ทันทีที่โต้วเหลียนจงพูดคำนี้ออกมา ไม่เพียงแค่กู้ชิงฮั่น สีหน้าของหยางหนิงเองก็เปลี่ยนไป
“คุณชายโต้ว ท่านล้อข้าเล่นหรือไม่?” กู้ชิงฮั่นพยายามนิ่ง “ใต้เท้าโต้วเป็ถึงเสนาบดีกรมพระคลัง เท่าที่ข้ารู้ ฐานะของพวกท่าน เหมือนไม่ได้จำเป็จะต้องเอาของมาจำนำเลย อีกอย่างในใบรับจำนำนั้น คนที่เอาของมาจำนำก็คือจ้าวซิ่น ไม่ทราบว่าเขามีความสัมพันธ์อันใดกับคุณชายโต้วรึ?”
โต้วเหลียนจงยิ้มแล้วพูดว่า “หากเป็เช่นนั้นข้าขอไม่พูดอ้อมค้อม จ้าวซิ่นก็อยู่ที่นี่ด้วย” จากนั้นก็หันไปเรียก “น้องจ้าว เชิญออกมาตรงนี้หน่อย”
บรรดาคนที่ติดตามโต้วเหลียนจงมา มีคนคนหนึ่งเดินออกมาจากกลุ่มคนเ่าั้ เขาสวมเสื้อผ้าธรรมดา หน้าตาธรรมดา หากรวมอยู่กับกลุ่มคนมากๆ ก็แทบจะมองไม่เห็นว่ามีเขาอยู่
“ผู้ดูแลสวี จำข้าได้หรือไม่?” จ้าวซิ่นเดินเข้ามา แล้วยกมือคำนับผู้ดูแลสวีแล้วพูดว่า “ขอบคุณท่านมากที่ช่วยข้า บุญคุณครั้งนั้นข้าไม่เคยลืม” คำพูดของเขาเหมือนไม่ใช่คนในเมืองหลวง ราวกับว่าจะมาจากที่อื่น
ผู้ดูแลสวีอย่างไรเสียก็ทำการค้ามาหลายปี ก่อนหน้านี้สติหลุดไปบ้าง แต่ในตอนนี้เห็นจ้าวซิ่นมากับโต้วเหลียนจง คล้ายนึกอะไรขึ้นมาได้ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป แต่ด้วยความเคยชิน ก็ยกมือขึ้นมาคำนับ “ที่แท้ก็ท่านจ้าวนี่เอง”
“ดูแล้วความจำของผู้ดูแลสวียังดีอยู่” จ้าวซิ่นยิ้มแล้วพูดว่า “ครึ่งเดือนก่อนได้รับการต้อนรับเป็อย่างดีที่ร้านของท่าน จนถึงวันนี้ยังคงจำมันได้อย่างดี”
โต้วเหลียนจงพูดว่า “ฮูหยินสาม คนคนนี้คือคนที่เอาของมาจำนำ เขาชื่อจ้าวซิ่น เป็คนซิงหนานเมืองหลันหยาง นับว่าเป็ญาติห่างๆ ของตระกูลโต้วของข้า ก่อนหน้านี้เพราะว่าเงินขัดสน จึงนำของมาจำนำเอาไว้ที่ร้านของท่าน ใบรับจำนำก็อยู่ในมือของท่าน เขาได้จำนำของด้วยเงินเจ็ดพันตำลึง”
กู้ชิงฮั่นเป็คนฉลาด นางเข้าใจความหมายในทันที แล้วถามว่า “ท่านจ้าวคิดจะไถ่ของคืนอย่างนั้นรึ?”
จ้าวซิ่นยิ้มแล้วพูดว่า “ในวันที่ข้านำของมาจำนำ ผู้ดูแลสวีก็บอกเองว่า อย่างช้าได้แค่หนึ่งเดือน จะต้องมาไถ่ของคืนไป วันนี้ข้าทำธุระของข้าเสร็จแล้ว เงินที่เอาไปก็ยังไม่ได้ใช้แม้แต่แดงเดียว อีกสองวันข้าก็จะกลับบ้านเกิดแล้ว จึงมาไถ่เอาของคืนแล้วเอากลับบ้านไปด้วย วันนี้คุณชายโต้วจัดงานเลี้ยงเพื่อส่งข้า เดินผ่านมาพอดี ได้ยินว่าไฟไหม้ จึงเข้ามาดู”
โต้วเหลียนจงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ฮูหยินสาม ดูจากตอนนี้แล้ว เกรงว่าร้านของท่านคงไม่มีของมาคืนให้น้องจ้าวของข้า ของที่จ้าวซิ่นนำมาจำนำนั้น เป็มรดกตกทอดจากบรรพบุรุษ ในตอนนี้เสียหายเช่นนี้ คิดว่าคงไม่ดีแน่”
“ในเมื่อเปิดกิจการโรงรับจำนำ มีการจำนำก็ต้องมีการไถ่ถอน เป็เื่ปกติ” กู้ชิงฮั่นพูด “ในเมื่อของเสียหายไปแล้ว ใบรับจำนำยังอยู่ ก็ต้องยึดเอาราคาตามใบรับจำนำชดใช้ให้”
“ฮูหยินสาม หากต้องชดใช้กันจริงๆ มันไม่ใช่น้อยๆ เลย” โต้วเหลียนจงส่ายหน้าถอนหายใจแล้วพูดว่า “ตามที่ตกลงเอาไว้ หากถูกเผาเสียหายทั้งหมดเช่นนี้ อย่างน้อยก็ต้องจ่ายมาในราคาหนึ่งหมื่นห้าพันตำลึง เอ่อ... แน่นอนว่า ทางจิ่นอีโหวมีพื้นที่ศักดินาตั้งสามพัน เงินแค่นี้คงมิใช่เื่ใหญ่นัก” เหลือบไปมองหยางหนิง แล้วพูดว่า “ในเมื่อตอนนี้ที่นี่ถูกเผาไปหมดแล้ว ตอนนี้พวกท่านเองก็คงจะยุ่งไม่น้อย เช่นนั้นเราก็ไม่รบกวนพวกท่านแล้ว รอฟ้าสาง พวกเราจะไปหาท่านที่จวนอีกที!”
พ่อบ้านชิวที่ไม่พูดไม่จามาตลอด ในตอนนี้ก็พูดออกมาว่า “คุณชายโต้ว ท่านจ้าว พวกท่านพอจะยืดเวลาออกไปสักหน่อยจะได้หรือไม่?”
“ยืดเวลาอย่างนั้นหรือ?” โต้วเหลียนจงขมวดคิ้ว “หมายความอย่างไร? จวนจิ่นอีโหวของพวกเ้าคิดจะยืดเวลาชดใช้หนี้สินอย่างนั้นรึ?”
พ่อบ้านชิวรีบพูดว่า “ไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น เพียงแต่...!”
“เพียงแต่คิดว่าท่านจ้าวยังเที่ยวเมืองหลวงไม่ทั่ว” หยางหนิงพูดแทรกคำพูดของพ่อบ้านชิวขึ้นมา ยิ้มแล้วพูดว่า “พ่อบ้านชิวเพียงแค่หวังดี หากท่านจ้าว้าจะไถ่ของคืนจริงๆ เช่นนั้นวันพรุ่งนี้ท่านมาที่จวนจิ่นอีโหว หนี้สินที่ค้างท่าน ข้าจะคืนให้ตามจำนวน”
คำพูดของเขา ทำให้พ่อบ้านชิวคิ้วขมวด สีหน้าของกู้ชิงฮั่นก็ใ
“ดี ซื่อจื่อตรงไปตรงมาดี” โต้วเหลียนจงแสร้งทำเป็ยิ้ม “ในเมื่อเป็เช่นนี้ พรุ่งนี้ข้าจะไปที่จวนของท่าน” เขาจ้องไปที่กู้ชิงฮั่น ยกมือขึ้นคำนับแล้วพูดว่า “ฮูหยินสาม พบกันวันพรุ่งนี้นะขอรับ” เขาไม่ได้พูดอะไรมาก พาจ้าวซิ่นกับพวกจากไปทันที
“ซื่อจื่อ นี่ท่าน...!” พ่อบ้านชิวเหมือนคิดจะพูดอะไร เห็นพ่อค้าหลายคนยังอยู่ตรงนั้น จึงไม่พูดอันใดมาก
หยางหนิงพูดว่า “พ่อบ้านชิว คืนนี้ท่านเหนื่อยมามากแล้ว พาทุกคนเก็บกวาดให้เรียบร้อย หลังฟ้าสาง ส่งคนปที่จวนผู้ว่าการเมืองหลวง ให้ทางจวนส่งคนมาตรวจสอบที”
“ตรวจสอบ?” พ่อบ้านชิวใ
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เ้าไม่รู้หรอ มีคนตั้งใจวางเพลิง ให้คนมาตรวจสอบหน่อยก็ดี”
พ่อบ้านชิวอ้าปากค้าง กู้ชิงฮานพูดขึ้นมาว่า “พ่อบ้านชิว ทำตามที่ซื่อจื่อว่ามา พรุ่งพอฟ้าสางก็รีบส่งคนไปที่จวนผู้ว่าการให้เขาส่งคนมาตรวจสอบที่นี่” จากนั้นก็มองไปที่ต้วนชางไห่ แล้วพูดว่า “ชางไห่ เ้าอยู่ช่วยพ่อบ้านชิวที่นี่เถอะ”
ต้วนชางไห่รับคำ กู้ชิงฮั่นรู้สึกอ่อนเพลียไม่สบายตัว นางขึ้นรถม้า ผ้าม่านยังไม่ทันปิด หยางหนิงก็พุ่งตัวเข้ามาในรถ แล้วสั่งให้คนกลับจวนทันที
รถม้าของจวนโหวทั้งกว้างทั้งใหญ่ นั่งซ้ายคนขวาคนไม่มีปัญหาอันใด ภายในรถค่อนข้างมืด แต่ว่าสายตาของหยางหนิงนั้นดีนัก ยังคงมองเห็นกู้ชิงฮั่นได้อย่างชัดเจน แล้วพูดขึ้นมาเบาๆ ว่า “ฮูหยินสาม เื่มาถึงตอนนี้ ร้อนใจไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด ทำได้เพียงแก้ปัญหาไปทีละอย่าง”
กู้ชิงฮั่นยิ้มอย่างขมขื่น “ั้แ่ท่านแม่ทัพตายไป ก็มีแต่เื่เกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน เื่ไฟไหม้ในคืนนี้ ยิ่งแล้วใหญ่” จากนั้นก็ถามว่า “หนิงเอ๋อร์ เมื่อครู่เ้าบอกให้โต้วเหลียนจงมาที่จวนในวันพรุ่งนี้ ในจวนของเราไม่ได้มีเงินมากมายเช่นนั้น”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ฮูหยินสาม ท่านไม่คิดว่าเื่นี้มันแปลกรึ?”
“เ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“จ้าวซิ่นนำของมาจำนำที่ร้านในราคาเจ็ดพันตำลึง จำนวนเงินมันไม่น้อยเลยใช่หรือไม่?” หยางหนิงมองไปที่กู้ชิงฮั่น สายตาของกู้ชิงฮั่นใสราวกับหยดน้ำ แม้ในความมืดนั้นก็ยังคงความงามอยู่
กู้ชิงฮั่นพยักหน้าแล้วพูดว่า “เงินเจ็ดพันตำลึงไม่ใช่จำนวนน้อยๆ การแลกเปลี่ยนของจ้าวซิ่น ข้าเองก็จำได้ ในตอนนั้นอยู่ระหว่างแอบนำศพของท่านแม่ทัพกลับมายังเมืองหลวง คนในจวนยังไม่มีผู้ใดรู้ว่าท่านแม่ทัพป่วยตายแล้ว ยังดีที่ทางโรงรับจำนำได้มีการซื้อขายใน่นั้น ในตอนนั้นในจวนยังสามารถนำเงินสามพันตำลึงออกมาได้ก่อน”
หยางหนิงถามกลับไปว่า “หลังจากทำการค้ารอบนี้เสร็จสิ้นไปแล้ว ศพของ... ท่านพ่อก็กลับมาถึงที่เมืองหลวงรึ?”
กู้ชิงฮั่นถอนหายใจแล้วพูดว่า “ถูกต้อง ในตอนนั้นข้าเองก็เสียใจ รู้อยู่ว่าท่านแม่ทัพสิ้น ต้องจัดงานศพ การค้ารอบนั้นก็ไม่ควรรับ แต่ในเมื่อลงนามทำสัญญาไปแล้ว ก็จะกลับลำไม่ได้”
หยางหนิงยิ้มแห้งแล้วพูดว่า “เงินเจ็ดพันตำลึง ไม่ใช่ยอดน้อยๆ เลย จ้าวซิ่นนำมันมาจำนำก่อนที่ท่านพ่อจะกลับมา จากนั้นไฟก็ไหม้ เขาก็มาขอไถ่ของคืน มันไม่บังเอิญเกินไปหน่อยรึ?”
“บังเอิญจริงๆ ด้วย” กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “อีกอย่างจู่ๆ โต้วเหลียนจงก็โผล่ออกมา มันผิดปกติ”
หยางหนิงนิ่งไป จากนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “เมื่อครู่ฮูหยินสามบอกว่าหลังจากที่ท่านพ่อสิ้นแล้ว จวนโหวก็เกิดเื่ขึ้นมากมาย อย่าบอกนะว่าเงินจากเจียงหลิงยังมาไม่ถึง อีกทั้งไฟก็ยังมาไหม้อีก จากนั้นจ้าวซิ่นก็มาเพื่อไถ่ของอย่างนั้นรึ?”
“ยังมีเื่ลอบสังหารเ้าที่สุสานจงหลิงอีกด้วย” กู้ชิงฮั่นพูดด้วยเสียงเบาๆ
หยางหนิงพูดว่า “ฮูหยินสาม ท่านรู้สึกไหมว่าเื่นี้มันเป็เื่ที่เกี่ยวเนื่องกัน?”
“เกี่ยวเนื่องกันรึ?” กู้ชิงฮั่นใ “หนิงเอ๋อร์ เหตุใดเ้าถึงพูดเช่นนี้?”
หยางหนิงพูดว่า “ข้ารู้สึกว่าเื้ัเื่พวกนี้อาจมีมือมืด กำลังจะลงมือกับจวนจิ่นอีโหวของพวกเรา”
“มือมืดรึ?”
หยางหยิงยืดตัวขึ้น แล้วเข้าไปใกล้กู้ชิงฮั่น กระซิบว่า “หลังจากที่ไฟดับแล้ว ข้าเข้าไปตรวจสอบดู ท่านเดาสิว่าข้าเจอสิ่งใด?”
“สิ่งใดกัน?”
“บนพื้นของคลังที่ถูกไฟไหม้ คล้ายว่าเป็คราบน้ำมัน” หยางหนิงพูดเสียงเบา
กู้ชิงฮั่นตัวสั่น ยื่นมือไปจับแขนของหยางหนิงเอาไว้ “หนิงเอ๋อร์ เ้าแน่ใจแล้วหรือ? เ้าหมายความว่า ที่คลังมีคราบน้ำใช่ใช่หรือไม่?”
หยางหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าตรวจดูอย่างละเอียดแล้ว คราบน้ำมันนั้นมันไม่น้อยเลย มีไม่น้อยกว่าสามสี่จุด ข้าดมดูอย่างละเอียดแล้ว กลิ่นเช่นนี้ข้าคิดว่าไม่ผิดแน่ มันคือน้ำมันดำ จากคำให้การของพวกเขา หลังจากที่ไฟไหม้ ไฟลามลุกเร็วนัก พริบตาเดียวไฟก็กลืนคลังเข้าไปจนหมด ก็น่าจะเกิดจากน้ำมันดำ”
กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้ว ในตอนนี้ใจเย็นลง คิดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ถ้าเป็อย่างนั้น แสดงว่าไฟไหม้ในครั้งนี้มีคนจงใจวางแผน”
“เกรงว่าจะเป็เช่นนั้น” หยางหนิงพูดว่า “คิดว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับโต้วเหลียนจง หากไม่ใช่คนนี้ลงมือ เขาก็น่าจะเป็หนึ่งในผู้สมรู้ร่วมคิด”
“หากว่าโต้วเหลียนจงเป็คนอยู่เื้ัจริงๆ ที่พวกเขาเผาโรงรับจำนำ เพียงเพราะแค่เงินหนึ่งหมื่นกว่าตำลึงอย่างนั้นหรือ?” กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้วพูดว่า “เื่นี้ไม่ง่ายเช่นนั้น”
“ฮูหยินสาม พ่อของโต้วเหลียนจงเป็เสนาบดีกรมพระคลังรึ?” หยางหนิงถามว่า “เขามีความแค้นอันใดกับจวนจิ่นอีโหวหรือไม่?”
กู้ชิงฮั่นพยักหน้าแล้วพูดว่า “โต้วขุยได้รับการแต่งตั้งเป็เสนาบดีกรมพระคลังเมื่อหกปีก่อน จริงๆ แล้วเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่เขายังเป็แค่เ้าหน้าที่กรมพระคลัง เคยรู้จักกับท่านแม่ทัพมาก่อน ท่านแม่ทัพทำศึกอยู่ข้างนอก เสบียงอาหารต่างๆ ก็เป็ทางกรมพระคลังจัดหาให้ มีหลายครั้งที่โต้วขุยจัดส่งเสบียงอาหารไปให้ด้วยตัวเอง ดังนั้นจึงมีสัมพันธ์ที่ดีกับท่านแม่ทัพ ต่อมาพอเขาได้รับตำแหน่งเสนาบดีกรมพระคลัง ท่านแม่ทัพเองก็มีกล่าวชื่นชมเขาต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้อยู่บ่อยครั้ง”
“ถ้าเป็เช่นนั้น ท่านพ่อก็มีบุญคุณกับบตระกูลโต้วอย่างนั้นหรือ?”
“ทั้งสองตระกูลก็ไม่ได้มีอะไรต่อกัน แต่ว่าเมื่อปีที่แล้วจู่ๆ ท่านแม่ทัพก็ถวายฎีกาฉบับหนึ่ง หลังจากนั้นโต้วขุยก็ถูกฮ่องเต้ตำหนิอย่างรุนแรง แล้วก็ถูกลงโทษโดยการหักเบี้ยหวัดครึ่งปี ได้ยินมาว่าเป็เพราะเสบียงอาหารช้าไปหลายวัน ท่านแม่ทัพเป็คนตรงไปตรงมา ถวายฎีกาต่อฮ่องเต้ร้องเรียนโต้วขุย” กู้ชิงฮั่นเล่าอีกว่า “ั้แ่นั้นเป็ต้นมา ทั้งสองตระกูลก็กลายเป็ศัตรูกัน แต่ว่าต่อหน้าโต้วขุยก็ยังคงเคารพท่านแม่ทัพอยู่บ้าง”
“ที่แท้เป็เช่นนี้เอง” หยางหนิงเหมือนคิดสิ่งใดอยู่แล้วพยักหน้า “ถ้าเป็อย่างที่ว่ามานั้น การที่ตระกูลโต้วเข้ามาเกี่ยวเื่นี้ด้วย ไฟไหม้ครั้งนี้ก็ไม่ใช่เื่ธรรมดา”
“แต่ว่าไม่มีหลักฐาน เราก็ทำอะไรพวกเขาไม่ได้” กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “พรุ่งนี้โต้งเหลียนจงจะพาจ้าวซิ่นมาที่จวน อย่าว่าแต่เงินหนึ่งหมื่นห้าพันตำลึง ห้าพันตำลึง เราก็ยังไม่มีเลย”
หยางหนิงยิ้ม แล้วพูดว่า “ฮูหยินสาม ไม่ต้องร้อนใจ ในเมื่อโต้วเหลียนจงเข้ามาเกี่ยวกับเื่นี้แล้ว ข้าจะทำให้เขารู้ว่าการขว้างงูไม่พ้นคอมันเป็เช่นไร” เขาดูมีสติขึ้นมา แล้วพูดว่า “พวกเขา้าทำร้ายพวกเรา ข้าก็จะให้พวกเขารู้ว่าใครกันที่จะอยู่หัวเราะเป็คนสุดท้าย”
กู้ชิงฮั่นเห็นหยางหนิงดูมั่นใจนัก ในใจก็รู้สึกดีใจ แต่สิ่งที่มีมากกว่านั้นคือความเป็ห่วง นางไม่รู้จริงๆ ว่า หยางหนิงจะชดใช้เงินหนึ่งหมื่นห้าพันตำลึงให้จ้าวซิ่นอย่างไร
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้