เกือบเที่ยงของวันรุ่งขึ้น เจียงเฉิงเยว่เพิ่งตื่นจากการหลับใหลก็พบว่าตนเองนอนอยู่ในอารามเต๋า อีกทั้งนอนอยู่บนเตียงโดยมีผ้าห่มคลุมไว้อย่างดี
เขาลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างลำบาก รู้สึกแปลกๆ ในร่างกายอย่างอธิบายไม่ถูก ศีรษะหนัก เท้าเบาหวิวอยู่พักหนึ่งจึงยื่นมือแตะหน้าผาก พลันเข้าใจว่าตนเองอาจมีไข้ สุดท้ายแล้วร่างกายของเขาก็นับว่าเป็ผู้ฝึกฝนธรรมดา กลับไม่ได้ป่วยมานานแล้ว หลังจากมองอย่างละเอียด ตนเองยังคงสวมเสื้อผ้าชุดเดียวกับเมื่อวาน แม้แต่ชุดคลุมก็ไม่ได้ถอด เขาจำได้อย่างชัดเจนเกี่ยวกับผนึกประทับิญญาของตน เป็ไปได้อย่างยิ่งว่ากามารมณ์ที่ปนเปื้อนจากปีศาจชั่วตระกูลสวินซีนั้นกำเริบขึ้นมา ตัวเขาล้มกลิ้งอยู่บนพื้นอย่างหมดสภาพ แช่อยู่ในน้ำค่อนคืน...ทว่า ณ ตอนนี้เสื้อคลุมแห้งแล้วอย่างคาดไม่ถึง อีกทั้งสะอาดเหมือนใหม่เสียด้วย?!
เขาจำเสียงฝีเท้าที่ได้ยินครั้งสุดท้ายก่อนที่จะหมดสติได้เลือนราง...มีใครบางคนพาเขาขึ้นมาจากแอ่งน้ำใช่หรือไม่? ฉับพลัน เจียงเฉิงเยว่รับรู้ถึงอะไรบางอย่าง เขารีบยกแขนซ้ายขึ้น ยื่นมือขวาออกมาจับแขนเสื้อด้านซ้าย เขามองแล้วไม่พบลายปักัเมฆที่แขนเสื้ออย่างที่คาดคิด
หรือว่าเ้านายของมันกลับมาแล้ว หลังจากทำภารกิจเสร็จสิ้นจึงกลับไปอยู่ข้างกายเ้านายกัน?
ถ้าเช่นนั้น เป็อาหังที่ดึงเขาขึ้นมาจากน้ำตกหรือ?
เพียงครู่หนึ่ง ราวกับ้ายืนยันคำตอบของตน มีเสียงฝีเท้าแ่เบาดังแว่วมาจากนอกประตู ทว่าค่ายกลที่เจียงเฉิงเยว่วางไว้โดยรอบอารามเต๋ากลับไม่ตอบสนองแม้แต่นิดเดียว
‘เอี๊ยด’ ประตูไม้ผุพังถูกเปิดออก หลี่อวิ๋นหังเปิดประตูแล้วเดินเข้ามาพร้อมยกถาดใบหนึ่ง เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึง “อา...อา...” ถ้อยคำบนริมฝีปากเปลี่ยนไป เขาเอ่ยเรียกอย่างมีไหวพริบ “ซ่างเซียน...ท่าน...ท่านกลับมาแล้วหรือ?”
หลี่อวิ๋นหังพยักหน้า มานั่งข้างเตียงของเขาด้วยท่าทีเป็ธรรมชาติก่อนวางถาดบนนั้น ซึ่งบนถาดวางชามกระเบื้องที่เจียงเฉิงเยว่คุ้นเคยไว้ “หิวหรือไม่?”
เจียงเฉิงเยว่รู้สึกเขินอายเล็กน้อย เขาพูดติดอ่าง “นี่ นี่...จะรบกวนท่านได้อย่างไร?”
หลี่อวิ๋นหังจ้องเขาอย่างเงียบงัน
เจียงเฉิงเยว่รู้สึกถึงแรงกดดันจึงไม่กล้าเงยหน้ามอง เขาทำได้เพียงมองโจ๊กสีขาวในชาม เม็ดข้าวสีขาวราวกับหิมะเรียงรายไปด้วยต้นหอมสับสีเขียวขจี ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ดูนุ่มและเหนียวอย่างพอดี ซึ่งดึงดูดความอยากอาหารได้เป็อย่างดีทีเดียว เขาถือช้อนคนมันเบาๆ เล็กน้อย ตักขึ้นช้อนหนึ่งแล้วใส่ปาก มีรสหวานเจือจางในรสเค็มนิดหน่อย กลิ่นนั้นกระตุ้นความทรงจำที่ยาวนานของเจียงเฉิงเยว่ขึ้นมา ทำให้ร่างของเขาพลันนิ่งค้าง
เขาไม่เอ่ยอะไรเป็เวลานาน จึงทำให้หลี่อวิ๋นหังเข้าใจผิด ฝืนเอ่ยอย่างเฉยเมย “หากมันกลืนยาก...ก็ไม่จำเป็ต้องฝืน”
เจียงเฉิงเยว่ได้สติกลับมา จึงรู้ว่าทำให้เข้าใจผิด เขารีบบอกด้วยรอยยิ้ม “ไม่ใช่...อร่อยมาก เพียงแค่...” เมื่อคนทั่วไปต้มโจ๊ก หากไม่เลือกรสเค็มก็ต้องเลือกรสหวาน การมีทั้งรสหวานและรสเค็ม แม้ว่าทั้งสองจะผสมผสานกันได้อย่างลงตัว ทว่ารสชาติกลับไม่ค่อยเป็ที่ยอมรับของคนทั่วไปเท่าไรนัก ถึงอย่างนั้นเจียงเฉิงเยว่กลับชื่นชอบ นับว่าเป็ความพิสดารเล็กน้อยด้านการรับรสของเขา เขารู้ว่าผู้ที่ดูแลตนเองจนมีนิสัยพิสดารเช่นนี้คือผู้หนึ่งที่ล่วงลับไปแล้วเกือบสองร้อยปี
“ซ่างเซียน นี่ นี่...ท่านทำเองหรือ?”
หลี่อวิ๋นหังรู้สึกอับอายเล็กน้อย เขานิ่งงันไปนานก่อนตอบ “ข้าก็...ไม่รู้ว่าควรใส่อะไรดี...ดังนั้น...” เจียงเฉิงเยว่แทบกลั้นไม่ให้พ่นโจ๊กออกจากปากไม่ได้...ดังนั้นจึงใส่เกลือและน้ำตาลทั้งหมดน่ะหรือ?! ที่แท้เป็เพียงความบังเอิญที่พอดีหรืออย่างไร
หากคิดดูแล้ว คนตรงหน้านี้จะย่ำแย่เพียงใด ผสานกับตัวตนก่อนที่จะเลื่อนขั้น แม้ว่าตอนเด็กจะฝึกฝนอย่างยากลำบากบนเขาฉีหวนหลายปี อย่างไรก็ไม่ถึงขั้นต้องลงมือทำอาหารด้วยตนเอง หลังจากคิดว่านี่เป็ ‘ครั้งแรก’ ที่อาหังลงมือเข้าครัว แล้วยังทำเพื่อตนเองอีก ในใจเขาถึงกับเอ่อล้นด้วยความหอมหวานที่ไม่อาจเปิดเผย เกิดความรู้สึกอธิบายไม่ถูกอยู่หลายส่วน
หลังเจียงเฉิงเยว่กินโจ๊กแล้ว เขาวางชามไว้บนโต๊ะข้างเตียงอย่างเป็ธรรมชาติก่อนถามกลับ “ธุระของเซียนจวินที่แดน์...จัดการเสร็จสิ้นแล้วหรือ?”
หลี่อวิ๋นหังพยักหน้า
เจียงเฉิงเยว่เงียบไปชั่วขณะ เขาเข้าใจในตัวตนของตนเองอย่างชัดเจน ดังนั้นจึงไม่ถามหลี่อวิ๋นหังว่าถูกเรียกกลับไปด้วยเื่อะไร
ครู่ต่อมา เขาลังเลอยู่ในใจว่าจะถามหลี่อวิ๋นหังว่าเป็อีกฝ่ายที่พาตนเองกลับมาหรือไม่ ตนยามที่หลับใหลได้ทำอะไรที่ดูไม่ดีหรือไม่กัน ทว่าหลี่อวิ๋นหังกลับเปิดปากก่อน กล่าวถึงธุระของแดน์ให้เขาฟัง ท่าทางราวกับไม่ได้เตรียมที่จะหลีกเลี่ยงแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขาพูดทำให้เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึงไปทั้งร่าง
“ไท่ซวีซิงจวินแห่งวังเจี้ยงอวิ๋นมีคำทำนายว่า...าามารกำลังจะถือกำเนิดขึ้น”
“าามารหรือ?”
หลี่อวิ๋นหังพยักหน้า
ไท่ซวีซิงจวินแห่งวังเจี้ยงอวิ๋นผู้นี้เป็ที่นับถือในระดับเทพผู้สร้างซึ่งเชี่ยวชาญในการพยากรณ์ เมื่อได้รับภาพปากว้า[1] ก็ไม่เคยพลาดมาก่อน รวมถึงการทำนายาระหว่างเทพกับมารเมื่อเกือบพันปีก่อน
เจียงเฉิงเยว่กล่าวด้วยประหลาดใจ “หรือว่าเผ่ามารายังไม่...สูญสิ้น?”
หนึ่งพันปีก่อน ไท่ซวีซิงจวินคนเดิมผู้นี้ได้ทำนายถึงการถือกำเนิดของาามารเป็ครั้งแรก เวลาต่อมาไม่รู้มาร์าที่มีสายเืและิญญาบริสุทธิ์จากที่ใดปรากฏขึ้นมาแล้วสร้างความวุ่นวาย ทั้งสามโลกเสี่ยงที่จะตกอยู่ในอันตราย อวี้ชิงหรือหวาเทียนซ่างเสิน หรือก็คือพี่ชายของจักรพรรดิ์องค์ปัจจุบันได้ผนึกาามารผู้นั้นไว้ในระฆังตงหวงยามคับขัน ทว่าาามารผู้นั้นทรงพลังยิ่ง แม้แต่ระฆังตงหวงยังยากที่จะปราบได้อย่างสมบูรณ์ หวาเทียนซ่างเสินจึงต้องเสียสละตนเองเพื่อทั้งสามโลก ใช้ร่างเทพกลายร่างเป็ระฆังตงหวงเพื่อผนึกอีกชั้นหนึ่ง จึงกดาามารที่สร้างความวุ่นวายไว้ในระฆังตงหวงได้
เปรียบได้ว่าสูญเสียเท่ากันทั้งสองฝ่าย
เจียงเฉิงเยว่กล่าว “เพิ่งผ่านไปหนึ่งพันปี ทำไมถึงมีาามารถือกำเนิดอีกครั้งเล่า? ท่านคิดว่าาามารที่ไท่ซวีซิงจวินทำนายในคราวนี้จะมาจากมาร์าคนใหม่ หรือระฆังตงหวงจะต้องแตกสลาย ผู้ที่ก่อความวุ่นวายเมื่อพันปีก่อนจะออกมาหรือ?”
หลี่อวิ๋นหังส่ายศีรษะ “ข้าไม่รู้”
เจียงเฉิงเยว่ขมวดคิ้ว “่เวลานี้...ทั้งสามโลกต้องวุ่นวายครั้งใหญ่อีกแน่นอน” เขามองหลี่อวิ๋นหัง จากนั้นลังเลอยู่นานจึงถาม “แดน์...ได้คนส่งไปตรวจสอบระฆังตงหวงหรือไม่?”
หลี่อวิ๋นหังเอ่ย “เป็การยากที่จะดูออกจากภายนอกว่าระฆังตงหวงผิดแปลกไปหรือไม่...แต่หากทำให้ผนึกของหวาเทียนซ่างเสินสั่นไหว อาจเป็เพราะเหตุนี้ จึงปลดปล่อยมาร์าที่ผนึกอยู่ออกมาแทน”
เจียงเฉิงเยว่กล่าวอย่างลังเล “พูดได้ถูกต้อง...” เมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาถามต่อ “าามารผู้นั้นถูกผนึกไว้ในระฆังตงหวงเป็เวลาหลายพันปี กล่าวตามหลักแล้ว ระฆังตงหวงมีพลังเทพในการหลอมิญญาของเขา แม้ว่าจะถูกปล่อยออกมาจากระฆังตงหวง ิญญาเทพควรจะอ่อนแอใช่หรือไม่? ถึงแม้ยามนี้ไม่มีหวาเทียนซ่างเสินแล้ว แต่พลังเทพของจักรพรรดิ์ในปัจจุบันยังไม่เพียงพอที่จะผนึกเขาอีกหรือ?”
หลี่อวิ๋นหังตอบกลับ “เขาเป็มาร์าที่มีสายเืและิญญาบริสุทธิ์ แม้มีเพียงเศษเสี้ยวิญญาเทพที่เอ่อล้นออกมาจากระฆังตงหวงย่อมสามารถรวมิญญาของตนเองได้อีกครั้ง แม้ว่าจะมีเทพเ้าอยู่ทั้ง์จะมีใครกล้าเสี่ยงเช่นนี้อีก ในฐานะจักรพรรดิ์ ผู้เป็เผ่าเทพาที่มีสายเืและิญญาบริสุทธิ์คนสุดท้าย การใช้พลังเทพเพื่อผนึกาามารย่อมไม่ใช่ปัญหา ปัญหาคือ...สถานะปัจจุบันของเขา”
เจียงเฉิงเยว่ขมวดคิ้ว
เมื่อหลี่อวิ๋นหังเห็นว่าเขาไม่เข้าใจจึงอธิบายอีกครั้ง “เ้าเคยได้ยินไหมว่า เมื่อสองกองทัพเผชิญหน้ากัน ผู้บัญชาการจะสวมเสื้อเกราะเข้าสู่สนามรบก่อน? แต่เขาคือ...เผ่าเทพาคนสุดท้ายในสามโลก”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นถึงเข้าใจ ก้มศีรษะลงโดยไม่พูดจาเป็เวลานาน
จักรพรรดิ์ไม่ใช่หวาเทียนซ่างเสิน พี่ชายของเขา นอกจากนี้ แม้ว่าหวาเทียนซ่างเสินจะกลับชาติมาเกิดแล้ว เขาก็ไม่มีหน้าที่ที่จะต้องตายอีกเพื่อสรรพชีวิตในสามโลก
คนทั้งสองเงียบไปนาน เจียงเฉิงเยว่เอ่ยขึ้น “เช่นนั้น์...หรือว่า...ยามนี้ไม่ได้ทำอะไรเลยหรือ?”
หลี่อวิ๋นหังบอกอย่างเฉยเมย “ภาพปากว้าก็เป็เพียงภาพปากว้า คำทำนายก็เป็เพียงคำทำนาย...แทนที่จะตีตนก่อนไข้ สู้เตรียมพร้อมรับมือไม่ดีกว่าหรือ ไม่ว่าจะเป็าามารคนใหม่ก็ดี หรือว่าคนผู้นั้นที่ออกมาจากระฆังตงหวงก็ช่าง เมื่อพลังรวมกัน เหตุใดจะเอาชนะเขาไม่ได้”
เจียงเฉิงเยว่พยักหน้า “เหตุผลนี้นี่เอง แต่ข้าแค่กลัวเท่านั้น...ว่าเหล่าผู้บริสุทธิ์ในสามโลกหกเหล่าอาจไม่รู้ว่าจะต้องประสบกับความหายนะแบบใดกัน”
หลี่อวิ๋นหังนิ่งเงียบ
เจียงเฉิงเยว่เงียบไปกับเขาครู่หนึ่ง ทันใดนั้นนึกอะไรได้อีกครั้ง เขารีบหันศีรษะมองหลี่อวิ๋นหัง “อา เอ่อ...เซียนจวิน ถ้าเช่นนั้น...เมื่อถึงเวลาหากเป็เื่จริงก็จะต้องไปร่วมาระหว่างเทพกับมารอีกครั้ง...วังหลิงปี้นั้นถือครองดาบเซวียนหยวน เช่นนั้นท่าน...”
หลี่อวิ๋นหังช้อนตาขึ้นมอง ดวงตามีประกายแห่งความคาดหวังที่เผยออกมาหลายส่วนเพียงชั่วพริบตา ซึ่งดูเหมือนจะมีความตื่นเต้นและยินดีที่ควบคุมไม่ได้อยู่หลายส่วน ยังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไร ทั้งสองคนรับรู้ในเวลาเดียวกันว่าเขตอาคมกับค่ายกลที่เจียงเฉิงเยว่วางไว้รอบอารามเต๋ามีความเปลี่ยนแปลง ไม่นานกลับมีเสียงฝีเท้าดังแว่วมา ตามด้วยน้ำเสียงชัดเจนและคุ้นเคยของเด็กหนุ่ม “ท่านอาจารย์ ข้ากับพี่ชายมาหาท่าน!”
คนทั้งสองที่อยู่ในห้องตกตะลึง เพียงครู่หนึ่งกลับเป็ไปตามคาด ไป้เอ๋อร์ถือกล่องอาหารเข้ามาพร้อมกับพี่ชายของเขา หลังเห็นสถานการณ์ภายในห้องอย่างชัดเจน ไป้เอ๋อร์นิ่งค้าง แล้วถึงยินดีขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “พี่ชายเทพเซียน?!”
สือเยว่หยุดเดินอยู่ด้านหลัง มองหลี่อวิ๋นหังด้วยความประหลาดใจ
ไป้เอ๋อร์เอ่ยอย่างมีความสุข “พี่ชายเทพเซียน ท่านกลับมาแล้วหรือ?!”
หลี่อวิ๋นหังพยักหน้าเล็กน้อยอย่างที่มองเห็นเป็คำตอบยากนัก
ไป้เอ๋อร์ลากพี่ชายของเขามาข้างหน้าอีกครั้ง จากนั้นแนะนำหลี่อวิ๋นหังให้สือเยว่ “พี่...ข้าเคยบอกท่านแล้ว เป็พี่ชายเทพเซียนคนนี้ที่รักษาอาการป่วยของข้าจนหายดี”
สือเยว่จ้องใบหน้าระแวดระวังของหลี่อวิ๋นหัง เมื่อได้ยินคำพูดใบหน้ากลับมาสดใสในทันที เขาประสานมือแสดงความขอบคุณต่อหลี่อวิ๋นหัง “ขอบคุณ...คุณชายท่านนี้” อีกฝ่ายดูอายุไล่เลี่ยกับเขา ทว่าไป้เอ๋อร์เรียกอีกฝ่ายว่า ‘พี่ชายเทพเซียน’ ย่อมต้องเป็ผู้ฝึกฝนเช่นกัน เขาไม่ทราบจริงเชียวว่าเรียกอย่างไรจึงจะเหมาะสม จึงทำได้เพียงใช้คำเรียกที่ไม่ผิดพลาดเท่านั้น
โดยธรรมชาติแล้ว หลี่อวิ๋นหังจะไม่แสดงความเห็น ทว่าสายตาของคนผู้นั้นที่มองตนเองก่อนหน้านี้ช่างไม่ประสงค์ดีเสียจริง หลี่อวิ๋นหังมีความรู้สึกฉับไวเช่นนี้ จึงรับรู้ถึงความเป็ปฏิปักษ์ได้โดยพลัน เขากับอีกฝ่ายมีความสัมพันธ์ที่พบกันเป็ครั้งแรกอย่างเห็นได้ชัด ช่างเป็เื่ที่น่าครุ่นคิดว่าความเป็ปฏิปักษ์นี้มาได้อย่างไร เขาหันศีรษะเหลือบมองเจียงเฉิงเยว่อย่างมีความนัย จากนั้นหันไปหาสองคนนั้น พลางกระตุกมุมปากเล็กน้อย กล่าวอย่างเฉื่อยชา “ไม่ต้องเกรงใจ”
ฉิงชางจวินถูกสายตาที่เขามองทำให้ขนลุกอย่างอธิบายไม่ได้
บรรยากาศเงียบอย่างแปลกประหลาดอยู่ครู่หนึ่ง เจียงเฉิงเยว่นึกขึ้นได้ เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเพื่อทำลายความเงียบงันโดยเร็ว “นั่นอะไร...ไป้เอ๋อร์ ทำไมพวกเ้าจึงคิดที่จะมาในยามนี้?”
ไป้เอ๋อร์บอก “แม่ของข้าทำไข่เจียวอบต้นหอมของโปรดของท่านอาจารย์ ข้าเลยเอามาส่งให้” ขณะที่พูดเขารับกล่องอาหารจากพี่ชายมาวางไว้บนโต๊ะแปดเซียนตรงกลางห้องนอน “ท่านอาจารย์ เมื่อคืนนี้...สีหน้าท่านน่ากลัวเช่นนั้น ข้าจึงไม่วางใจเท่าไร แน่นอนว่า้ามาเยี่ยมท่าน”
หลังจากนั้น เขาเห็นว่าเจียงเฉิงเยว่ยังไม่ลุกขึ้นจึงกังวลขึ้นมาโดยพลัน “ท่านอาจารย์ ท่านคงไม่ได้ป่วยจริงใช่หรือไม่?” พูดจบก็วิ่งมายื่นมือแตะหน้าผากของเจียงเฉิงเยว่ เอ่ยอย่างเป็กังวล “ท่านอาจารย์ ทำไมท่านถึงตัวร้อนเช่นนี้? ท่านป่วยแล้วจริงหรือ?”
หลังจากเห็นศิษย์รีบร้อน น้ำเสียงสั่นเครือแ่เบา เจียงเฉิงเยว่ใจนรีบบอก “ไม่เป็ไรๆ แค่หนาวนิดหน่อยเท่านั้น เ้าอย่าได้ตื่นตูม”
ไป้เอ๋อร์ทำปากจู๋ “ท่านอาจารย์ ปกติท่านไม่ค่อยป่วย ทำไมถึงหนาวได้เล่า?”
เจียงเฉิงเยว่ยังไม่ทันได้ตอบอะไร สือเยว่รีบกล่าว “พอดีเลย หมอกัวจากหมู่บ้านใกล้เคียงอยู่ที่บ้านอาหนิวพอดี ข้าจะไปเชิญเขามา”
“เฮ้...สือเยว่...ไม่จำเป็!” เจียงเฉิงเยว่เรียกเขาจากด้านหลัง
อย่างไรก็ตาม สือเยว่กลับไม่สนใจ เดินไปราวกับสายลม
เจียงเฉิงเยว่มองหลี่อวิ๋นหังด้วยความลำบากใจเล็กน้อย เอ่ยด้วยรอยยิ้มแหย “ฮ่าๆ เด็กคนนี้...”
หลี่อวิ๋นหังยังคงจ้องเขาด้วยรอยยิ้มเลือนราง เจียงเฉิงเยว่หัวเราะไม่ออกแล้ว
ไป้เอ๋อร์ได้รับผลกระทบจากบรรยากาศแปลกๆ ระหว่างคนทั้งสอง จึงรู้ว่าตนเองควรหาเหตุผลหลบหนีอย่างมีไหวพริบ ดังนั้นจึงบอก “ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์...เช่นนั้นข้าจะเอาสิ่งนี้ไปไว้ที่ห้องครัว”
ความกดอากาศต่ำภายในห้องทำให้เจียงเฉิงเยว่ััได้ถึงอันตราย จึงไม่กล้าบอกให้อีกฝ่ายออกไป เขารีบรั้งไว้แล้วถาม “ใช่แล้ว ข้ายังไม่ได้ถามเ้าเลย วันนี้อาหนิวเป็อย่างไรบ้าง?”
ไป้เอ๋อร์ตอบ “หมอมาตรวจเขาแล้ว ไม่มีอะไรร้ายแรง...จึงจ่ายยาให้เขาดื่ม ท่านอาจารย์บอกแล้วนี่ว่ารอให้เขาหายดีแล้ว ไม่จำเป็ต้องกลัวิญญาชั่วร้ายเ่าั้เข้าสิง เพราะอย่างนั้น ขอเพียงเขาดื่มยาอย่างเชื่อฟัง คงจะไม่มีปัญหาอะไรแล้วกระมัง”
“โอ้” เจียงเฉิงเยว่ลูบจมูกครู่หนึ่ง คิดไม่ออกว่าจะพูดอะไรต่ออีก
“เช่นนั้นท่านอาจารย์ ข้าไปที่ห้องครัวก่อน” ไป้เอ๋อร์พูดจบก็รีบเอาฝ่าเท้าถูน้ำมัน[2]
นี่จึงเป็อีกครั้งที่เหลือเพียงเจียงเฉิงเยว่กับหลี่อวิ๋นหังอยู่ในห้อง เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง รวบรวมความกล้าเพื่อสบตากับหลี่อวิ๋นหัง เผยความเอาใจอย่างลำบากใจยิ่ง แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจว่าทำไมหลี่อวิ๋นหังถึงดูอารมณ์ไม่ดีอีก ทว่า ถึงอย่างไรก็เคยอยู่ร่วมกับคนผู้นี้มาก่อน ล่วงรู้เคล็ดลับในการรับมือ ไม่ว่าจะเพราะอะไร เพียงขอโทษก็จบ ง้อเขาย่อมเรียบร้อย ง้อให้ตายกันไปข้างอะไรเทือกนั้น!
หลี่อวิ๋นหังถอนหายใจเล็กน้อยก่อนหันศีรษะไปไม่มองมา จากนั้นลุกออกจากห้อง สถานการณ์นี้ช่างทำให้เจียงเฉิงเยว่รู้สึกงุนงงจริงเชียว
------------------------
[1] ภาพปากว้า หมายถึง การทำนายด้วยสัญลักษณ์รูปแบบหนึ่ง
[2] ฝ่าเท้าถูน้ำมัน เป็การอุปมา หมายถึง รวดเร็ว
