บทที่ 79 น้าไม่ได้ฝันอยู่ใช่ไหมคะ
เหอเสวี่ยฉินจ้องมองลู่ซือหยวนด้วยความโกรธเคือง แต่กลับพบเพียงรอยยิ้มละไมบนใบหน้าของอีกฝ่าย ความอึดอัดขัดเขินและความขลาดเขลาที่เคยมีอันตรธานหายไป กลับแทนที่ด้วยความมั่นใจที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน
“เื่ค่าเช่าห้องน่ะ น้าเหอไม่ต้องห่วงนะคะ” ลู่ซือหยวนกล่าวพลางยิ้ม “หนูจ่ายได้ค่ะ”
ตอนนี้เธอไม่เพียงแต่ทำคะแนนแรงงานในหมู่บ้านเท่านั้น แต่ยังมีรายรับวันละสองหยวน ค่าเช่าห้องเดือนละสามหยวนไม่ใช่ภาระอะไรสำหรับเธอเลย
เธอสามารถรับผิดชอบได้ แต่เหอเสวี่ยฉินไม่ได้คิดเช่นนั้น
“ผู้หญิงอย่างเธอจะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย!” เหอเสวี่ยฉินกล่าวด้วยความขุ่นเคือง “สุดท้ายก็ต้องพึ่งเงินเดือนพ่อเธออยู่ดี!”
“เงินเดือนพ่อ?” ลู่ซือหยวนหัวเราะเ็าพลางกอดลูกสาวที่ใกลัวไว้ในอ้อมแขน “เงินเดือนพ่อไม่ได้อยู่ในความดูแลของน้าอยู่แล้วเหรอคะ? น้าเอาไปจุนเจือครอบครัวน้าพวกหนูก็ไม่ได้ว่าอะไร หนูก็ลูกสาวเขานะ เอามาให้หนูใช้บ้างจะเป็อะไรไป”
“เธอ...” เหอเสวี่ยฉินโกรธจนแทบคลั่ง “เหลวไหลสิ้นดี!”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ” ลู่ซือหยวนกล่าว “เงินเดือนอยู่ที่น้าหมดแล้ว เขาอยากให้ก็ไม่มีอะไรให้หรอก หนูมีมือมีเท้า ไม่ทำตัวเป็พวกจะแต่งงานอยู่แล้วยังแบมือขอเงินพ่อแม่อย่างแน่นอน” พูดจบก็อุ้มเจินเจินหันหลังเดินจากไป
“นี่มัน...เนรคุณแท้ๆ” เหอเสวี่ยฉินสบถตามหลัง
นี่เป็ครั้งแรกที่ลู่ซือหยวนปฏิเสธเหอเสวี่ยฉินอย่างตรงไปตรงมา เมื่อมาถึงห้องคุณย่า ร่างกายที่เคยเกร็งก็ผ่อนคลายลง เมื่อเห็นคุณย่าและสวี่จือจือกำลังยกนิ้วโป้งให้เธอก็อดไม่ได้ที่จะหน้าแดง
“ต่อไปก็ต้องทำแบบนี้แหละ” หญิงชรากล่าวพลางยิ้มและยื่นมือไปรับเจินเจิน “ต้องเข้มแข็งเข้าไว้ พวกเราไม่ได้ติดค้างใครทั้งนั้น”
ดวงตาของลู่ซือหยวนแดงก่ำ เธอรู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนมากจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนอยู่ที่บ้านตระกูลจ้าว เพราะไม่สามารถมีลูกชายได้ ทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองด้อยค่ากว่าคนอื่นเสมอ พูดจาไม่กล้าแข็งกร้าว แต่ตอนนี้เธอกลับมั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ
ผู้หญิงไม่ใช่เครื่องจักรผลิตลูก พวกเธอสามารถทำอะไรได้อีกมากมาย
ยังไงก็ตาม เหอเสวี่ยฉินไม่ได้ยอมแพ้ง่ายๆ เช่นนั้น ทั้งวันเอาแต่ตามติดลู่หรงฟา ไม่ก็ร้องห่มร้องไห้กับลู่ซือหยวน
ต่อมาถึงกับมาพูดกับลู่ซือหยวนว่า “หยวนหยวน เอาแบบนี้ดีไหม น้าเหอคิดว่าเธอเป็ผู้หญิงตัวคนเดียว พาลูกไปยู่ไกลบ้านก็ไม่เหมาะ บ้านสองห้องนั้นก็ใหญ่ ค่าเช่าไม่ใช่น้อยๆ นะ” เหอเสวี่ยฉินกล่าวด้วยความเสียดาย “หรือไม่เธอจะเช่าอยู่กับเป่าเฉิงน้องชายของเธอดี แบ่งหนึ่งห้องให้พวกเขา”
ถึงขั้นไปตามบรรดาป้าๆ ในหมู่บ้านมาเกลี้ยกล่อมลู่ซือหยวน
แต่ลู่ซือหยวนยังคงยืนกราน ตอบกลับบรรดาป้าๆ ที่มาว่ากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าพวกคุณคิดว่าอยู่กับคนอื่นแล้วมันดี งั้นก็แบ่งบ้านพวกคุณให้คนอื่นอยู่ด้วยสิ ดูสิคะ ยังได้เก็บค่าเช่าไว้ใช้จ่ายในบ้านอีกด้วย ดีจะตายไป”
ให้อยู่กับโจวเป่าเฉิง? นั่นมันไม่เท่ากับเชื้อเชิญหมาป่าเข้าบ้านหรอกเหรอ?
โจวเป่าเฉิงมีชื่อเสียงยังไงในหมู่บ้าน แม้ว่าทุกคนจะไม่พูด แต่ใครจะไม่รู้บ้าง?
ถึงจะไม่ถึงขั้นขโมยไก่ขโมยหมา แต่ก็เป็พวกเกียจคร้านอันธพาล ชอบพัวพันกับแม่หม้าย ใครจะรู้ว่าจะไม่กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา?
ลู่ซือหยวนตอนนี้เป็ผู้หญิงที่หย่าร้างและมีลูกติด การจะให้อยู่ร่วมกันคงไม่เหมาะสมเท่าไหร่ ทันใดนั้นก็ไม่มีใครกล้ามาว่ากล่าวอีก
ยังไงซะถ้ามาว่ากล่าวก็เท่ากับเปิดประตูบ้านตัวเองให้คนอื่นเข้ามาอยู่
ในเมื่อลู่ซือหยวนไม่ยอมอ่อนข้อ เหอเสวี่ยฉินก็โกรธจนแทบคลั่ง และยังคงพูดจาไม่ดีเกี่ยวกับลู่ซือหยวนในหมู่บ้าน
แต่ลู่ซือหยวนเป็เด็กที่เติบโตมาในหมู่บ้านนี้ ถูกกดขี่ที่หมู่บ้านตระกูลจ้าว พอหย่าร้างกลับมาก็ยังขยันขันแข็งทำงานหาเงินในหมู่บ้านผานสือ ดีกว่าโจวเป่าเฉิงลูกชายี้เีของเหอเสวี่ยฉินไม่รู้กี่เท่า
ตอนแรกที่คนตระกูลเหอพูดจายังมีคนสนใจ แต่พอถึง่หลังๆ ก็ไม่มีใครใส่ใจอีก อย่าคิดว่าคนอื่นโง่ไปเสียหมด ใครจะไม่รู้ว่าตระกูลเหอคิดจะทำอะไร?
จะรังแกใครก็ดูด้วย ยังไงซะลู่ซือหยวนก็เป็หญิงสาวของหมู่บ้านผานสือ
สุดท้ายเหอเสวี่ยฉินก็จนปัญญา จึงเบนสายตาไปที่เพิงข้างบ้านตระกูลลู่
ที่เรียกว่าเพิงข้างก็คือมีเพียงฐานสองห้อง แต่ยังไม่ได้สร้างตัวบ้าน เพียงแต่หากได้ฐานสองห้องนี้มาก็สามารถสร้างบ้านได้ในอนาคต
เหอเสวี่ยฉินเหนื่อยใจ สุดท้ายก็จำใจต้องเลือก
เมื่อปัญหาเื่เรือนหอคลี่คลาย เหอเสวี่ยฉินก็เริ่มจัดการเื่หมั้นหมายของโจวเป่าเฉิงและอันฉิน
เหอเสวี่ยฉินเคยกินอาหารที่สวี่จือจือทำ จึงอยากให้อีกฝ่ายจัดการทำอาหารเลี้ยง
“ให้หนูทำให้หล่อน?” สวี่จือจือหัวเราะเยาะอย่างเ็า “น้าเหอคงคิดเยอะไปแล้วมั้งคะ อันฉินเคยใส่ร้ายป้านสีหนูในหมู่บ้านยังไง น้าไม่รู้เหรอ?”
เหอเสวี่ยฉินยิ้ม “เมื่อก่อนหล่อนยังเด็กไม่รู้ความนี่นา ต่อไปพวกเราก็เป็คนในครอบครัวเดียวกันแล้ว ต่อไปพวกเธอสองคนจะเป็พี่สะใภ้น้องสะใภ้กัน ถือโอกาสนี้ปรับความเข้าใจกันไม่ดีกว่าเหรอ?”
สวี่จือจือหัวเราะเยาะ “ให้หนูไปญาติดีกับหล่อน? น้าเหอ น้าไม่ได้ฝันอยู่ใช่ไหมคะ? หรือว่าคุณน้าเข้าใจตัวเองผิดไป?”
ถึงจะไม่ถึงขั้นแตกหักแต่ก็เกือบๆ แล้ว นี่ต้องมั่นใจในตัวเองมากแค่ไหนถึงคิดว่าเธอจะยอมตกลงทำเื่ที่เหนื่อยเปล่าแบบนี้
สุดท้ายก็เป็ลู่ซือหยวนที่รับเื่นี้ไปจัดการ แต่จ้าวลี่เจวียนบอกว่าสามารถยืมครัวได้ แต่ต้องซื้อวัตถุดิบสำหรับทำอาหารเลี้ยงแขกมาให้พร้อม ถ้าอยากใช้วัตถุดิบในครัวของพวกเขาก็ทำได้ แต่ต้องจ่ายเงินด้วย
“พี่สะใภ้” เหอเสวี่ยฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มเ็า “ถึงแม้ว่าเป่าเฉิงจะไม่ใช่คนตระกูลลู่ แต่ก็เรียกลู่หวยเหรินว่าพ่อมาั้แ่เด็ก”
“คำพูดนี้ก็จริงอยู่” จ้าวลี่เจวียนก็ไม่ยอมแพ้ กล่าวพลางยิ้ม “แต่เด็กๆ อย่างเช่นเสี่ยวอวี่ของพวกเราก็ทำงานหาเงินให้ที่บ้าน แล้วโจวเป่าเฉิงหาเงินให้ที่บ้านกี่คะแนน? แต่ละเดือนใช้จ่ายเงินเท่าไหร่? สักคะแนนก็ไม่ได้ สักอีแปะก็ไม่ได้จ่าย ฉันอดทนให้เขากินให้อยู่ที่บ้านมาหลายปีก็ดีแค่ไหนแล้ว แต่นี่อะไร ตัวเองจะแต่งเมียยังจะมาหวังน้ำบ่อหน้า ให้พวกเราทั้งครอบครัวออกเงินให้เขาแต่งเมียเหรอ?”
คำพูดเหล่านี้ทำให้เหอเสวี่ยฉินพูดไม่ออก
“ให้ยืมครัวก็ดีแค่ไหนแล้ว” จ้าวลี่เจวียนหัวเราะเยาะ “วันนี้พูดกันตรงนี้เลย งั้นฉันก็ขอพูดให้ชัดเจน ต่อไปถ้าพวกเขาสองคนจะมากินข้าวที่บ้าน ต้องเอาข้าวสารมาด้วย”
เหอเสวี่ยฉินโกรธจนแทบะเิ คนที่มามุงดูอยู่ก็ตกตะลึง
“ตายแล้ว ที่แท้ก็กินข้าวฟรีมาหลายปีเลยเหรอเนี่ย”
“ตระกูลลู่มีน้ำใจจริงๆ”
เพราะนี่เป็ยุคที่กินไม่อิ่ม แม้แต่เด็กเจ็ดแปดขวบก็ต้องช่วยที่บ้านทำงานหาคะแนน
โจวเป่าเฉิงโตป่านนี้แล้ว แต่กลับ...
จุ๊ๆ ช่างน่าไม่อายเสียจริง
ดีนะที่ลูกสาวของพวกเขาไม่ได้แต่งงานกับคนเกียจคร้านแบบนี้ ไม่งั้นคงต้องอดตายไปตามๆ กัน!
บางคนดีใจ บางคนเสียดาย น่าสงสารยุวปัญญาชนอันที่สวยราวดอกไม้ ทำไมถึงไปชอบไอ้โง่โจวเป่าเฉิงได้นะ?
สุดท้ายเหอเสวี่ยฉินก็จำใจต้องจ่ายเงินให้จ้าวลี่เจวียนจึงสามารถจัดงานหมั้นขึ้นมาได้
ส่วนอันฉินนั้น เื่ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน คนในศูนย์ยุวปัญญาชนจะไม่รู้ได้ยังไง?
“เธอจะแต่งงานกับโจวเป่าเฉิงจริงๆ เหรอ?” เมิ่งไห่หยางถามอย่างลังเล “ถ้าเธอมีเื่กลุ้มใจอะไร พวกเราไปหาหัวหน้ากองงานกันเถอะ”
.............................