มู่เฟิงและคนอื่นๆ เดินไกลออกไปโดยไม่ทันสังเกตเลยว่ามีคนกำลังลอบติดตามพวกเขาไปอย่างเงียบๆ จนกระทั่งทุกคนเดินเข้าไปยังเหลาสุราที่ดีที่สุดในเมืองอันหนาน
เหลาสุราแห่งนี้เป็เหลาสุราของตระกูลหวังซึ่งมีทั้งหมดหกชั้น มันถูกตกแต่งออกมาอย่างหรูหราและยิ่งใหญ่
บริเวณชั้นสามของเหลาสุรา เหล่าเด็กหนุ่มสาวได้เข้ามานั่งยังที่นั่งติดริมหน้าต่าง เพื่อเฝ้าชมทัศนียภาพยามเย็นบนถนนที่อยู่ด้านนอก
เวลานี้ทุกครัวเรือนได้แขวนโคมแดงประดับไว้หน้าบ้าน บนท้องถนนจึงมีผู้คนหลั่งไหลออกมาเที่ยวชมบรรยากาศไม่ขาดสาย ทำให้ทิวทัศน์โดยรอบยิ่งเป็ไปอย่างคึกคัก
“เสี่ยวเอ้อ ไปนำอาหารขึ้นชื่อมาหนึ่งชุดและนำเหล้าซิ่งฮวาชุน*ที่หมักมายี่สิบปีมาสองไห”
(*ยอดสุรา ผลิตในตำบลซิ่งฮวา)
มู่เฟิงเอ่ยปากสั่งอาหาร หลังจากได้รับรายการอาหารแล้วเสี่ยวเอ้อก็ถอยออกไปทันที เพียงไม่นานเหล้าชั้นดีจำนวนสองไหก็ถูกนำออกมา จากนั้นกลุ่มเด็กหนุ่มสาวก็เริ่มพูดคุยสนทนากันระหว่างรออาหาร
มู่ลี่ได้ทำการรินเหล้าให้กับมู่เฟิงเป็การส่วนตัว จากนั้นเขาก็หยัดกายลุกขึ้นและกล่าวออกมาอย่างจริงจังว่า “พี่เฟิง เื่ในอดีตข้าต้องขออภัยด้วย ข้าหวังว่าพี่เฟิงจะไม่ถือสาหาความกับเื่นี้ มู่ลี่ผู้นี้จะขอดื่มก่อนเพื่อเป็การแสดงความเคารพต่อท่าน!”
มู่ลี่ยกชามเหล้าขึ้นเป็สัญญาณ จากนั้นก็กระดกเหล้าเข้าไปในอึกเดียว
“ข้าด้วย พี่เฟิง คำพูดของข้าในอดีต ข้าหวังว่าพี่เฟิงจะไม่ถือสา ข้าจะดื่มเหล้าจอกนี้เพื่อเป็การแสดงความเคารพต่อท่าน”
มู่ชางหยิบชามเหล้าขึ้นมา ก่อนจะกระดกมันเข้าไปในอึกเดียวเพื่อเป็การดื่มให้กับมู่เฟิงเช่นกัน
มู่เฟิงหยัดกายลุกขึ้น ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เื่ราวในอดีตก็ปล่อยผ่านมันไปเถอะ ถึงอย่างไรเราก็เป็คนตระกูลมู่เหมือนกัน ต่อไปก็จะเป็เหมือนพี่น้องที่มาจากท้องเดียวกัน มาชน!”
หลังจากมู่เฟิงกล่าวจบ เขาก็ยกเหล้าขึ้นดื่มในอึกเดียว กระแสความร้อนไหลเข้าสู่ร่างกายของเขาจนเด็กหนุ่มรู้สึกวูบวาบไปทั้งตัว
“อ้อ จริงสิ พี่เฟิง ก่อนหน้านี้มีคนบอกว่าเส้นลมปราณของท่านถูกทำลาย แต่ตอนนี้ทุกคนล้วนเห็นถึงความแข็งแกร่งของท่านแล้ว ตกลงว่าเื่นี้เป็เื่โกหกงั้นหรือ?”
หลังจากได้ดื่มเหล้าแล้วทุกคนก็ผ่อนคลายลง มู่ชางจึงเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย
“เื่ที่ข้าได้รับาเ็ในสนามรบจนเส้นลมปราณได้รับความเสียหายนั้นเป็เื่จริง แต่ในภายหลังสามารถฟื้นฟูกลับมาได้แล้ว ดังนั้นวรยุทธ์ของข้าจึงฟื้นคืนกลับมาด้วย”
มู่เฟิงกล่าวอย่างผ่อนคลาย ทว่าเขาไม่ได้เล่าลึกถึงรายละเอียดในเื่นี้
ตอนนี้มีเพียงมู่ขวงเท่านั้นที่ทราบเื่ราวทั้งหมด แต่มู่ขวงไม่มีทางพูดมันออกมาอย่างแน่นอน
หลังจากคลายข้อสงสัย พวกเขาก็ไม่ได้ถามสิ่งใดเกี่ยวกับประเด็นนี้อีก ไม่นานอาหารก็ถูกยกออกมา ทุกคนจึงดื่มด่ำกับสุราและอาหารอันโอชะตรงหน้าขณะพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
“จริงสิ หลังผ่านวันปีใหม่ไปคงจะถึงเวลาที่สำนักฝึกยุทธ์ชางหลิ่งจะเปิดรับสมัครศิษย์แล้ว พี่เฟิง ท่านจะไปที่นั่นหรือไม่? พวกข้าล้วนไปที่นั่นกันหมด”
ทันใดนั้นมู่ลี่ก็เอ่ยถามขึ้น
สำนักฝึกยุทธ์ชางหลิ่งเป็สำนักศึกษาแห่งหนึ่งที่สอนวรยุทธ์ ซึ่งค่าเล่าเรียนและข้อกำหนดในการรับสมัครไม่ได้สูงเท่าสำนักศึกษาราชวงศ์ เหล่าคณาจารย์ในสำนักฝึกยุทธ์ชางหลิ่งก็ไม่อาจเทียบกับสำนักศึกษาราชวงศ์ได้ในทุกด้านเช่นกัน ดังนั้นสำนักฝึกยุทธ์ชางหลิ่งจึงเป็สำนักศึกษาที่เหมาะสำหรับให้เด็กทั่วไปได้เข้ารับการศึกษา
อีกทั้งทางตระกูลมู่สายรองนั้นไม่สามารถจ่ายค่าเล่าเรียนสำหรับศิษย์ที่จะเข้าไปศึกษาในสำนักศึกษาราชวงศ์ได้
“ไม่ละ ข้าวางแผนว่าจะเข้าศึกษาที่สำนักศึกษาราชวงศ์ในปีหน้า พี่หญิงและคู่หมั้นของข้ากำลังรอข้าอยู่ที่นั่น”
มู่เฟิงส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม
“อืม จริงสินะ ด้วยพร์ของพี่เฟิงแล้ว การเข้าศึกษาในสำนักฝึกยุทธ์ชางหลิ่งคงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก เพียงแต่สำนักศึกษาราชวงศ์ก็ไม่ใช่สถานที่ที่เราจะสามารถเข้าไปศึกษาได้”
มู่ชางกล่าวไปตามประสา เขารู้สึกอิจฉาอยู่เล็กน้อย
สถานที่ที่ดำรงอยู่ล้วนเป็ตัวบ่งบอกถึงความสำเร็จที่จะได้รับในอนาคต เนื่องจากคุณสมบัติของสำนักฝึกยุทธ์ชางหลิ่งนั้นไม่ได้ดีมากนัก ดังนั้นมู่เฟิงจึงไม่ได้สนใจมาั้แ่แรก
สำนักศึกษาราชวงศ์นั้นได้รวบรวมอัจฉริยะจากทั้งภายในอาณาจักรและอาณาจักรรอบข้างเอาไว้ มู่เฟิง้าแข่งขันกับคนเก่งเ่าั้ ไม่ใช่เพียงเพราะ้าไปหามู่หลิงเอ๋อร์และว่านเอ๋อร์เท่านั้น แต่แน่นอนว่าเหตุผลส่วนใหญ่ที่เขา้าไปที่นั่นล้วนเป็เพราะพวกนาง
“ทำไมล่ะ หากพวกเ้า้า ข้าสามารถส่งพวกเ้าเข้าสำนักศึกษาราชวงศ์ได้ ส่วนเื่ค่าเล่าเรียนพวกเ้าก็ไม่จำเป็ต้องกังวล”
มู่เฟิงกล่าวขึ้น ในทุกหนึ่งปีบัณฑิตภายในสำนักศึกษาราชวงศ์แต่ละคนจะต้องจ่ายค่าเล่าเรียนเป็เงินหลายพันเหรียญตำลึงทอง ดังนั้นแน่นอนว่าคนธรรมดาทั่วไปจึงไม่สามารถจ่ายค่าเล่าเรียนนี้ไหว แต่สำหรับมู่เฟิงในตอนนี้ เขาสามารถใช้ความสามารถด้านการสลักลายเส้นช่วยหาเงินได้อย่างสบายๆ
“เื่นั้นไม่จำเป็หรอก ขอบคุณในความเมตตาของพี่เฟิง สำนักศึกษาราชวงศ์จะเปิดรับศิษย์ในปีถัดไปก็จริง แต่ปีนี้พวกเราก็จะอายุครบสิบแปดปีแล้ว ดังนั้นพอถึงปีถัดไปพวกเราก็ไม่มีคุณสมบัติในการเข้าศึกษาในสำนักศึกษาราชวงศ์อยู่ดี”
มู่ลี่ยิ้มขื่น แต่เขายังคงรู้สึกขอบคุณในความเมตตาของมู่เฟิงจากใจจริง
มู่เฟิงพยักหน้า หากว่าอายุเกินก็ไม่มีทางที่จะเข้าศึกษาได้ ฉับพลันนั้นแสงสว่างก็ปรากฏขึ้นบนนิ้วมือของเขา ก่อนที่แผ่นยันต์จำนวนหนึ่งจะปรากฏขึ้นในมือของมู่เฟิง
จากนั้นมู่เฟิงจึงกล่าวขึ้นว่า “นี่คือแผ่นยันต์ขั้นหนึ่งจำนวนสิบสองแผ่น พวกเ้าสี่คนรับมันไปสิ แผ่นยันต์แต่ละแผ่นนี้จะสามารถะเิพลังโจมตีของผู้ฝึกยุทธ์ระดับจื่อฝู่ขั้นสามออกมาได้ ถือเป็ของขวัญเล็กน้อยที่พี่เฟิงมอบให้พวกเ้าสำหรับการเข้าศึกษาในสำนักฝึกยุทธ์ชางหลิ่ง หากตกอยู่ใน่เวลาวิกฤต บางทีมันอาจจะสามารถช่วยชีวิตพวกเ้าได้”
“แผ่นยันต์!”
เด็กหนุ่มทั้งสี่ต่างจ้องมันด้วยความตกตะลึง พวกเขาล้วนตระหนักได้ทันทีว่าของสิ่งนี้เป็สิ่งที่หาได้ยาก แผ่นยันต์หนึ่งแผ่นมีมูลค่าหลายร้อยเหรียญตำลึงทอง ซึ่งพวกเขาก็ไม่สามารถหาซื้อได้
“ขอบคุณพี่เฟิงมาก ฮ่าๆ นับเป็ของขวัญที่ล้ำค่าอย่างยิ่ง เพียงใช้พลังปราณเข้าไปกระตุ้นก็สามารถใช้งานมันได้แล้ว”
มู่ลี่กล่าวด้วยรอยยิ้มกว้าง เขานำแผ่นยันต์เ่าั้ไปแจกจ่ายให้กับทุกคนคนละสี่แผ่น อีกสามคนที่เหลือต่างก็พยักหน้าด้วยความยินดี ในขณะเดียวกันพวกเขาก็รู้สึกซาบซึ้งใจเป็อย่างมากเช่นกัน
เพียงมู่เฟิงไม่ถือสาเื่ในอดีตพวกเขาก็ซาบซึ้งใจมากแล้ว ตอนนี้อีกฝ่ายยังมอบของล้ำค่าให้กับพวกเขาอีก สิ่งนี้ยิ่งทำให้พวกเขาทั้งสี่คนรู้สึกละอายใจกับการกระทำก่อนหน้านี้ของตัวเอง
“ฮ่าๆ ไม่ใช่เื่ใหญ่อะไรเสียหน่อย เป็ความตั้งใจของข้าเอง จริงสิ พวกเ้าชื่นชอบอาวุธใดเป็พิเศษหรือไม่? หลังจากกลับไปให้นำอาวุธเ่าั้ส่งมาให้ข้า แล้วข้าจะมอบอาวุธปราณให้พวกเ้าคนละหนึ่งชิ้น หลังจากเข้าไปยังสำนักฝึกยุทธ์ชางหลิ่งแล้วจะให้เสียศักดิ์ศรีในฐานะศิษย์ตระกูลมู่ไม่ได้”
มู่เฟิงหัวเราะร่า
“มอบอาวุธปราณให้พวกเรา! ช้าก่อน พี่เฟิง หรือว่าท่านเป็นักสลักลายเส้นงั้นหรือ?”
มู่ลี่ถามขึ้นด้วยความใ
มู่เฟิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ดวงตาของเด็กหนุ่มทั้งสี่ต่างเบิกกว้างด้วยความใทั้งยังรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอีกด้วย
มู่ลี่หยัดกายลุกขึ้นก่อนจะเดินมาหยุดตรงหน้ามู่เฟิง เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่งและกำหมัดคำนับ พลางกล่าวขึ้นด้วยดวงตาแดงก่ำว่า “ขอบคุณพี่เฟิงมากขอรับ!”
อาวุธปราณนั้นเปรียบเสมือนชีวิตที่สองของผู้ฝึกยุทธ์ หากมู่เฟิง้ามอบสิ่งนี้ให้แก่พวกเขา พวกเขาย่อมไม่อาจปฏิเสธได้ ทำได้เพียงรู้สึกขอบคุณอีกฝ่ายเท่านั้น
เมื่อเห็นดังนั้น มู่ชางและศิษย์ตระกูลมู่อีกสองคนต่างก็รีบคุกเข่าลงคำนับอีกฝ่ายในทันที “ขอบคุณพี่เฟิงมากขอรับ”
“ฮ่าๆ เอาละ รีบลุกขึ้นมาเถิด เข่าของลูกผู้ชายมีค่าดุจทองคำ อย่าได้คุกเข่าเช่นนี้ หากพวกเ้า้าขอบคุณข้า หลังจากเข้าไปยังสำนักฝึกยุทธ์ชางหลิ่งก็จงพากเพียรพยายามฝึกฝนให้หนัก ในอนาคตก็กลับมารับใช้ตระกูลเถอะ”
มู่เฟิงรีบเข้าไปประคองเด็กหนุ่มทั้งสี่คนให้ลุกขึ้น ทางด้านมู่ขวงถึงกับเผยรอยยิ้มกว้างออกมา ส่วนมู่หลานปีนี้นางเองก็อายุไม่น้อยแล้ว คงต้องเข้าร่วมสำนักฝึกยุทธ์ชางหลิ่งไปพร้อมกับมู่ลี่และคนอื่นๆ เช่นกัน
หลังจากนั้นทุกคนก็กลับมานั่งดื่มด่ำกับสุราและอาหาร ก่อนจะสนทนากันต่ออีกครั้ง โดยระหว่างนี้พวกเขาไม่มีใครรู้เลยว่ามีแขกไม่ได้รับเชิญกลุ่มหนึ่งกำลังมุ่งตรงมาจากด้านนอก
บนถนน ชายฉกรรจ์ร่างกำยำในชุดคลุมสีดำผู้มีใบหน้าเคร่งขรึมกำลังถือดาบเล่มใหญ่ที่ส่องประกายแวววับไว้ในมือ เขาเดินนำกลุ่มคนมากกว่าสามสิบคนเข้ามาในเหลาสุราของตระกูลหวังด้วยท่าทางอาฆาตแค้น
“ไอหยา นายท่านเป้า เหตุใดท่านจึงนำลูกน้องมามากมายเช่นนี้เล่า?”
ด้านนอกประตูของเหลาสุราตระกูลหวัง เสี่ยวเอ้อรีบเข้าไปขวางหน้าพวกเขาเอาไว้ก่อนจะเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มประจบประแจง
“ไสหัวไปให้พ้นหน้าเหล่าจือ”
นายท่านเป้าขมวดคิ้วมุ่น จากนั้นเขาก็ผลักเสี่ยวเอ้อผู้นั้นออกไปให้พ้นทาง และมองเข้าไปยังเหลาสุราของตระกูลหวัง
“นายท่านเป้า พวกเด็กที่ทำร้าย ‘พวกซยงตี’ อยู่ที่ชั้นบนของเหลาสุราขอรับ”
สมาชิกคนหนึ่งของกลุ่มพยัคฆ์เหลืองกล่าวขึ้น เขาเป็หนึ่งในคนที่ถูกกลุ่มของมู่เฟิงทุบตี ฟันของเขาหลุดหายไปหลายซี่ทำให้การออกเสียงของเขาไม่ค่อยชัดเจนนัก
“ฮึ่ม ข้าอยากจะเห็นนักว่าเป็พวกเด็กบ้าที่ไหนกันที่บังอาจมาทำร้ายคนจากพยัคฆ์เหลืองของข้า นอกจากนี้มันยังจะไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง กล้าดีอย่างไรจะให้พี่ใหญ่ของข้าไปขอโทษมัน พี่น้องทั้งหลาย ลุยเลย!”
นายท่านเป้าผู้นั้นใบหน้าสั่นเทาด้วยความโกรธ ดวงตาของเขาแสดงออกถึงเจตนาที่้าจะสังหารอย่างชัดเจน เขาโบกมือและสั่งการอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นกลุ่มคนทั้งสามสิบคนก็บุกเข้าไปในเหลาสุราตระกูลหวังในทันที...