี่ พวกเขาไม่จำเป็ต้องตื่นตระหนก แต่โชคร้ายที่เมิ่งอู่ไม่อยู่
นางเซี่ยใจเย็นกว่าปกติเล็กน้อย นางรีบให้ชาวบ้านที่กำลังทำงานหลบไปก่อน จากนั้นก็รีบเดินไปหาอินเหิง ทำท่าจะเข็นเก้าอี้เข็นของเขาไปซ่อนในห้อง
อินเหิงกล่าว “ฮูหยินเข้าไปหลบในห้องก่อนเถิด ไม่ต้องเป็ห่วงข้า”
นางเซี่ยสีหน้าเคร่งเครียดกล่าวว่า “ยามนี้อาอู่ไม่อยู่ หากปล่อยให้เ้าอยู่ที่ลานเรือน เกรงว่าพวกนั้นจะฉวยโอกาสรังแกเ้า เ้ารีบเข้าไปหลบในห้องก่อน ข้าจะจัดการพวกเขาเอง”
ต่อให้นางอ่อนแอเพียงใด อย่างน้อยนางก็เป็คนที่มีมือมีเท้าที่แข็งแรง ปกติแล้วนางเซี่ยมักทำหน้าเ็าใส่เขา แต่ในยามวิกฤตนางจะไม่มีวันปล่อยให้เขาตกอยู่ในอันตราย
นางเซี่ยเป็ผู้าุโของเมิ่งอู่กับอินเหิง ดังนั้นการปกป้องผู้น้อยเป็เื่ที่สมควรกระทำ
ทว่านางเซี่ยออกแรงเท่าไร ก็เข็นเก้าอี้เข็นของอินเหิงไม่ได้ ที่แท้อินเหิงใช้มือจับล้อไว้ด้วยมือเดียว ทำให้ล้อเก้าอี้เข็นติดขัด
อินเหิงมีสีหน้าเฉยชา เอ่ยว่า “ฮูหยิน ให้ข้าจัดการพวกเขาเถิดขอรับ”
นางเซี่ยกล่าวอย่างร้อนใจ “ในยามคับขันเช่นนี้เ้าจะทำอันใดได้!”
ในขณะนั้นเสียงฝีเท้าและเสียงคนดังมาถึงนอกลานเรือนแล้ว อินเหิงกล่าวอย่างไร้อารมณ์ความรู้สึกว่า “ฮูหยินเชื่อใจข้าเถิดขอรับ”
นางเซี่ยชะงักชั่วครู่ แปลกจริง เห็นได้ชัดว่าเขานั่งอยู่บนเก้าอี้เข็น แต่คำพูดของเขากลับสงบเยือกเย็น มีพลังบางอย่างที่ทำให้นางเชื่อใจโดยไม่รู้ตัว
มีหลายคนบุกเข้ามาแล้ว อินเหิงกล่าวเสียงต่ำ “เข้าไปในห้อง ปิดประตูให้ดี อย่ามองอะไร”
ครั้งนี้เรียกได้ว่าน้ำเสียงแข็งกร้าวแล้ว
ทั้งสองคนอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน เมื่อกล่าวจบ นางเซี่ยยังไม่ทันตอบสนอง อินเหิงก็สะบัดแขนเสื้อกวาดร่างนางเข้าห้องไปแล้ว จากนั้นจึงปิดประตูอย่างรวดเร็ว แล้วนำท่อนไม้ไผ่ที่อยู่ข้างๆ มาขัดประตูไว้
นางเซี่ยผลักประตูเปิดจากด้านใน แต่เปิดไม่ได้ จึงะโด้วยความโมโห “หวังสิง! เปิดประตูประเดี๋ยวนี้!”
อินเหิงแสร้งทำเป็ไม่ได้ยิน ก่อนมองพวกอันธพาลที่กรูกันเข้ามาในลานเรือนด้วยั์ตาสีอ่อน
พวกอันธพาลเผยสีหน้าลำพองภาคภูมิ กล่าวว่า “คาดไม่ถึงว่าจะให้คนพิการเฝ้าเรือน คราวนี้ดูซิว่าพวกเ้ายังจะภูมิใจอีกหรือไม่!”
ข้างลานเรือนยังมีเสาไม้ไผ่ที่เหลือใช้วางไว้อยู่บ้าง ครั้งก่อนเมิ่งอู่ก็ใช้เสาไม้ไผ่เหล่านี้ไล่พวกเขาออกจากเรือน ดังนั้นครั้งนี้ทุกคนจึงหยิบเสาไม้ไผ่ขึ้นมาเป็อาวุธ เพื่อเตรียมเอาคืนชนิดฟันต่อฟัน
หัวหน้าอันธพาลชี้นิ้วสั่ง “พวกเ้าทุบและรื้อถอนเรือนหลังนี้ให้ข้า ส่วนพวกเ้าทุบตีไอ้หน้าขาว [2] นั่นให้หมอบ!”
นางเซี่ยวิตกกังวล ร้อนใจสุดขีด เร่งะโอยู่ในห้อง “หวังสิง! เ้าปล่อยข้าออกไป!”
อินเหิงหยิบธนูไม้ไผ่ออกมาจากด้านหลังของเก้าอี้เข็นอย่างใจเย็น นิ้วขาวเรียบๆ ดีดสายธนูเบาๆ ก่อนวางลูกธนูพาดสาย งอนิ้วทรงพลังเล็กน้อย
ดวงตาสีอ่อนคู่นั้นเ็าคล้ายความเย็นในฤดูวสันต์ ไม่มีความอบอุ่นแม้แต่น้อย เขาคลายนิ้วปล่อยลูกธนูสามดอกพุ่งออกไปปักหัวเข่าของพวกอันธพาลเ้าถิ่นอย่างแม่นยำ
ชายสามคนที่โดนลูกธนูถึงกับล้มลงคุกเข่าด้วยความเ็ป เสาไม้ไผ่ในมือร่วงหล่นเช่นกัน ก่อนทิ่มเข้าใส่พวกเดียวกัน
อินเหิงหยิบลูกธนูจากกระบอกครั้งละสามดอก ขึ้นสายธนู แล้วยิงออกไป ทั้งแหลมคมทั้งรวดเร็ว ไม่พลาดเป้าแม้สักดอกเดียว
ภายในลานเรือนเต็มไปด้วยเสียงร้องโหยหวนอย่างเ็ป โกลาหลวุ่นวายไปหมด เสาไม้ไผ่ร่วงเกลื่อนกลาด ปลายแหลมคมทิ่มแทงเท้าของพวกเดียวกันจนต้องะโ
พวกอันธพาลเนื้อร้ายในหมู่บ้านเหล่านี้ไม่คาดคิดเลยว่าคนพิการผู้นี้จะเก่งกาจถึงเพียงนั้น เพียงนั่งอยู่กับที่ก็สามารถยิงพวกเขาล้มลงกับพื้นได้ทั้งหมด ยิ่งกว่านั้นทุกคนล้วนโดนลูกธนูแทงที่หัวเข่า ไม่พลาดแม้แต่คนเดียว!
หัวหน้าอันธพาลไม่ยอมแพ้ คิดว่ายังต่อสู้ได้อีกนิด แต่เพิ่งลุกขึ้นยืนโงนเงน อินเหิงก็ปล่อยลูกธนูอีกดอกปักที่หัวเข่าอีกข้างหนึ่งของเขา จนล้มลงไปคุกเข่าอีกครั้ง
อินเหิงกล่าว “ไม่จำเป็ต้องทำพิธีใหญ่โตเพียงนี้”
……….
[1] หน่วยวัดเวลาของจีน 1 เค่อ ประมาณ 15 นาที
[2] แปลตรงตัวหมายถึง หนุ่มหน้าขาว ถ้าเป็คำสแลง หมายถึง ไก่อ่อน อ่อนต่อโลก หรือพูดถึงชายหนุ่มที่เกาะผู้หญิงที่อายุมากกว่าและร่ำรวย