ตอนที่ 4 เงาในแพรไหม
การเลื่อนตำแหน่งของเยว่หลิงได้เปลี่ยนแปลงโลกของนางไปโดยสิ้นเชิง จากห้องพักรวมที่คับแคบและอับชื้น นางได้ย้ายมาอยู่ในห้องส่วนตัวขนาดเล็ก แม้จะไม่ได้หรูหราโอ่อ่า แต่ก็มีหน้าต่างบานหนึ่งที่สามารถมองเห็นสวนไผ่เล็กๆ ได้ มีโต๊ะเครื่องแป้งไม้ฮวาหลี และเตียงที่กว้างพอให้นางพลิกตัวได้อย่างสบาย นางไม่ต้องตื่นั้แ่ยามอิ๋น (ตีสาม) เพื่อมาตักน้ำและทำงานจิปาถะอีกต่อไป ชีวิตของนางก้าวเข้าสู่ระเบียบใหม่ ระเบียบของผู้มีตำแหน่งในวังหลวง
ทว่าตำแหน่งที่สูงขึ้น ก็มาพร้อมกับสายตาที่จับจ้องมากขึ้นเป็เงาตามตัว
กองเครื่องภูษาภรณ์ หรือ "ซ่างฝูจวี๋" เปรียบเสมือนอาณาจักรเล็กๆ ที่ปกครองโดยสตรี ที่นี่คือศูนย์กลางแห่งแฟชั่นและอำนาจที่แสดงออกผ่านอาภรณ์ของราชสำนักต้าเยี่ยน ผ้าไหมทุกพับ ด้ายทุกเส้น กระดุมหยกทุกเม็ด ล้วนมีความหมายทางการเมืองซ่อนอยู่ การเลือกสีผ้าที่ผิด การปักลวดลายที่ไม่เหมาะสม อาจหมายถึงการสิ้นสุดชีวิตราชการของขุนนาง หรือแม้กระทั่งการตกเป็ที่ขุ่นเคืองพระราชหฤทัยของเชื้อพระวงศ์องค์นั้นๆ ได้
ในฐานะผู้ช่วยส่วนตัวของหลี่ซ่างกง เยว่หลิงได้เข้าถึง "หอเก็บแพรพรรณ" ซึ่งเป็หัวใจของซ่างฝูจวี๋ สถานที่แห่งนี้เก็บรวบรวมผ้าไหมที่ดีที่สุดจากทั่วทุกสารทิศของแผ่นดินต้าเยี่ยน เมื่อก้าวเข้าไป กลิ่นหอมสะอาดของไม้จันทน์ที่ใช้ขับไล่แมลงก็โชยมาปะทะจมูกทันที บนชั้นไม้มะเกลือขัดมันวาววับ คือม้วนผ้าไหมที่ถูกจัดเรียงตามสีและชนิดอย่างเป็ระเบียบเรียบร้อย มีั้แ่ผ้าต่วน ที่เป็มันเงา ผ้าแพร ที่เนื้อบางเบา ผ้าไหมแก้ว ที่โปร่งแสงราวกับปีกของจักจั่น ไปจนถึงผ้าไหมสองหน้าปักลายในตัว หรือ "ยหวินจิ่น" แห่งเมืองเจียงหนิงอันล้ำค่า ที่ว่ากันว่าหนึ่งวันสามารถทอได้เพียงห้าเิเเท่านั้น
หน้าที่ใหม่ของเยว่หลิงคือการจดบันทึกบัญชีผ้าเข้าออก ตรวจสอบคุณภาพ และจัดเตรียมวัตถุดิบตามใบสั่งจากตำหนักต่างๆ มันเป็งานที่ต้องใช้ความละเอียดรอบคอบและความจำอันเป็เลิศ ซึ่งเยว่หลิงก็ทำมันได้อย่างไร้ที่ติ นางสามารถแยกแยะชนิดของไหมได้เพียงแค่ปลายนิ้วัั สามารถบอกแหล่งที่มาของสีย้อมได้เพียงแค่ชำเลืองมอง ความสามารถของนางสร้างความประทับใจให้แก่หลี่ซ่างกงเป็อย่างยิ่ง แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ได้สร้างศัตรูให้นางโดยไม่รู้ตัว
ศัตรูคนแรกของนางมีชื่อว่า "เหมยเซียง"
เหมยเซียงเป็นางกำนัลาุโที่ทำงานในหอเก็บแพรพรรณมานานกว่าสิบปี นางมีใบหน้าธรรมดา แต่สายตาแหลมเล็กคู่นั้นมักจะฉายแววอิจฉาริษยาและดูแคลนผู้อื่นอยู่เสมอ นางคาดหวังมาตลอดว่าตำแหน่งผู้ช่วยของหลี่ซ่างกงจะต้องตกเป็ของนางอย่างแน่นอน แต่การปรากฏตัวของเยว่หลิงที่ก้าวขึ้นมาอย่างรวดเร็วราวกับติดปีก ก็ได้ทำลายความฝันของนางลงอย่างย่อยยับ
"น้องเยว่หลิง ช่างโชคดีเสียจริงนะ" วันหนึ่ง ขณะที่เยว่หลิงกำลังตรวจสอบบัญชีผ้าไหมสีเหลืองทองสำหรับองค์จักรพรรดิ เหมยเซียงก็เดินเข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้มที่ไม่จริงใจ "เข้ามาในวังได้ไม่กี่ปี ก็ได้ดิบได้ดีเสียแล้ว ไม่เหมือนพี่ที่ตรากตรำทำงานหนักมาเป็สิบปี ก็ยังคงเป็ได้แค่นางกำนัลชั้นผู้น้อยที่คอยเฝ้าคลังผ้า"
เยว่หลิงเงยหน้าขึ้นจากม้วนกระดาษ ยิ้มตอบบางๆ "พี่เหมยเซียงกล่าวเกินไปแล้วเ้าค่ะ ที่น้องมีวันนี้ได้ก็เพราะความเมตตาของหลี่ซ่างกงทั้งสิ้น น้องยังต้องเรียนรู้อะไรจากพี่อีกมากนัก"
คำตอบที่ถ่อมตนและนอบน้อมของนาง ยิ่งทำให้เหมยเซียงรู้สึกขุ่นเคืองใจมากขึ้น "เรียนรู้งั้นรึ? หึ บางทีเ้าอาจจะต้องสอนข้ามากกว่ากระมัง โดยเฉพาะ วิชา การทำให้ผู้หลักผู้ใหญ่พึงพอใจน่ะ"
คำพูดนั้นเสียดแทงและดูิ่อย่างชัดเจน เหล่านางกำนัลคนอื่นๆ ที่ทำงานอยู่บริเวณนั้นต่างลอบมองมาด้วยความสนใจ ใครๆ ก็รู้ว่าเหมยเซียงกำลังหาเื่เยว่หลิง
แต่เยว่หลิงกลับไม่แสดงอาการโกรธเคืองแม้แต่น้อย นางยังคงยิ้มอย่างสงบ "วิชาที่สำคัญที่สุดที่น้องได้เรียนรู้ในวังหลวงก็คือ การทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดเ้าค่ะ หากเราตั้งใจทำงานของตนอย่างสุดความสามารถแล้ว สักวันหนึ่งย่อมมีผู้มองเห็นเอง ส่วนเื่อื่นนั้น ล้วนเป็วาสนาที่ฟ้ากำหนด น้องไม่กล้าอาจเอื้อมไปสอนพี่เหมยเซียงหรอกเ้าค่ะ"
การตอบโต้ที่สุขุมและเฉียบคมของเยว่หลิง ทำให้อีกฝ่ายถึงกับพูดไม่ออก เหมยเซียงทำได้เพียงแค่นเสียงอย่างไม่พอใจ ก่อนจะสะบัดหน้าเดินหนีไป เยว่หลิงมองตามแผ่นหลังของนางไปเงียบๆ ในใจนางรู้ดีว่านี่เป็เพียงการเริ่มต้นเท่านั้น คลื่นลมในซ่างฝูจวี๋เพิ่งจะเริ่มก่อตัวขึ้น
ไม่นานหลังจากนั้น เหตุการณ์สำคัญที่สั่นะเืการเมืองในราชสำนักก็เกิดขึ้นองค์จักรพรรดิมีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้องค์ชายรอง จ้าวเหยียน ขึ้นเป็ "อ๋อง" มีพระยศเทียบเท่าองค์รัชทายาทจ้าวรุ่ย และให้ย้ายออกจากวังตะวันออกไปประทับที่ตำหนักอวี้ชิงกงแทน
ข่าวนี้สร้างความปั่นป่วนไปทั่วทั้งวังหลวง เป็ที่รู้กันดีว่าองค์รัชทายาทจ้าวรุ่ยนั้น แม้จะเป็พระโอรสองค์โตที่เกิดจากฮองเฮา แต่กลับมีสุขภาพที่อ่อนแอมาั้แ่กำเนิด ทั้งยังมีนิสัยที่อ่อนโยนและฝักใฝ่ในทางธรรมะมากกว่าการปกครอง ในทางตรงกันข้าม องค์ชายรองจ้าวเหยียนซึ่งเกิดจากพระสนมซูเฟย กลับมีร่างกายที่แข็งแรง ฉลาดหลักแหลม และมีความทะเยอทะยานอย่างไม่ปิดบัง การเลื่อนพระยศในครั้งนี้จึงถูกตีความไปต่างๆ นานา ว่าบัลลังก์ัอาจจะกำลังมีการเปลี่ยนทิศทางลม
ความวุ่นวายทางการเมืองนี้ได้ส่งแรงกระเพื่อมมาถึงกองเครื่องภูษาภรณ์โดยตรง เมื่อมีใบสั่งด่วนลงมาให้จัดทำฉลองพระองค์ชุดใหม่สำหรับทั้งองค์รัชทายาทและอ๋องพระองค์ใหม่ เพื่อใช้ในพระราชพิธีตงจื้อ หรือเทศกาลเหมายันที่กำลังจะมาถึง ซึ่งเป็พิธีใหญ่ที่เชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์ต้องเข้าร่วม
นี่ไม่ใช่งานตัดเย็บธรรมดา แต่เป็งานที่ละเอียดอ่อนและอันตรายอย่างยิ่งยวด
หลี่ซ่างกงเรียกเยว่หลิงและเหมยเซียงเข้ามาพบที่ห้องทำงานของนางเป็การส่วนตัว "พวกเ้าทั้งสองคนคงทราบเื่แล้ว" นางกล่าวด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด "งานนี้สำคัญมาก ผิดพลาดไม่ได้แม้แต่น้อย"
นางหันไปทางเหมยเซียงก่อน "เหมยเซียง เ้าทำงานมานาน ย่อมรู้ขนบธรรมเนียมดี ข้าจะมอบหมายให้เ้ารับผิดชอบฉลองพระองค์ขององค์รัชทายาท จงทำให้สมพระเกียรติยศและถูกต้องตามแบบแผนทุกประการ"
เหมยเซียงยิ้มอย่างภาคภูมิใจ นี่คืองานที่สำคัญที่สุด นางได้รับมอบหมายให้ดูแลองค์รัชทายาทผู้เป็ประมุขแห่งวังตะวันออกโดยชอบธรรม
จากนั้นหลี่ซ่างกงจึงหันมาทางเยว่หลิง "ส่วนเ้า เยว่หลิง ข้าจะให้เ้ารับผิดชอบฉลองพระองค์ของจ้าวอ๋อง (องค์ชายรอง) งานของเ้าอาจจะซับซ้อนกว่า เพราะนี่เป็ครั้งแรกที่พระองค์จะทรงฉลองพระองค์ในพระยศใหม่ จงทำให้ดีที่สุด"
เยว่หลิงค้อมศีรษะรับคำสั่ง แต่ในใจของนางกลับเต้นระรัว นางรู้ดีว่านี่คือบททดสอบที่อันตรายที่สุดที่หลี่ซ่างกงมอบให้นาง องค์รัชทายาทนั้นแม้จะอยู่ในตำแหน่งที่สูงส่ง แต่ก็ไร้ซึ่งอำนาจที่แท้จริง การทำฉลองพระองค์ให้พระองค์จึงเป็งานที่ตรงไปตรงมาและมีความเสี่ยงน้อย แต่จ้าวอ๋องนั้นแตกต่างออกไป เขาคือดาวรุ่งดวงใหม่ที่กำลังพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุด การทำฉลองพระองค์ให้เขาเปรียบเสมือนการเดินบนเส้นลวด หากทำได้ถูกใจ ก็อาจจะกลายเป็บันไดที่ส่งให้นางสูงขึ้นไปอีกขั้น แต่ถ้าหากทำพลาดไปเพียงนิดเดียว ก็อาจจะตกลงมาคอหักตายได้เช่นกัน
เหมยเซียงเหลือบมองเยว่หลิงด้วยสายตาที่สมเพช นางคิดว่าหลี่ซ่างกงจงใจโยนงานเผือกร้อนนี้ให้เด็กสาวที่ไร้ประสบการณ์เพื่อสั่งสอนให้รู้สำนึก
...
ตลอดหลายวันต่อมา เยว่หลิงทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับการออกแบบฉลองพระองค์ของจ้าวอ๋อง นางไม่ได้เริ่มต้นด้วยการเลือกผ้าหรือด้าย แต่นางเริ่มต้นด้วยการ "ศึกษา" ตัวตนของจ้าวอ๋องอย่างละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำได้
นางใช้เส้นสายเล็กๆ น้อยๆ ที่มี ติดสินบนขันทีเฒ่าที่เคยรับใช้ในตำหนักของพระสนมซูเฟย เพื่อสอบถามถึงอุปนิสัยและสิ่งของที่จ้าวอ๋องโปรดปราน นางแอบไปสังเกตการณ์ที่ลานฝึกยุทธ์ เพื่อดูท่วงท่าการยิงธนูและเพลงกระบี่ของเขา นางลอบอ่านบันทึกเก่าๆ ในห้องสมุดของวังหลวง เพื่อศึกษากวีนิพนธ์ที่เขาเคยแต่งไว้
นางพบว่า จ้าวอ๋องนั้นเป็บุรุษที่ซับซ้อนยิ่งนัก ภายนอกเขาดูเป็คนเปิดเผย กล้าได้กล้าเสีย และบางครั้งก็ดูหุนหันพลันแล่น แต่จากการสังเกตของนาง นางพบว่าทุกการกระทำของเขานั้นผ่านการคิดคำนวณมาเป็อย่างดีแล้ว เขามีความทะเยอทะยานที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทีที่ดูกระฉับกระเฉง เปรียบเสมือนเปลวไฟที่คุโชนอยู่ใต้เถ้าถ่านที่ดูเย็นสนิท
ในขณะเดียวกัน เหมยเซียงก็เลือกหนทางที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับฉลองพระองค์ขององค์รัชทายาท นางเลือกใช้ผ้าไหม "หลงอวิ๋นจิ่น" สีเหลืองอ่อนซึ่งเป็สีสำหรับเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงตามปกติ ปักลายเมฆมงคลและค้างคาวห้าตัว ซึ่งหมายถึงพรห้าประการ เป็การออกแบบที่ถูกต้องตามตำราทุกอย่าง แต่ก็ดูธรรมดาและไร้ซึ่งชีวิตชีวา เฉกเช่นเดียวกับตัวตนขององค์รัชทายาทนั่นเอง
ในที่สุดวันตัดสินใจก็มาถึง เยว่หลิงนำม้วนภาพการออกแบบและตัวอย่างผ้าของนางมาเสนอต่อหลี่ซ่างกงเป็คนสุดท้าย
"เ้าเลือกใช้ผ้าไหมสีม่วงเข้ม?" หลี่ซ่างกงเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ "สีนี้แม้จะเป็สีของขุนนางชั้นสูง แต่ก็ไม่เคยมีใครนำมาใช้เป็สีหลักสำหรับฉลองพระองค์ของเชื้อพระวงศ์ในพระราชพิธีสำคัญมาก่อน มันดูมืดมนและไม่เป็มงคลเกินไปหรือไม่?"
สีม่วงในสมัยต้าเยี่ยน หรือที่เรียกว่า "จื่อ" เป็สีที่ได้มาจากการย้อมที่ซับซ้อนและมีราคาแพง มักจะสงวนไว้สำหรับขุนนางระดับสูงสุดและนักพรตลัทธิเต๋า แต่การนำมาใช้กับเชื้อพระวงศ์สายตรงนั้นถือว่าผิดแผกไปจากธรรมเนียมปฏิบัติ
เยว่หลิงตอบอย่างใจเย็น "ท่านซ่างกง สีม่วงนี้ไม่ใช่สีม่วงธรรมดา แต่เป็สี "จื่อเซียว" หรือสีม่วงแห่งฟากฟ้าชั้นเก้าเ้าค่ะ ข้าได้ให้ช่างย้อมผสมผงเปลือกหอยมุกละเอียดลงไปในสีย้อม ทำให้เนื้อผ้ามีประกายสีเงินระยิบระยับเมื่อต้องแสงไฟ ราวกับท้องฟ้ายามราตรีที่เต็มไปด้วยดวงดาว มันสื่อถึงความสูงส่ง ลึกลับ และอำนาจแห่ง์เบื้องบนเ้าค่ะ"
นางคลี่ม้วนภาพออกแบบออก "ส่วนลวดลายที่ปัก ข้าไม่ได้เลือกลายัตามปกติ แต่เลือกลาย เจียวหลง หรือ ัเจียว ที่กำลังแหวกว่ายอยู่ในเกลียวคลื่นแทนเ้าค่ะ"
คำพูดของนางทำให้หลี่ซ่างกงถึงกับชะงักไป "ัเจียว!"
ตามตำนานโบราณ เจียว คือพญานาคหรืองูขนาดใหญ่ที่บำเพ็ญตบะอยู่ในน้ำเป็เวลาพันปี รอวันที่จะได้รับไข่มุก์เพื่อที่จะกลายร่างเป็ "หลง" หรือัที่แท้จริงและทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าได้ การใช้ลายัเจียวจึงเป็การสื่อความหมายโดยนัยที่อาจหาญและอันตรายอย่างยิ่ง! มันหมายถึงผู้ที่ยังไม่ได้เป็ใหญ่ แต่มีศักยภาพและกำลังรอวันที่จะผงาดขึ้นสู่จุดสูงสุด!
"เ้าบ้าไปแล้วรึ เยว่หลิง!" หลี่ซ่างกงตวาดเสียงดัง "นี่มันสุ่มเสี่ยงต่อการถูกกล่าวหาว่าคิดการใหญ่เกินตัว! หากมีใครนำเื่นี้ไปทูลฝ่าา พวกเราทุกคนได้หัวหลุดจากบ่ากันหมดแน่!"
เยว่หลิงกลับไม่สะทกสะท้าน นางชี้ไปยังรายละเอียดบนภาพวาด "โปรดซ่างกงพิจารณาให้ดีก่อนเ้าค่ะ ข้าจงใจออกแบบให้ลายัเจียวนี้ถูกปักด้วยดิ้นสีเงินแทนที่จะเป็ดิ้นทอง และให้ขนาดของมันเล็กกว่าแบบแผนปกติ ซ่อนตัวอยู่ในลายคลื่นที่ปักด้วยไหมสีน้ำเงินเข้ม หากไม่สังเกตอย่างพินิจพิเคราะห์ ก็จะมองเห็นเป็เพียงลายคลื่นธรรมดาเท่านั้น"
นางเงยหน้าขึ้นสบตากับหลี่ซ่างกงอย่างตรงไปตรงมา "มันคือความทะเยอทะยานที่ซ่อนเร้น คือพลังที่ยังไม่เปิดเผยตัวตนออกมาจนเต็มที่ เฉกเช่นเดียวกับพระองค์ท่านในตอนนี้เ้าค่ะ ซ่างกงลองคิดดูสิเ้าคะ หากเราทำฉลองพระองค์ที่ดูธรรมดาและปลอดภัยเกินไป ก็อาจจะทำให้จ้าวอ๋องทรงคิดว่าพวกเราซ่างฝูจวี๋มองไม่เห็นความสำคัญของพระองค์ แต่หากเราทำฉลองพระองค์ที่โอ่อ่าและเปิดเผยจนเกินไป ก็จะเป็การสร้างศัตรูให้พระองค์โดยไม่จำเป็ การออกแบบนี้คือการเดินสายกลางที่สมบูรณ์แบบที่สุด มันแสดงให้เห็นว่าเราเข้าใจในสถานะอันซับซ้อนของพระองค์ และพร้อมที่จะสนับสนุนพระองค์อย่างเงียบๆ"
หลี่ซ่างกงจ้องมองภาพวาดนั้นนิ่งงัน นางเงียบไปนานจนน่าใจหาย ในหัวของนางกำลังครุ่นคิดอย่างหนักหน่วง นางมองเห็นความหลักแหลมอันน่าสะพรึงกลัวที่ซ่อนอยู่ในการออกแบบของเยว่หลิง เด็กสาวคนนี้ไม่ได้เพียงแค่กำลังออกแบบเสื้อผ้า แต่นางกำลังเล่นเกมการเมืองที่ลึกซึ้งและอันตราย
ในที่สุด นางก็ถอนหายใจยาว "ข้าไม่รู้ว่าเ้าเป็อัจฉริยะหรือคนโง่กันแน่ เยว่หลิงแต่ข้าจะเชื่อเ้าในครั้งนี้" นางมองเยว่หลิงด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง "จงไปจัดการให้เรียบร้อย และจำไว้เื่นี้จะต้องเป็ความลับสุดยอดระหว่างเราสองคนเท่านั้น"
"น้อมรับคำสั่งเ้าค่ะ" เยว่หลิงค้อมกายลง แต่ในใจของนางกลับโลดเต้นด้วยความตื่นเต้น
นางชนะพนันในครั้งนี้แล้ว...
สองสัปดาห์ต่อมา ฉลองพระองค์ทั้งสองชุดก็เสร็จสมบูรณ์และถูกส่งไปยังตำหนักของเ้าชายทั้งสองพระองค์ ไม่มีใครรู้ว่าจ้าวอ๋องทรงมีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อได้เห็นฉลองพระองค์ชุดนั้น แต่ในคืนนั้นเอง ขณะที่เยว่หลิงกำลังจะเข้านอน ก็มีขันทีคนสนิทของหลี่ซ่างกงนำกล่องไม้เล็กๆ กล่องหนึ่งมามอบให้นาง
"หลี่ซ่างกงฝากมาให้เ้า" ขันทีกล่าวสั้นๆ แล้วจากไป
เยว่หลิงเปิดกล่องออกอย่างระมัดระวัง ภายในบุด้วยผ้ากำมะหยี่สีแดงสด ตรงกลางมีปิ่นปักผมหยกขาวสลักเป็รูปดอกเหมยอันหนึ่งวางอยู่ มันเป็หยกเนื้อดีที่สุดที่นางเคยเห็นมาในชีวิต เป็ของรางวัลจากหลี่ซ่างกง
แต่สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจยิ่งกว่า คือม้วนกระดาษเล็กๆ ที่สอดอยู่ใต้ปิ่นปักผมนั้น
นางคลี่มันออกอย่างช้าๆ มันไม่ใช่จดหมาย แต่เป็รายงานข่าวสั้นๆ ที่คัดลอกมาจากรายงานทางการทหารที่ส่งมาจากชายแดน
"กองทัพของจิ้นอ๋องได้รับชัยชนะในการรบที่ด่านเยี่ยนเหมิน สังหารแม่ทัพซยงหนู 'ทัวป๋าอู๋' และยึดเสบียงของศัตรูได้เป็จำนวนมาก คาดว่าจะสามารถเดินทางกลับนครหลวงได้ภายในสองเดือนข้างหน้า"
เยว่หลิงกำกระดาษแผ่นนั้นไว้แน่นจนมันยับยู่ยี่ หัวใจของนางเต้นแรงราวกับจะหลุดออกมานอกอก
เขา กำลังจะกลับมาแล้ว
นางมองปิ่นหยกในกล่อง สลับกับรายงานข่าวในมือ แล้วนางก็เข้าใจในทันที หลี่ซ่างกงไม่ได้เพียงแค่ให้รางวัลนาง แต่นางกำลังส่งสัญญาณบางอย่าง นางกำลังบอกเยว่หลิงว่า นางรู้ นางรู้ว่าเยว่หลิงมีความสัมพันธ์บางอย่างกับจิ้นอ๋อง และการที่นางช่วยเยว่หลิงในครั้งนี้ ก็เปรียบเสมือนการลงทุนล่วงหน้าในตัวของจิ้นอ๋องนั่นเอง
เยว่หลิงทรุดตัวลงนั่งบนขอบเตียง ความรู้สึกหลากหลายประเดประดังเข้ามาจนนางตั้งตัวไม่ถูก ทั้งความดีใจที่เขากำลังจะกลับมา ความหวาดกลัวต่ออนาคตที่ไม่แน่นอน และความตระหนกที่ความลับของนางอาจจะไม่ใช่ความลับอีกต่อไป
นางยกมือขึ้นลูบไล้ริมฝีปากของตนเองอย่างเผลอไผล ความทรงจำถึงััและคำพูดของเขากลับมาอีกครั้งอย่างชัดเจน... “เ้าจะเป็ของข้า”
บัดนี้ นางไม่ได้เป็เพียงนางกำนัลไร้ค่าอีกต่อไปแล้ว นางมีตำแหน่ง มีเส้นสาย และได้พิสูจน์สติปัญญาของตนเองแล้ว
แต่คำถามก็คือ มันจะเพียงพอหรือไม่? เพียงพอที่จะทำให้นางไม่ได้เป็แค่ ของ ของเขา แต่เป็ คน ที่สามารถยืนเคียงข้างเขาได้อย่างทัดเทียม
คำตอบนั้น นางคงจะได้รู้ในอีกไม่ถึงสองเดือนข้างหน้านี้.
