ลุงโจวและลุงฝูต่างก็กล่าวชมว่าอร่อย ส่วนเจียงชิงอวิ๋นใช้การกระทำแสดงถึงความชอบด้วยการหยิบขึ้นมากินอีกชิ้นหนึ่ง
ลุงฝูดีใจที่เจียงชิงอวิ๋นกินได้ เขาจำได้ว่าคราวที่แล้วตอนที่เจียงชิงอวิ๋นกินข้าวที่บ้านหลี่ก็กินได้มากเป็พิเศษ จึงกล่าวไปว่า “ที่ผ่านมานายท่านของข้าไม่ค่อยอยากอาหารนัก ปกติเวลานี้จะไม่กินอะไร แต่วันนี้กลับเป็ข้อยกเว้น ถึงกับกินแป้งย่างรสหวานไปสองชิ้นทีเดียว”
หลี่หรูอี้เห็นเจียงชิงอวิ๋นมีกิริยาสุภาพอ่อนโยน แม้วันนี้จะไม่ได้ใส่ชุดขนสัตว์สีดำ แต่ก็ยังมีท่าทางเฉกเช่นคุณชายผู้สูงศักดิ์ มีความสง่างามทุกกระเบียดนิ้ว ดึงดูดสายตาผู้คนยิ่งนัก “แป้งย่างรสหวานชิ้นไม่ใหญ่ ทานสองชิ้นก็เหมือนไม่ได้ทานหรอกเ้าค่ะ”
เดิมทีเจียงชิงอวิ๋นคิดจะกินเพียงสองชิ้นเท่านั้น แต่เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่หรูอี้ก็รู้สึกว่ามีเหตุผล แป้งย่างชิ้นเล็กเท่านี้ไม่พอเติมท้องจริงๆ สุดท้ายจึงกินชิ้นที่สามเข้าไป
“แป้งย่างที่เหลือเก็บไว้อุ่นกินตอนเย็นก็ได้ บ่าวจะเก็บไว้ให้นายท่านเองเ้าค่ะ” นางหลิวอยากเห็นเจียงชิงอวิ๋นกินได้มากเช่นนี้ทุกมื้อ นางปัดมือลุงโจวและลุงฝูที่กำลังยื่นไปในตะกร้าออก แล้วนำแป้งย่างรสหวานที่เหลือออกไปจากห้องโถง
หลี่หรูอี้ยังคงไม่ได้ตรวจอาการให้เจียงชิงอวิ๋น นางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “การที่ท่านไม่ค่อยอยากอาหารเกี่ยวข้องกับการที่ท่านเคลื่อนไหวน้อย ท่านอยู่แต่ในบ้านไม่ออกไปเดินเคลื่อนไหวร่างกาย ทำให้ร่างกายไม่ได้ใช้แรง ท้องจึงไม่รู้สึกหิวและทำให้ไม่อยากอาหาร เมื่อครู่ท่านทานแป้งย่างรสหวานไปสามชิ้น อีกประเดี๋ยวข้าจะให้พวกพี่ชายไปเดินย่อยเป็เพื่อนท่านที่ด้านนอกสักครึ่งชั่วยาม เช่นนี้ตอนเย็นจึงจะหิว”
เจียงชิงอวิ๋นคิดว่าวันนี้ฟ้าปลอดโปร่ง เดินในบริเวณจวนสักหน่อยก็คงดี จึงตอบไปว่า “ได้”
เด็กชายทั้งสี่แห่งบ้านหลี่เห็นเจียงชิงอวิ๋นตอบรับแล้วก็รู้สึกยินดีในใจ
หลี่หรูอี้เห็นบิดาและเหล่าพี่ชายของตนพยายามเก็บอาการ จึงไม่กล้าพูดกับเจียงชิงอวิ๋น ได้แต่หาหัวข้อสนทนามาคุยเล่น “ตัวอักษรบนป้ายหน้าประตูของจวนท่านดูทรงพลังยิ่งนัก เพียงมองก็รู้สึกตื่นเต้น ทำให้ใจสั่นระรัว ไม่ทราบว่าผู้ใดเป็คนเขียนหรือเ้าคะ”
เจียงชิงอวิ๋นกล่าวอย่างถ่อมตน “ญาติผู้พี่ของข้าเป็คนเขียนเอง ญาติผู้พี่ของข้ามีตำแหน่งอยู่ในกองทัพ”
หลี่หรูอี้ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เหมือนกับที่ข้าคิดจริงๆ มีเพียงวีรบุรุษในกองทัพที่ผ่านสนามรบมาแล้วเท่านั้น จึงจะเขียนตัวอักษรเช่นนี้ออกมาได้”
องครักษ์ประจำตัวทั้งสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเจียงชิงอวิ๋นเผยสีหน้าภาคภูมิใจออกมาพร้อมกัน พวกเขามาจากจวน เยี่ยนอ๋อง ย่อมมีความเคารพเลื่อมใสในตัวเยี่ยนอ๋องโจวปิงอย่างสูง หลี่หรูอี้ชมว่าโจวปิงเป็วีรบุรุษ พวกเขาย่อมเห็นด้วย
เจียงชิงอวิ๋นกล่าวอย่างเนิบช้า “ที่ชายแดนไม่มีาใหญ่ มีเพียงาเล็กๆ ญาติผู้พี่ของข้าอยู่กับสนามรบมาหลายปี ไม่ว่าจะาใหญ่น้อยก็เคยผ่านมาแล้วทั้งสิ้น”
หลี่อิงฮว๋าอดที่จะเอ่ยปากไม่ได้ว่า “ที่แท้ตอนนี้ชายแดนก็ไม่ได้สงบนี่เอง”
เจียงชิงอวิ๋นกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “มีาอยู่ตลอด มีทหารสละชีพอยู่ตลอด โดยเฉพาะในฤดูหนาว แคว้นของศัตรูไม่มีธัญพืชไม่มีเสบียงกิน ย่อมไม่สามารถผ่านพ้นฤดูหนาวไปได้ ทัพใหญ่ของศัตรูจึงแบ่งออกเป็กองทัพเล็กๆ หลายกอง แล้วมาปล้นชิงเสบียงที่ชายแดนของแคว้นเรา”
หลี่หรูอี้กล่าวอย่างทอดถอนใจ “พวกเราใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุขเพราะมีเหล่าทหารชายแดนคอยเป็ด่านหน้าจริงๆ” ดูแล้วการที่ที่ดินของภาคเหนือราคาตกในทุกฤดูหนาวเช่นนี้มิใช่เพียงเพราะชาวบ้านขายที่กันมากเท่านั้น แต่ยังมีสาเหตุมาจากการที่แคว้นของศัตรูบุกมาทำาอีกด้วย
“คำพูดนี้กล่าวได้ดียิ่งนัก หากไม่มีทหารชายแดนคอยสละชีพปกป้องแว่นแคว้น พวกเราจะมีชีวิตอันสงบสุขได้หรือ” เจียงชิงอวิ๋นมองหลี่หรูอี้ด้วยความประทับใจมากขึ้นไปอีก
หลี่ฝูคังรวบรวมความกล้าถามขึ้นว่า “นายท่านเจียงเคยไปชายแดนหรือไม่ เคยเห็นกองทัพศัตรูหรือไม่ขอรับ”
“ข้าเคยไปชายแดน ไม่เคยเห็นกองทัพศัตรู แต่เคยเห็นเชลยของทัพศัตรู” สิ่งที่เจียงชิงอวิ๋นเคยเห็นก็คือ ทหารชายแดนเข่นฆ่าสังหารเชลยของกองทัพศัตรูนั่นเอง
กองทัพของแคว้นศัตรูทำให้หมู่บ้านต่างๆ ในแค้วนต้าโจต้องหลั่งเืมากมาย เขาจึงไม่คิดว่าการที่ทหารชายแดนของแคว้นตนกระทำเช่นนี้กับเชลยศึกของทัพศัตรูจะเป็การกระทำที่ไร้คุณธรรมแต่อย่างใด
เด็กชายทั้งสี่แห่งบ้านหลี่รู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก พากันถามเจียงชิงอวิ๋นไปหลายคำถาม เจียงชิงอวิ๋นก็ตอบทุกคำถาม ทั้งยังเล่าถึงชีวิตชาวบ้านที่ชายแดนให้ฟังอีกด้วย
เด็กชายทั้งสี่แห่งบ้านหลี่ได้ฟังแล้วก็รู้สึกอยากไปยิ่งนัก
ลุงฝูกล่าวกับหลี่ซานอย่างภาคภูมิใจว่า “นายท่านของพวกเราไม่ใช่หนอนหนังสือ เขาเคยไปมาหลายที่เลยทีเดียว”
หลี่หรูอี้เอ่ยถามขึ้นว่า “เช่นนั้นเคยไปสุดปลายแผ่นดินหรือไม่เ้าคะ”
เจียงชิงอวิ๋นให้ความสนใจกับหลี่หรูอี้มาตลอด เขารีบมองไปที่นางแล้วตอบคำถามโดยพลัน “สุดปลายแผ่นดินที่เ้าว่า ก็คือทางใต้สุดของแคว้นต้าโจวกระมัง”
หลี่หรูอี้ตอบว่า “เ้าค่ะ ข้าเคยอ่านเจอในหนังสือ ในนั้นเขียนบรรยายถึงผู้คนและวัฒนธรรมของที่นั่นเอาไว้ มีลมทะเลโชยพัด ต้นมะพร้าวสีเขียวเรียงราย บนต้นมะพร้าวมีมะพร้าวลูกกลมสีน้ำตาลและสีเหลือง เม็ดทรายบนชายหาดละเอียดนุ่มราวดินโคลน นั่งบนหาดทรายดื่มน้ำมะพร้าวกลิ่นหอมรสหวานชุ่มคอ กินอาหารทะเลเลิศรสโอชาสุดเปรียบ ให้ความรู้สึกพึงพอใจเหลือล้น”
“เป็ความพึงพอใจจริงๆ” มุมปากของเจียงชิงอวิ๋นยกขึ้นเล็กน้อย “แต่หนังสือเกี่ยวกับสุดปลายแผ่นดินที่ข้าเคยอ่านกลับบรรยายเอาไว้ว่า มีหนูตัวใหญ่กว่าแมว ลมทะเลพัดแรงจนคนปลิว ไม่ได้ดีเฉกเช่นที่เ้าว่า”
หลี่หรูอี้กลอกตาไปมา “หนังสือที่ท่านอ่านเขียนความจริง หนังสือที่ข้าอ่านก็เขียนความจริงเช่นเดียวกัน”
“อ้อ...?”
“หากพวกเราจะดูสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง ย่อมไม่อาจมองเพียงด้านแย่หรือด้านที่ไม่ดี เช่นเมืองเยี่ยนแห่งนี้ หากในฤดูร้อนมีฝนตกน้อยก็จะไม่มีภัยน้ำท่วม แต่หากขาดแคลนน้ำก็จะเกิดภัยแล้ง”
“ที่เ้ากล่าวก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล” เจียงชิงอวิ๋นคิดในใจว่าเด็กน้อยผู้นี้ช่างมีคารมคมคายจริงๆ
หลี่ฝูคังเกิดความสงสัยในใจ จึงเอ่ยถามไปว่า “น้องสาว หนังสือเล่มใดในบ้านพวกเราที่เขียนเอาไว้หรือ เหตุใดข้าจึงไม่เคยอ่าน”
หลี่หรูอี้ขยิบตาใส่พี่ชายรองที่มีนิสัยตรงไปตรงมา “เขียนไว้ในหนังสือเบ็ดเตล็ดเล่มหนึ่ง เพิ่งถูกหนูกัดไปเมื่อไม่นานมานี้ ท่านคงไม่ได้อ่านเ้าค่ะ”
หลี่ฝูคังมีสีหน้าหดหู่ “อา... หนังสือที่ข้าอยากอ่านถูกเ้าหนูสมควรตายกินไปแล้ว โชคร้ายจริงๆ!”
หลี่เจี้ยนอัน หลี่อิงฮว๋า และหลี่ิ่หานแอบหัวเราะอยู่ในใจ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่น้องสาวของพวกเขาอ้างว่าไม่มีหนังสือแล้ว มีเพียงหลี่ฝูคังผู้เดียวเท่านั้นที่คิดว่ามีหนังสือเล่มนั้นอยู่จริงๆ
หลี่หรูอี้เห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้ว จึงกล่าวขึ้นว่า “พี่ชาย พวกท่านไปเดินเล่นกับนายท่านเจียงเถิด”
เด็กรับใช้นำเสื้อขนสัตว์สีดำและหมวกขนสุนัขจิ้งจอกสีดำเข้ามา เมื่อเห็นว่าเจียงชิงอวิ๋นลุกขึ้นยืน ก็รีบเดินมาสวมให้
หลี่หรูอี้มองไปทางพี่ชายทั้งสี่เป็การส่งสัญญาณ พวกพี่ชายพยักหน้าอย่างตื่นเต้น ต่อไปพวกพี่ชายจะได้มาจวนเจียงบ่อยๆ เพื่อขอคำชี้แนะจากเจียงชิงอวิ๋นหรือไม่ ก็ต้องดูแล้วว่าอีกครู่หนึ่งจะคารวะอาจารย์ได้หรือไม่
เจียงชิงอวิ๋นพาเด็กชายทั้งสี่ออกไปจากห้องโถง โดยมีองครักษ์ประจำตัวอีกสองคนเดินตามไปด้วย
หลี่ซานและหลี่หรูอี้นั่งรออยู่ในห้องโถง ลุงโจวและนางหลิวกลัวว่าจะต้อนรับพวกเขาได้ไม่ดี จึงชวนพวกเขากินผลไม้อย่างเป็มิตร
ตอนนี้หลี่หรูอี้จึงค่อยมีเวลาสังเกตดูผลไม้เ่าั้ มีส้ม ส้มโอ อ้อย มีกระทั่งผีผา (คล้ายมะปราง) จึงอดถามไม่ได้ว่า “ผีผาเป็ของหายาก นี่เป็ผีผาฤดูหนาวของทางใต้หรือเ้าคะ”
“ใช่แล้ว ส่งมาจากสู่ตี้” พวกลุงฝูทั้งสามคนรู้สึกแปลกใจยิ่งนัก
ฉินไท่เฟยแห่งจวนเยี่ยนอ๋องชอบกินผีผา ผีผามีประโยชน์ช่วยคลายร้อน ทุกปีจึงต้องสิ้นเปลืองกำลังคนและทรัพยากรมากมาย เพื่อขนส่งผีผาจากสู่ตี้มายังเมืองเยี่ยน
ผีผาของจวนเจียงก็มาจากการที่ฉินไท่เฟยสั่งให้ผู้ดูแลจวนเยี่ยนอ๋องนำมาให้ มีเพียงไม่ถึงสองชั่ง เมื่อครู่ตอนที่เจียง ชิงอวิ๋นออกไปด้านนอกก็กำชับให้เด็กรับใช้นำมาให้สองพ่อลูกหลี่หรูอี้กินด้วย
ผลไม้ที่เก็บไว้ในห้องใต้ดินของบ้านหลี่ มีจำพวกแอปเปิลและสาลี่ ไม่มีแม้แต่ส้ม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผลไม้ที่หายากอย่างผีผาเลย
หลี่หรูอี้หยิบผีผาขึ้นมาปอกแล้วส่งให้หลี่ซานกิน จากนั้นจึงหยิบมากินเองอีกลูกหนึ่ง ช่างหวานอร่อยจริงๆ พลางคิดในใจว่ามีเพียงตระกูลผู้สูงศักดิ์จึงจะได้กินผลไม้เช่นนี้ในฤดูหนาว เมื่อใดครอบครัวตนจะมีชีวิตเช่นนี้บ้างหนอ และจึงถามขึ้นว่า “ปกตินายท่านของพวกท่านกินผลไม้หรือไม่”
ลุงฝูตอบ “กินน้อยมาก”
หลี่หรูอี้กล่าวต่อไป “ที่นี่อากาศแห้งแล้งทั้งสี่ฤดู หากนายท่านของพวกท่านไม่กินผลไม้คงไม่ดี”
นางหลิวรีบกล่าวขอร้องทันใด “รบกวนหมอเทวดาน้อยช่วยกล่าวโน้มน้าวนายท่านของพวกเรา ช่วยบอกให้เขากินผลไม้ให้มากด้วยเถิด”
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้