โจวเฉิงติดสอยห้อยตามเซี่ยเสี่ยวหลานไปหยางเฉิง
ตั๋วรถไฟหาซื้อได้ยากทีเดียว แต่ในเมื่อโจวเฉิง้า เขาก็สามารถคิดวิธีหาตั๋วหนึ่งใบได้อยู่ดีเซี่ยเสี่ยวหลานปฏิเสธความหวังดีในการเปลี่ยนเป็ตั๋วตู้นอน “โจวเฉิง นี่คือชีวิตของฉันนะ”
เหมือนก่อนหน้านี้ที่เธอปฏิเสธรถรับส่งจากโจวเฉิงดังคำกล่าวของเซี่ยเสี่ยวหลาน เขายังไม่มีสิทธิได้รับถึงขั้นนั้น
เท้าขนาดเท่าไรก็ใส่รองเท้าขนาดเท่านั้น [1]สักวันเธอจะมีสิ่งที่เธอ้าอยู่ดี สำหรับเื่นี้เซี่ยเสี่ยวหลานไม่อยากพึ่งพาใครจริงๆตอนนี้มีโจวเฉิงให้พึ่งพา เธอจึงค่อยๆ เกิดความเฉื่อยชา ถ้าหากโจวเฉิงพึ่งพาไม่ได้แล้วเธอจะทำเช่นไร? อย่างไรเสียเธอกับโจวเฉิงยังไม่ได้ยืนยันความสัมพันธ์ใครจะรู้เื่ของอนาคตได้
โจวเฉิงขัดใจเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้อยู่ร่ำไปเขาก็ไม่้านำเื่แบบนี้มาทำให้เซี่ยเสี่ยวหลานอารมณ์เสีย
เช่นนั้นก็นั่งที่นั่งธรรมดา เขามิได้ทนต่อลำบากไม่ไหวเสียหน่อย
คังเหว่ยยังอยู่ที่ซางตู โจวเฉิงกำชับเขาให้ช่วยหลิวหย่งไปจัดการเื่ถอนตัวจากผู้ถือหุ้นการทำงานลักลอบขนสินค้าเถื่อนได้นั้น คงไม่ใช่พวกต่อกรได้ง่ายแน่หลิวหย่งบอกว่าจะถอนตัว คนพวกนั้นจะคืนส่วนที่เป็ของเขาให้โดยดีหรือ?
“อย่าไปตามลำพัง ฉันจำได้ว่าครอบครัวเสี่ยวกวงมีญาติอยู่ซางตูขอให้เสี่ยวกวงช่วยเหลือ หลังจากกลับปักกิ่งเมื่อไรฉันจะไปขอบคุณเสี่ยวกวงเอง”
เสี่ยวกวงก็อยู่ในต้าเยวี่ยนเดียวกัน
แม้ครอบครัวจะมีชื่อเสียงไม่สู้ตระกูลโจวแต่เสี่ยวกวงมีลุงและอาฝ่ายพ่อไม่น้อย โจวเฉิงจำได้ว่าเมื่อปีกลายลุงของเสี่ยวกวงเหมือนจะโยกย้ายมาทำงานที่ซางตู
การนำเงินต้นทุนของหลิวหย่งกลับมานั้นเป็เื่เล็กน้อยแค่ใช้เส้นสายลุงของเสี่ยวกวงเสียหน่อยก็สามารถทำได้ แต่จุดประสงค์หลักคือโจวเฉิง้าส่งคำเตือนแก่พวกที่หลิวหย่งร่วมกลุ่มด้วยบอกพวกเขาว่าเื้ัหลิวหย่งมีคนหนุนอยู่ เพื่อเป็การป้องกันไม่ให้กลุ่มคนที่กังวลว่าหลิวหย่งจะแพร่งพรายความลับกลับมาแก้แค้นภายหลัง
คังเหว่ยก็รู้ดีถึงความโหดร้ายในธุรกิจสีเทานั้น
“พี่เฉิงจื่อวางใจ ผมจะจัดการเื่นี้ให้เรียบร้อยแน่นอน!”
หลิวหย่งคือคุณลุงของว่าที่ภรรยาพี่เฉิงจื่อเช่นนั้นจึงเป็คุณลุงของพี่เฉิงจื่อ และถือว่าเป็คุณลุงของคังเหว่ยครึ่งหนึ่งคังเหว่ยจะต้องดึงหลิวหย่งออกมาให้สำเร็จอยู่แล้ว
ครั้งนี้เซี่ยเสี่ยวหลานมีโจวเฉิงร่วมทาง ความกังวลในการเดินทางไปหยางเฉิงก็รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น
บนรถไฟน่าเบื่อยิ่งนัก ต้องอยู่แบบนี้สามสิบกว่าชั่วโมง คงจ้องตา [2] กับโจวเฉิงไปตลอดทางไม่ได้สินะ? เซี่ยเสี่ยวหลานจึงนำหนังสือมาด้วยสองเล่มแม้ว่าเธอจะวุ่นวายกับการหาเงินแต่ก็ยังคงทบทวนบทเรียนตามตารางอย่างเป็กิจจะลักณะ
หาก้ามั่นใจในความรู้อีกครั้ง นอกจากการเข้าใจอย่างมีระบบแล้วนั้นจำเป็ต้องหมั่นฝึกทำแบบฝึกหัดเท่ามหาสมุทร
เซี่ยเสี่ยวหลานจ่ายค่าเล่าเรียนให้เซี่ยนอีจงทุกครั้งที่โรงเรียนพิมพ์แบบทดสอบเธอไม่เคยพลาด นำกลับบ้านไปทำด้วยตนเองทั้งหมดหนังสือแบบฝึกหัดเสริมในเวลานี้มีน้อยเหลือเกิน การซื้อหวงกังมี่เจวี้ยน [3] คือการเพ้อฝันอย่างไม่ต้องสงสัย อาจารย์ของทุกโรงเรียนจะคิดแบบทดสอบเองข้อสอบที่ตีพิมพ์ออกมามีกลิ่นหมึกพิมพ์อันรุนแรง ทำแบบทดสอบเสร็จหนึ่งชุดฝ่ามือและชายแขนเสื้อก็ติดสีดำแล้ว
เดือนหน้าโรงเรียนจะจัดการทดสอบพร้อมกันถ้าเซี่ยเสี่ยวหลาน้าคว้าคะแนนสูงก็ไร้หนทางอื่นแล้ว มีเพียงต้องทำแบบฝึกหัดในเวลาจำกัดเท่านั้น
ข่าวดีคือความทรงจำเกี่ยวกับข้อสอบเกาเข่าปี 84 ของเซี่ยเสี่ยวหลานเป็รูปเป็ร่างมากขึ้นเรื่อยๆตอนนี้เธอระลึกได้สักครึ่งชุดข้อสอบ คำถามชัดเจน คำตอบจำได้อย่างแม่นยำ ยังไม่ถึงเวลาของการสอบเกาเข่าเซี่ยเสี่ยวหลานได้มีข้อสอบจำนวน 60 ส่วนอยู่ในมือแล้วเธอรู้สึกกระอักกระอ่วนที่รู้สึกว่าการทำทุจริตได้มันช่างยอดเยี่ยมเหลือเกินทว่าเธอไม่ได้ทุจริตจริงเสียหน่อย นี่เป็ข้อสอบที่เคยทำเมื่อชาติก่อนหรอกน่า!
เรียนรู้คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีจนเชี่ยวชาญ อยู่หนแห่งใดไม่ต้องกลัวอาจารย์ในชาติก่อนไม่ได้โกหกเธอ
แต่เซี่ยเสี่ยวหลานก็ไม่เชื่อถือ ‘ข้อสอบเกาเข่าวิชาคณิตศาสตร์ประจำปี 84’ ที่จดจำได้ขึ้นใจจนเกินควร ถ้ายังไม่ถึงเวลาได้รับข้อสอบในปีหน้าจริงตกลงแล้วข้อสอบเกาเข่าเหมือนในความทรงจำหรือไม่ ยังเต็มไปด้วยตัวแปรอีกมากมาย
เป็ไปตามคำกล่าวนั้น มีเพียงแต่เธอต้องทบทวนด้วยตนเองจนถ่องแท้ไม่ว่าเกาเข่าในปีหน้าจะยากหรือง่าย เธอถึงจะมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น
การทบทวนแบบฝึกหัดจำนวนมากบนรถไฟหนนี้ เป็สิ่งที่โจวเฉิงนึกไม่ถึง
การเดินทางสุดแสนคลุมเครือที่คาดไว้ในตอนแรกกลายเป็การมองเซี่ยเสี่ยวหลานตั้งใจทบทวนอยู่เงียบๆสถาพแวดล้อมบนรถไฟเอะอะอื้ออึง เซี่ยเสี่ยวหลานยัดก้อนสำลีใส่ไว้ในหูเวลาที่ทั้งสองจะได้สนทนากันจึงมีแต่ต้องรอเซี่ยเสี่ยวหลานอ่านหนังสือจนเหนื่อยแล้วพักผ่อน
มีโจวเฉิงอยู่ช่างสะดวกสบายยิ่งนัก พอเขานั่งด้านข้างก็ไม่มีกลุ่มค้ามนุษย์ไหนคิดจะวางแผนล่อลวงเซี่ยเสี่ยวหลานอีก
โจวเฉิงท่าทางไม่เป็มิตร และยิ่งไม่เหมือนคนประเภทขัดสนเงินทอง
หากคิดใช้วิธีการไปหาเงินก้อนใหญ่เพื่อหลอกเซี่ยเสี่ยวหลานต้องผ่านด่านของโจวเฉิงก่อน แววตาที่เขามองเซี่ยเสี่ยวหลานช่างจงรักภักดีเหลือเกินเซี่ยเสี่ยวหลานยังต้องไปหาเงินก้อนใหญ่ที่อื่นอีกหรือ ขอเพียงเอ่ยปากกับโจวเฉิงเขาก็พร้อมนำเงินที่ตัวเองหาได้มามอบให้ด้วยสองมือแล้ว
น่าเสียดายเพราะเซี่ยเสี่ยวหลานไม่สนใจเงินของเขา
โจวเฉิงรูปงามั้แ่วัยเยาว์ สาวน้อยสาวใหญ่ล้วนชื่นชอบใบหน้าของเขาแต่เซี่ยเสี่ยวหลานน่ามองกว่าเขาเสียอีก อุบายนี้น่าจะไม่ได้ผลเหมือนกัน
โจวเฉิงดูสภาพอากาศด้านนอกพลางดูนาฬิกาข้อมืออีกรอบและลงมือดึงหนังสือหน้าเซี่ยเสี่ยวหลานไปจนได้
“ไม่ต้องอ่านแล้ว พักผ่อนสักหน่อยเถอะ”
เซี่ยเสี่ยวหลานนวดคลึงเปลือกตา วันนี้พวกเขานั่งรถไฟเที่ยว 12 นาฬิกา พอทบทวนก็กินเวลาถึงห้าหกชั่วโมงเซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกถึงความอ่อนล้าแล้วจริงๆ
“โจวเฉิง ขอโทษนะ ฉันละเลยเธอหรือเปล่า?”
โจวเฉิงให้เธอดื่มน้ำดื่มท่า
“เธอไม่เรียกฉันว่าพี่โจว ฉันรู้สึกดีใจมากเลยล่ะ และเธอก็ไม่ต้องขอโทษอะไรฉันด้วย”
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำ
ที่แท้พานพบกันอีกครั้ง เธอได้เปลี่ยนการเรียกชื่อของโจวเฉิงแล้วคนที่อายุมากกว่าเธอ เธอเรียก ‘พี่ชาย’ ทั้งหมด เดิมทีนี่เป็วิธีการขายของในยุคอนาคต มารยาทงามไร้คนถือโทษ เรียก ‘พี่ชาย’ เป็ความเคารพรูปแบบหนึ่ง เช่น หูหย่งไฉจูฟ่าง และยังมีเฉินชิ่ง คนเหล่านี้ล้วนถูกเซี่ยเสี่ยวหลานเรียกด้วยคำว่าพี่...เรียกพี่มีไมตรีมากกว่าเรียกคุณหรือสหาย สามารถดึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนเป็ประโยชน์ต่อการทำงานของเซี่ยเสี่ยวหลาน
คำเรียกชนิดเดียวกัน แต่หากถูกใช้กับโจวเฉิง นั่นคือความห่างเหิน
โจวเฉิงไม่อยากเป็พี่ชายของเซี่ยเสี่ยวหลาน เขาอยากเป็ผู้ชายของเธอ!
อาจเพราะการจูงมือในสถานีรถไฟ รึอาจเพราะอ้อมกอดที่จงใจของโจวเฉิงเมื่อเซี่ยเสี่ยวหลานได้พบหน้าอีกครั้ง ก็เริ่มเรียกชื่อจริงของโจวเฉิงโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวเสียแล้ว
“เธอนี่เ้าเล่ห์เหลือเกิน!”
เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าตนเองมีความรู้และประสบการณ์มากมาย ทว่ากลับถูกโจวเฉิงล่อลวงจนติดกับดักอยู่เรื่อย
โจวเฉิงเป็คนดั้งเดิมในยุค 80 คนหนึ่งอายุเพียง 20 ปี ทำไมถึงได้เ้าแผนการขนาดนี้?
เซี่ยเสี่ยวหลานจ้องโจวเฉิงอย่างกราดเกรี้ยว น่าเสียใจที่สายตาของเธอนั้นละมุนละไมไร้ซึ่งความดุร้ายโจวเฉิงกลับรู้สึกชื่นมื่นเบิกบานเสียด้วยซ้ำ
“ใช่ ฉันเ้าเล่ห์ เธอว่าอย่างไรฉันยอมรับหมด!”
การจะเกี้ยวพานภรรยานั้นเหมือนการเคลื่อนพลออกรบดูแคลนศัตรูในทางยุทธศาสตร์ เห็นคุณค่าศัตรูในทางยุทธวิธี [4] เขากอดความเชื่อมั่นว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจะกลายเป็ภรรยาของเขาไว้ไม่สั่นคลอนแต่ขั้นตอนการไขว่คว้าภรรยาต้องงัดทุกกลเม็ดออกมาใช้ หากยังไม่ถึงวันนั้นที่ครองคู่แก่เฒ่าไปพร้อมกับภรรยาจนศัตรูหัวใจทรมานหมดสิ้นเรียกได้ว่านอนหลับไม่สงบสุขตลอดกาล!
โจวเฉิงโดนตำหนิไม่โต้ตอบ เซี่ยเสี่ยวหลานจะทำอย่างไรได้?
ตอนนี้เธอคือฝ่ายไร้เหตุผลเสียแล้วพี่สาวผู้นั่งอยู่ตรงข้ามเธอและโจวเฉิงมองเซี่ยเสี่ยวหลานด้วยแววตาไม่เห็นชอบเป็อย่างยิ่งเมื่อเห็นว่าโจวเฉิงไปซื้ออาหารแล้ว พี่สาวก็ถอนใจอย่างจริงจัง
“คนรักของคุณดีเหลือเกินนะ ผู้ชายดีต่อผู้หญิงเป็โชคลาภที่เฝ้าขอกันไม่ได้เราต้องทะนุถนอมไว้”
ความหมายโดยนัยของพี่สาวก็คือ อย่ากระเง้างอดอย่างเอาเป็เอาตายเพราะว่าหน้าตาสวยเลยนะคิดจะทำให้ผู้สังเกตการณ์ที่หน้าตาไม่ได้ดีอย่างพวกเธอริษยาขนาดไหนกัน?
เซี่ยเสี่ยวหลานยิ้มรับพลางพยักหน้า
ม่านราตรีมาเยือน แสงสว่างในตู้รถไม่เหมาะกับการอ่านหนังสืออีกต่อไปเซี่ยเสี่ยวหลานและโจวเฉิงจึงสนทนากัน โจวเฉิงคนนี้เก่งในด้านการสร้างบรรยากาศให้ครึกครื้นยิ่งนักเซี่ยเสี่ยวหลานจึงรู้สึกผ่อนคลาย พอเวลาล่วงเลยผ่านไปผู้คนในตู้รถเงียบสงัดไปตามๆ กัน เซี่ยเสี่ยวหลานเริ่มเกิดความง่วงไม่ทันตั้งตัวก็เอียงศีรษะหลับใหล ใบหน้าเธอเอนมาทางบ่าของโจวเฉิงโจวเฉิงแทบไม่กล้าจะขยับ
จนแน่ใจว่าเธอหลับสนิทแล้ว โจวเฉิงถึงประคองศีรษะของเธอวางไว้บนขาของตนเองเพื่อทำให้เซี่ยเสี่ยวหลานหลับได้สบายมากที่สุด
ไอร้อนที่เธอหายใจออกมาวนเวียนอยู่บนขาของเขาั้แ่เด็กโจวเฉิงได้เห็นสิ่งดีงามมามากมาย ทว่าเขาไม่เคยอิ่มเอมเช่นนี้มาก่อนจากวันนั้นที่ได้พบกับเซี่ยเสี่ยวหลาน แวบแรกที่ตรอกในเขตอันชิ่งนั้นเซี่ยเสี่ยวหลานพุ่งเข้าสู่สายตาของโจวเฉิง ใช้วิธีอันแข็งแกร่งแสนพิเศษตราตรึงความประทับใจ!
แม้จะอยู่กับเซี่ยเสี่ยวหลานอย่างเงียบเชียบไม่ทำสิ่งใดทั้งนั้น ตัวเขายังคงรู้สึกเหมือนถูกแช่ไว้กลางความสำราญที่เปี่ยมสุข
บนโลกใบนี้มีสามสิ่งซึ่งไม่อาจปกปิดได้ คือ การไอ ความจน และความรักความชอบที่เขามีต่อเซี่ยเสี่ยวหลาน ใครๆ ล้วนดูออกกันทุกคน!
เชิงอรรถ
[1]เท้าขนาดเท่าไรก็ใส่รองเท้าขนาดเท่านั้น หมายถึงทำสิ่งใดๆ เต็มความสามารถของตนเองให้ดีที่สุด
[2]干瞪眼 จ้องตา หมายถึง อยู่ในภาวะที่ช่วยไม่ได้หรือทำอะไรไม่ถูก
[3]黄冈密卷 หวงกังมี่เจวี้ยน คือ หนังสือแบบฝึกหัดเสริมที่นิยมในประเทศจีน
[4]战略上藐视敌人,战术上重视敌人 ดูแคลนศัตรูในทางยุทธศาสตร์ เห็นคุณค่าศัตรูในทางยุทธวิธีเป็คำพูดจากเหมาเจ๋อตุง หมายถึง การพัฒนาจะต้องไม่ดูถูกตนเองให้คิดเสมอว่าตัวเราสามารถทำในสิ่งที่คาดหวังได้สำเร็จเหมือนเวลาวางยุทธศาสตร์ที่คาดการณ์ว่าเอาชนะศัตรูได้แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ทะนงในตนเองมากจนเกินไปเมื่อใช้ยุทธวิธีออกรบย่อมต้องระแวดระวังศัตรูอยู่เสมอ
