ไม่ใช่ว่าเจียงเฉิงเยว่ไม่เคยหวั่นไหวใน่เวลานั้น เขาคิดในใจว่ารับศิษย์เพื่อใช้งานและพูดคุยก็ไม่เลว...ทว่าท้ายที่สุดเขาไม่้าให้ตนเองถูกรบกวนในการบ่มเพาะจึงไม่ยินยอม ทว่าในใจยังแอบชื่นชมในความเด็ดเดี่ยวและมุ่งมั่นของเด็กคนนี้ที่แตกต่างจากคนทั่วไป
เจียงเฉิงเยว่ไม่สนใจจนสือเยว่เคยชินแล้ว ขณะที่ทำงานให้เขาก็เล่าเื่ที่น่าสนใจในหมู่บ้านให้ฟังเป็ครั้งคราว และก็เพราะอีกฝ่ายทำให้เจียงเฉิงเยว่รู้อย่างไม่ได้ตั้งใจว่าน้องชายคนเล็กที่ป่วยออดๆ แอดๆ คนนั้นป่วยเป็ ‘โรค’ อะไรกันแน่ เด็กคนนั้นมีชะตาหยินขั้นสูงสุดอย่างคาดไม่ถึง!
เจียงเฉิงเยว่จำได้ว่าตนวางหนังสือในมือลงด้วยความใยามรู้เื่นี้ สือเยว่ทำงานไปได้พักหนึ่ง พูดไปพลางใพร้อมมองเขาอย่างงุนงง เจียงเฉิงเยว่มีท่าทีจริงจัง รีบพูดกับเขาว่า “ไปกัน!” ขณะที่พูดก็ลากเขาตรงไปที่บ้านโดยไม่ปล่อยให้อธิบาย
เมื่อไปถึงบ้านของอีกฝ่ายก็ถามและคำนวณอย่างละเอียด กระทั่งยืนยันว่าไป้เอ๋อร์น้อยที่ถูกมารดาของเขากอดไว้ในผ้าอ้อม ใบหน้ามีสีเหลือง ผอมแห้งจนแทบไม่รอดชีวิตเป็เด็กที่มีชะตาหยินขั้นสูงสุดจริง เจียงเฉิงเยว่ไม่รู้ว่าตนเองมีความคิดเช่นไรอยู่ เขาหยิบหยกคู่เพลิงสุวรรณจากถุงเฉียนคุนในแขนเสื้อออกมาอย่างเคร่งขรึม ซึ่งมันไม่มีประโยชน์กับเขาอีกต่อไปหลังจากที่ิญญาของหลี่อวิ๋นเฉินสิ้นอายุขัย เขาวางไว้ในผ้าอ้อมของไป้เอ๋อร์น้อยแล้วพูดกับมารดาของเขา “หยกชิ้นนี้มอบให้เด็กคนนี้...ก็นับว่า...”
เขาหยุดชั่วคราว สุดท้ายไม่มีความกล้ามองสือเยว่ที่ยืนอยู่ด้านหลัง ทำได้เพียงกัดฟันกล่าว “ก็นับว่าเป็ของขวัญรับศิษย์ของข้าแล้วกัน...เด็กคนนี้มีโชคชะตาพิเศษ เกรงว่าต้องเติบโตข้างกายข้าจึงจะรักษาชีวิตเขาไว้ได้”
มารดาของสือเยว่นิ่งค้างก่อนมองไปที่ทารกในผ้าอ้อม นางลังเลไม่ถึงเสี้ยววินาทีจึงคุกเข่าลงตรงหน้าเจียงเฉิงเยว่เพื่อขอบคุณ เจียงเฉิงเยว่รีบประคองนางขึ้น
เื้ัที่เขาไม่กล้าหันศีรษะไป ััได้ถึงดวงตาคู่หนึ่งที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังและน้อยอกน้อยใจอยู่เสมอ
เมื่อถึงตรงนี้สือเยว่จึง...ยอมแพ้
สิบกว่าปีมานี้ ไป้เอ๋อร์ค่อยๆ เติบโตขึ้น ทุกครั้งที่ถึง่คืนเดือนดับ บิดามารดาจะส่งเขาไปที่อารามเต๋าเพื่อพักอยู่กับเจียงเฉิงเยว่เป็เวลาเจ็ดวันตามข้อตกลง บางครั้งที่บิดามารดาไม่มีเวลา ผู้ที่มาส่งเขาจะเป็พี่ชาย
สือเยว่เคารพนับถือเขาและไม่วอแวอีกต่อไป ทั้งยังไม่เคยคับแค้นใจกับเจียงเฉิงเยว่แม้แต่น้อย เพียงขอบคุณในความเมตตาเช่นเดียวกับบิดามารดา ราวกับว่าเพียงชั่วข้ามคืน เขาได้เปลี่ยนจากเด็กน้อยคนนั้นที่เดินตามหลังตามวอแวไม่พักกลายเป็ผู้ใหญ่ สำหรับน้องชายคนนี้ของตนเอง เขารักและปกป้องด้วยสายใยของครอบครัว หากเห็นจะรู้ได้ว่าไป้เอ๋อร์พึ่งพิงและเคารพพี่ชายของเขามากเพียงใด
ทุกครั้งยามที่ไป้เอ๋อร์ปล่อยมือพี่ชายของเขาแล้วบินเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนอาจารย์ของเขาอย่างออดอ้อน เจียงเฉิงเยว่ไม่มีความกล้าที่จะมองเงาร่างของสือเยว่ที่ยืนอยู่ข้างๆ อย่างโดดเดี่ยว แม้ว่าเขาจะบอกกับตนเองหลายครั้งว่าเขาอาจคิดมากไป อาจจะ...ตอนนั้นสือเยว่ยังเด็ก และบางทีคงเป็เพียงฉุกคิดขึ้นมา
ทว่า ความรู้สึกผิดเล็กน้อยในใจที่มีต่อเด็กคนนี้กลับลบอย่างไรก็ลบไม่ออก
.............................
เจียงเฉิงเยว่ไม่ได้กลับมาเป็เวลานาน หลังจากทำความสะอาดเสร็จจึงกลับไปที่ห้องปีกแล้วหลับไป ทว่าคราวนี้นอนพลิกไปพลิกมา เขานอนหลับอย่างไม่สงบ
่กลางดึก จู่ๆ เจียงเฉิงเยว่ตื่นขึ้นจากการหลับใหล เขาค้นพบอย่างรวดเร็วว่าผนึกที่ถูกตี้จวินวางไว้ที่เขาฉู่อวิ๋นมากว่าร้อยห้าสิบปีเริ่มสั่นคลอนเล็กน้อย แสดงให้เห็นถึงสองสถานการณ์เท่านั้น ประการแรก ความสมดุลของพลังิญญาในูเากำลังสั่นะเื พลังหยินชั่วร้ายที่ตัดขาดด้านนอกถูกทำลาย ประการที่สองคือ พลังิญญาของตัวตี้จวินเองเกิดปัญหา
อย่างไรก็ตาม ในฐานะเ้าแห่งปรโลก ความเป็ไปได้ที่สองนั้นน้อยยิ่ง
หากเป็อย่างแรก เขาฉู่อวิ๋นไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากว่าร้อยห้าสิบปี เหตุใดจึงปรากฏการสั่นะเืทางิญญาอย่างจงใจเช่นนี้?
เจียงเฉิงเยว่นั่งกอดผ้าห่ม ยังไม่ทันได้จัดการความคิด ทันใดนั้นรับรู้ว่าค่ายกลด้านนอกอารามเต๋าที่วางไว้ด้วยตนเองแปลกออกไป เกือบจะในเวลาเดียวกันเขาได้ยินเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบจากนอกประตู จากนั้นมีเสียงเคาะประตู ‘ปังๆ ‘ ผสานกับเสียงร้องไห้ของคนที่อยู่นอกประตูดังแว่วเข้ามา “ท่านท่านนักพรต! ท่านนักพรต...ช่วยด้วย! ช่วยด้วยท่านท่านนักพรต! ช่วยด้วย ฮือๆๆ “
เสียงที่คุ้นเคยและชัดเจนปลอบโยน “ป้าสี่ ท่านอย่าร้องไห้เลย อาหนิวจะต้องไม่เป็อะไรอย่างแน่นอน!”
เจียงเฉิงเยว่รีบลุกขึ้น คว้าด้านหนึ่งของเสื้อคลุมแล้วนำมาคลุมบนร่าง ผูกเข็มขัดเรียบร้อยแล้วจึงวิ่งไปเปิดประตู “เกิดอะไรขึ้น?”
ด้านนอกประตู สือเยว่กำลังประคองหญิงชาวนาร่างเตี้ยทว่าดูบึกบึนผู้หนึ่ง ใบหน้าที่คล้ำของหญิงชาวนาเป็สีแดงอมม่วงจากการร้องไห้ เมื่อเห็นเจียงเฉิงเยว่ก็คว้ามือของเขาในทันใด ร้องไห้ฟูมฟายจนไม่แม้แต่จะเอ่ยให้ครบ “ท่าน ท่านนักพรต...ท่าน ท่านนักพรต...”
สือเยว่รีบประคองนางขึ้น หันไปหาเจียงเฉิงเยว่อย่างขอโทษ “ดึกดื่นเช่นนี้ รบกวนท่านท่านนักพรตแล้ว...”
เจียงเฉิงเยว่บอก “ไม่เป็ไรๆ รีบพูดเถอะว่าเกิดอะไรขึ้น?”
สือเยว่กล่าว “อาหนิว ลูกชายของป้าสี่...ท่านนักพรตยังจำเขาได้หรือไม่? สองสามวันก่อนเขาเล่นน้ำแล้วตกลงไปในแม่น้ำจนเป็หวัด ยามนั้นไม่ได้เป็อะไรมาก ไม่รู้ว่าทำไมคืนนี้ไข้กลับขึ้นสูง ชักติดกัน ตอนนี้ยิ่งเพ้อหนัก ไม่อาจรีบส่งหมอจากนอกหมู่บ้านมากลางดึกเช่นนี้ ท่านนักพรตคิดว่า...”
เจียงเฉิงเยว่รีบประคองหญิงชาวนาคนนั้นพร้อมกับอีกฝ่าย จากนั้นปิดประตูแล้วบอก “รออะไรอยู่เล่า...ข้าจะตามพวกเ้าไปดู!”
หลายคนรีบไปที่บ้านของป้าสี่ ตะเกียงไฟจึงสว่างไสวอย่างที่คาด คนบ้านใกล้เรือนเคียงหลายคนมารายล้อมอยู่ในลานบ้าน แม่สามีของป้าสี่หรือย่าของอาหนิวร้องไห้เสียงดัง “หลานของข้า เ้าเป็อะไรไป?! หนิวเอ๋อร์ของข้า!”
หลังจากป้าสี่ได้ยินเสียงร้องไห้ ขาพลันอ่อนแรงจนเดินไม่ได้ เจียงเฉิงเยว่กับสือเยว่ที่อยู่คนละด้าน เกือบจะยกนางลากเดินไป เมื่อมาถึงในลานบ้านอย่างยากลำบาก เจียงเฉิงเยว่จึงส่งป้าสี่ให้คนในครอบครัวของนาง แล้วเข้าไปในห้องที่รายล้อมด้วยชาวบ้านหลายคน ยังไม่ทันได้เข้าประตู เขาตกตะลึงพลางหยุดฝีเท้าในทันที
“ท่านนักพรต?” ชาวบ้านที่ติดตามเขางุนงงเล็กน้อย ต่างหยุดฝีเท้าเช่นกัน
ดวงตาที่แหลมคมของเจียงเฉิงเยว่จับจ้องไปที่มุมมืดซึ่งมีของเบ็ดเตล็ดกองอยู่ในลาน มีเศษเสี้ยวพลังหยินชั่วร้ายออกมาจากที่แห่งนี้น หมู่บ้านนี้...ถูกตี้จวินผนึกด้วยตนเองอย่างชัดเจน กว่าร้อยห้าสิบปีที่ผ่านมาไม่เคยมีพลังหยินชั่วร้ายใดบุกรุกมาก่อน
ที่แท้ผนึกไม่ได้เพียงแค่สั่น ทว่าได้รับความเสียหายแล้วใช่หรือไม่?
เจียงเฉิงเยว่ถอนสายตา เพียงเอ่ยด้วยท่าทีเ็า “ไม่มีอะไร” เอ่ยจบก็เดินตามผู้คนเข้าไปในห้องของอาหนิว
ภายในบ้าน นอกจากคนในครอบครัวของป้าสี่แล้วยังมีเพื่อนบ้านอีกสองสามคน ด้านในมีทั้งไป้เอ๋อร์และมารดาของไป้เอ๋อร์ ทันทีที่เจียงเฉิงเยว่เข้ามาในห้องไป้เอ๋อร์ก็เห็นเขา ใบหน้าเล็กมีสีหน้าจริงจัง ยังมีคราบน้ำตา เอ่ยเรียกด้วยเสียงแหบแห้ง “ท่านอาจารย์...”
อาหนิวถือได้ว่าเป็เพื่อนเล่นของไป้เอ๋อร์ที่เติบโตมาด้วยกันั้แ่ยังเด็ก ณ ตอนนี้เขาป่วยหนักจึงไม่น่าแปลกใจเมื่อเด็กคนนี้อยู่
เจียงเฉิงเยว่พยักหน้า
เหล่าเพื่อนบ้านก้าวไปข้างหน้าเพื่อดึงย่าของอาหนิวที่ร้องไห้ฟูมฟายออกไป ทุกคนรีบออกจากตำแหน่งข้างเตียง เจียงเฉิงเยว่เดินไปนั่งเอียงบนเตียง พลิกเปลือกตาของอาหนิวก่อนตะลึงงัน ขมวดคิ้วแน่น
ขณะนี้อาหนิวกลับลืมตาขึ้นอย่างกะทันหัน พร้อมกับหัวเราะแปลกๆ ยังคงนอนอยู่บนเตียง ทั้งตบมือและเตะเท้า กรีดร้องโหยหวน “ฮิๆๆๆ...ผีตายโหง! ผีตายโหง!” เด็กหนุ่มอายุสิบเอ็ดหรือสิบสองปีบนเตียงร้องเสียงแหลมราวกับสตรี
เหล่าชาวบ้านในห้องต่างตกตะลึงจนหน้าถอดสี จากนั้นจ้องมองเขาอย่างเคร่งเครียด ทั้งยังถามเจียงเฉิงเยว่อย่างกล้าหาญ “ท่านนักพรต เขาถูกสิงใช่หรือไม่?”
เจียงเฉิงเยว่ไม่มีทางเลือกอื่น ทำได้เพียงใช้พลังิญญาบังคับเปิดดวงตาแห่ง์ จนกระทั่งเห็นเงามืดสีแดงเล็กน้อยนั้นที่ปกคลุมบนร่างของอาหนิวอย่างชัดเจน ราวกับหมอกควันเลือนราง ด้วยระดับความชั่วร้าย หากปล่อยให้นางอยู่อีกพักหนึ่งเด็กคนนี้ต้องจบสิ้นเป็แน่ สุดท้ายแล้วอีกฝ่ายยังเด็กและมีหยางเดิมไม่เพียงพอย่อมไม่อาจทนได้
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เจียงเฉิงเยว่รีบกล่าวกับคนในห้อง “ทุกคนออกไปจากลานบ้านก่อน”
ทุกคนเชื่อฟังคำพูดของเขา หลังจากได้ยินก็ทยอยออกไป ไป้เอ๋อร์ที่เตรียมจะออกไปพร้อมกับมารดาถูกเจียงเฉิงเยว่จับไว้แล้วสั่ง “ไปเอาชาดมาให้อาจารย์หน่อย”
ไป้เอ๋อร์พยักหน้าก่อนวิ่งอย่างเร็วไว
เจียงเฉิงเยว่ปิดประตูหน้าต่างสนิท สร้างเขตอาคมเพื่อป้องกันไม่ให้ิญญาชั่วร้ายเล็ดลอดออกไปในลานบ้านเพื่อทำร้ายผู้คน
สำหรับเจียงเฉิงเยว่แล้วไม่ใช่เื่ยากที่จะขับไล่นางออกจากร่างของอาหนิว หากผนึกได้รับความเสียหาย และพลังหยินชั่วร้ายสามารถเข้ามาได้ ณ ตอนนี้ หยางเดิมของเด็กหนุ่มในปัจจุบันไม่เพียงพอ เจียงเฉิงเยว่กลัวว่าเมื่อไล่ตนนี้ออกไปจะมีตนอื่นมาอีก หลังจากครุ่นคิดแล้ว การวาดค่ายกลให้อาหนิวเพื่อปกป้องค่อนข้างจะปลอดภัยกว่า ยามนี้เด็กคนนี้เกือบตายเพราะจมน้ำ ได้รับความตื่นตระหนก ตะเกียงิญญาไม่มั่นคง จึงดึงดูดิญญาชั่วร้ายมาร่าง หลังจากเขาหายจากอาการป่วยจึงจะปลอดภัย
เมื่อกลุ่มคนถอยออกไป เจียงเฉิงเยว่ไม่กังวลอีกต่อไป ปลดปล่อยการบีบบังคับของตนเอง กล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยว “ิญญาชั่ว ก่อนที่ข้าจะขับไล่ ยังไม่ยอมรับความหวังดีของผู้อื่นอีกหรือ?” เป็ดังที่คาด หลังกล่าวจบเสียงสตรีในร่างของอาหนิวกรีดร้องอย่างหวาดผวา เงามืดสีแดงเล็กๆ นั้นรวมตัวกันในจุดหนึ่ง พยายามจะพุ่งไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับเจียงเฉิงเยว่ ทว่าไม่ได้ออกจากร่างของเด็กหนุ่ม
เจียงเฉิงเยว่ขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นบีบสองนิ้วเป็เคล็ดวิชา เอ่ยอย่างเ็า “สุราคารวะไม่ดื่ม ชอบดื่มสุราลงทัณฑ์[1] ” เอ่ยจบ ปลายนิ้วของเจียงเฉิงเยว่มีแสงรัศมีสว่างวาบตรงไปทางเด็กหนุ่มบนเตียง ิญญาสตรีตนนั้นกรีดร้องแล้วออกจากร่างของเด็กหนุ่ม กลายเป็กลุ่มควันสีดำแดงภายในห้อง จากนั้นโจมตีประตูและหน้าต่างที่ถูกเจียงเฉิงเยว่วางเขตอาคมไว้แล้วก่อนหน้านี้
แม้ว่าเวลานี้พลังิญญาของฉิงชางจวินจะถูกริบไป เขามีพลังิญญาไม่เพียงพอ หากรับมือกับิญญาชั่วร้ายระดับนี้ อย่างไรก็ยังคงง่ายดายนัก ผีหญิงตนนั้นย่อมทำลายออกไปไม่ได้ ทำได้เพียงพุ่งชนอย่างวุ่นวายเท่านั้น เจียงเฉิงเยว่มองด้วยหางตา “ข้าให้โอกาสเ้าแล้ว หากเ้าไม่รักษามัน เช่นนั้นคงโทษข้าไม่ได้” เอ่ยจบ เขาร่ายคาถาเพื่อบังคับผีตนนั้นไปยังสถานที่หนึ่ง เตรียมหยิบถุงกักปีศาจเพื่อขังมันไว้ ทว่าใครจะคาดคิดว่าิญญาชั่วร้ายนี้ถึงกับดิ้นรนสุดชีวิต พุ่งตรงมาที่ใบหน้าของเจียงเฉิงเยว่
ฉิงชางจวินหัวเราะเสียงเย็น หลังจากนั้นยกมือขึ้นเพียงชั่วพริบตาเพื่อสะท้อนเคล็ดวิชา เขาที่เป็สองผู้ยิ่งใหญ่แห่งปรโลก แม้ว่าิญญาชั่วร้ายนี้จะเต็มไปด้วยพลังอาฆาต ทว่าสติปัญญาไม่สมบูรณ์ กล่าวตามตรง เจียงเฉิงเยว่รู้สึกราวกับว่าเขากำลังรังแกคนโง่เขลาอยู่ เดิมทีควรกำจัดนางออกไปราวกับปัดฝุ่นที่บังเอิญติดบนแขนเสื้อออก ทว่าขณะนั้น พลังิญญาในร่างของเขากลับหยุดนิ่ง
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึง ความเย็นะเืที่หวีดหวิวสายหนึ่งพาดผ่านร่างกาย เขาถึงกับรู้สึกได้ถึงลมหนาวที่ปอยผมข้างหน้าผาก สิ่งที่ตามมาทันทีคือความเ็ปอย่างรุนแรงในสมองราวกับถูกคมมีดขูด! ลำคอของเจียงเฉิงเยว่รู้สึกแห้งผาก ดวงตามืดมิด ร่างโงนเงนอยู่สองครั้งก่อนพยายามที่จะยืนตัวตรง
เขาตกตะลึงอยู่ชั่วครู่ ยังไม่ทันได้ตอบสนอง ิญญาชั่วร้ายตนนั้นกรีดร้องแล้วกลายร่างเป็ฝุ่นควันโดยพลัน
บนร่างของเขาพลันมีผนึกประทับิญญาที่ตี้จวินทิ้งเอาไว้ ทั้งกักิญญาของเขาและปกป้อง
ซึ่งแตกต่างจากเขาฉู่อวิ๋นที่ใช้ในการผนึกเขา ผนึกประทับิญญาที่ตี้จวินทิ้งไว้บนร่างของเขานั้นคงอยู่ถาวร ไม่จำเป็ต้องใช้พลังิญญาของตี้จวินอีก แม้ว่าตี้จวินจะสลายไป ทว่าผนึกประทับิญญาที่อีกฝ่ายทิ้งไว้บนร่างของเจียงเฉิงเยว่จะไม่เลือนหาย
ทว่า การหยุดนิ่งของพลังิญญาชั่วขณะนั้นยังคงทำให้เจียงเฉิงเยว่ใ เขามองฝ่ามือทั้งสองข้างของตนเองอย่างละเอียดกลับไม่พบสาเหตุ
เป็เช่นนี้ได้อย่างไร? ก่อนหน้านี้ไม่เคยปรากฏสถานการณ์นี้มาก่อน
เขายังไม่ทันได้ข้อสรุป เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ นอกประตู เสียงคุ้นเคยของไป้เอ๋อร์ที่ลอดผ่านประตูนั้นฟังดูเหมือนไม่ใช่เื่จริง “ท่านอาจารย์...ข้านำชาดมาแล้ว”
------------------------
[1] ชอบดื่มสุราลงทัณฑ์ เป็สำนวน หมายถึง พูดดีด้วยแล้วไม่ฟังจึงต้องบังคับ
