เขาเห็นกับตาว่าหวังซื่อหยิกต้นขาของตนเอง ทั้งยังบีบน้ำตาสองสามหยด ก่อนลุกขึ้นพร้อมกับทำท่าทางห้าวหาญเด็ดเดี่ยว วิ่งถลาไปที่ประตูเรือนหมายจะชนเสาที่อยู่ด้านข้าง
พรืด!
หลี่ไหวฺอวี้อดไม่ไหวแล้วจริงๆ หัวเราะออกมา มองิเป่าจูด้วยสีหน้าอาบรอยยิ้มแล้วเอ่ยว่า “คนครอบครัวของเ้าน่าสนใจดีนะ”
ข้างหลังก็มีประตูแท้ๆ แต่กลับต้องเปลืองแรงวิ่งไปเสียไกล ในที่ที่มีคนอยู่มากมาย กลัวไม่มีใครรั้งนางไว้หรือ?
ิเป่าจูมองหวังซื่อที่คิดจะใช้ความตายมาข่มขู่ด้วยสายตาเรียบเฉย น่าโมโหนัก เหตุใดต้องมีคนไปห้าม ถ้านางโขกศีรษะตายขึ้นมาจริงๆ ต่อให้ต้องแบกรับความผิดนี้นางก็ยอม
หวังซื่อถูกชาวบ้านขวางไว้ เป็ไปตามแผน ก็ยิ่งร้องไห้ปาดน้ำตาอย่างมีความสุข
ชาวบ้านไม่รู้สายสนกลใน พากันปลอบใจนางคนละคำสองคำ ทั้งยังต่อว่าต่อขานิเป่าจูว่าทำไม่ถูกต้อง
สถานการณ์ที่เอนเอียงไปด้านเดียวบีบคั้นให้ิเป่าจูตาแดงก่ำ น้ำตาคลอเบ้าเล็กน้อย หลี่ไหวฺอวี้นึกว่านางจะร้องไห้ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ แต่ก็เพียงมองเท่านั้น ไม่ได้เอ่ยปากปลอบใจ
จิตใจที่เปราะบางของคนอ่อนแอใช่ว่าเพียงปลอบโยนก็จะหายขาดได้ เขาไม่รู้ว่าตนเองจะอยู่ที่นี่อีกนานเพียงใด อย่าเข้าไปยุ่งกับเื่ในครอบครัวของผู้อื่นจนเกินไปถึงจะดีที่สุด
“ทุกท่านโปรดแสดงความคิดเห็น นี่คือเด็กที่ข้าเลี้ยงดูมาในฐานะบุตรสาว มีเหตุผลที่ไหน บุตรสาวมีกินมีดื่มอิ่มหนำสำราญ แต่บิดาที่บ้านกลับต้องกัดก้อนเกลือกิน ข้าก็แค่อยากนำอาหารเล็กน้อยกลับไปให้ลุงของนางชิม นางกลับปาดคอข้าจนเป็เช่นนี้ หากมิใช่ว่าข้าหลบทันแล้วล่ะก็... ฮึกๆๆ”
พูดจบก็ร่ำไห้จนมืดฟ้ามัวดิน
“แค่สุราอาหารเล็กน้อยถึงกับต้องเอาชีวิตกันเลยหรือ หากเด็กคนนี้โตไปจะยิ่งโหดร้ายขนาดไหน”
“สะใภ้สกุลิ เ้าอย่ากลัว ยังมีพวกเราอยู่ ไป พวกเราไปเชิญหัวหน้าหมู่บ้านมาตัดสินกันเถอะ”
“ใช่ ไปหาหัวหน้าหมู่บ้าน”
ิเป่าจูตกเป็เป้าหมายโจมตีของทุกคน ถึงขั้นจะไปตามหัวหน้าหมู่บ้าน นี่คือการตัดสินใจแล้วว่าจะลงโทษผู้เยาว์คนนี้ให้จงได้
ิเป่าจูพยายามกลั้นน้ำตาให้ไหลกลับเข้าไป ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉยเมยเจือแววถากถางอย่างไม่มีที่สิ้นสุด “ไปหาหัวหน้าหมู่บ้านหรือ ก็เอาสิ ไปกันเลย ข้าจะคอยอยู่นี่แหละ”
หลี่ไหวฺอวี้คิดผิด นางไม่ได้อยากร้องไห้ ยิ่งไม่คิดน้อยเนื้อต่ำใจ แต่นางกำลังเดือดดาล หัวใจมีแต่ความโกรธกริ้ว!
อะดรีนาลีนที่พลุ่งพล่านทำให้ค่าดัชนีทั้งหมดในร่างกายเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ต่อมน้ำตาของนางไม่สามารถควบคุมการไหลย้อนกลับ จึงะเิออกมาอย่างไร้หนทางสะกดกลั้น
แต่นางมิได้ปล่อยให้มันไหลออกมาเหมือนอย่างที่หลี่ไหวฺอวี้คิด คนที่นี่ไม่เข้าใจความเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างของร่างกายมนุษย์ น้ำตาจึงเป็ตัวแทนของความใจเสาะและอ่อนแอเท่านั้น
“ไม่ต้อง ไม่ต้อง ขอบคุณทุกท่านที่เป็ห่วง อย่างไรเสียก็เป็บุตรหลานในครอบครัวของตนเอง ตีบ้างด่าบ้าง แต่ข้าไม่คิดจะถือสาหาความอะไร”
ขณะที่ชาวบ้านบอกว่าไปหาหัวหน้าหมู่บ้าน หวังซื่อยังกระหยิ่มยิ้มย่องแทบข่มรอยยิ้มที่ริมฝีปากไม่ทัน แต่พอได้ยินิเป่าจูตอบกลับมาด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม ก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง
หลังจากนึกถึงประเด็นสำคัญออก ก็ยิ่งไม่อาจให้พวกเขาไปหาหัวหน้าหมู่บ้าน
“สะใภ้สกุลิ เ้าก็ใจอ่อนเสียอย่างนี้ เด็กๆ ถึงปีนขึ้นมาขี่คอ”
“นั่นสิ มีครั้งหนึ่งก็มีครั้งที่สอง อย่าปล่อยนางไปง่ายๆ เชียว”
ชาวบ้านคิดว่าหวังซื่อถูกทำให้หวาดกลัว จึงเกลี้ยกล่อมไม่ขาดปาก พยายามจะทวงถามความเป็ธรรมแทนนาง แต่หวังซื่อกลับยิ่งลนลาน
“ว่าอย่างไรเล่า ไม่กล้าไปหรือ พวกท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดนางถึงไม่กล้าไป”
ิเป่าจูลงจากบันไดทีละขั้นเดินมาทางกลุ่มชาวบ้าน ดูราวกับอสูรร้ายจากนรก ระคนไปด้วยความกระหายเื ดวงตาทั้งดวงราวกับน้ำแข็งเยียบเย็นเข้ากระดูก
อะไรกัน? หรือว่ายังมีลับลมคมในอะไร ชาวบ้านเห็นท่าทางที่มั่นใจของิเป่าจูแล้วก็เริ่มเกิดความสงสัย
“เ้ากล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร าแก็เห็นอยู่ทนโท่ หรือว่าสะใภ้สกุลิจะปาดคอตนเองเพื่อปรักปรำเ้า นางจะทำไปเพื่ออะไร” ชาวบ้านหนึ่งในนั้นกล่าวอย่างเดือดดาล
ท่าทางดูเหมือนใส่ใจเื่นี้ยิ่งกว่าเื่ที่เกิดในบ้านของตนเองเสียอีก
“นางเกิดความโลภคิดจะฮุบอาหารของพวกเราไปกินเอง ถูกข้ากับน้องชายขัดขวาง หากนางไม่จงใจเตะน้องชายข้าจนล้มไปกองกับพื้น ข้าจะลงไม้ลงมือกับนางหรือ”
พอสิ้นคำกล่าวนี้ หวังซื่อก็ร้อนตัว หยุดร้องไห้ในทันที หลบสายตาไม่กล้ามองผู้คนรอบข้าง แค่นี้ก็สามารถพิสูจน์ได้แล้วว่าคำกล่าวของิเป่าจูเป็ความจริง
สตรีที่เดิมทีช่วยประคองหวังซื่อ เห็นเช่นนั้นก็ค่อยๆ รั้งมือกลับ และถอยห่างออกมาหนึ่งก้าว
มีคนยังไม่เชื่อ โต้เถียงกับิเป่าจู หวังซื่อคิดกอบกู้สถานการณ์ จึงเอ่ยด้วยสีหน้าดุดัน “ข้า... ก็ข้าไม่ได้สังเกต แค่พลั้งเหยียบเป่าอวี้ไปโดยไม่ได้ตั้งใจ พี่น้องทุกท่าน ปกติแค่เด็กสองคนนี้หกล้มหรือชนถูกอะไรเข้า ข้ายังปวดใจไปครึ่งวัน แล้วจะลงไม้ลงมือกับพวกเขาได้อย่างไร”
“พลั้งเหยียบ? พลั้งไปเหยียบท่าไหนเล่า ถึงกับทำให้คนสลบแทบเป็แทบตาย ตอนนี้ยังนอนหมดสติบนเตียงอยู่เลย”
ิเป่าจูหรี่ตา ดวงเนตรทั้งสองข้างแดงก่ำ ใช้ถ้อยคำเฉียบขาด
นางไม่กลัวการตรวจสอบ อย่างมากก็ไปเชิญผู้ใหญ่บ้าน และหมอประจำหมู่บ้านมาตรวจอาการดู
รอยเท้าใหญ่เบ้อเร่อ ถึงตอนนี้ก็ยังเด่นหราอยู่ที่หน้าท้อง ให้พวกเขาได้เห็นว่าหวังซื่อเป็คนแบบไหนกันแน่
บัดนี้ชาวบ้านที่มามุงดูเหตุการณ์ถึงเข้าใจต้นสายปลายเหตุของเื่นี้อย่างแจ่มแจ้ง
หวังซื่อเห็นผู้อื่นดีกว่าไม่ได้ คิดจะแย่งอาหารกลับไปบ้านของตนเองแต่ไม่สำเร็จ ถึงใช้กลอุบายโเี้ทำให้เกิดเื่ราวต่างๆ ตามมา
ที่สำคัญยังปลุกปั่นพวกเขาที่แค่มาชมความครึกครื้นให้ช่วยหวังซื่อทวงถามความเป็ธรรม จนเกือบเป็เื่ไปถึงหัวหน้าหมู่บ้านให้อับอายขายหน้า
หลังจากไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้ว คนที่อยู่โดยรอบก็ไม่อาจสงบนิ่งได้อีกต่อไป พวกเขาจำได้ว่าในอดีตเป่าจูสองพี่น้องเป็เด็กที่ซื่อบริสุทธิ์มาก หวังซื่อปฏิบัติต่อพวกเขาราวกับทาสรับใช้ ก่นด่าทุบตีทั้งวัน ทั้งยังพูดบิดเบือนจนกลายเป็ว่าสองพี่น้องคู่นี้นิสัยไม่ดี แต่คนบ้านใกล้เรือนเคืองอย่างพวกเขาต่างก็รู้นิสัยใจคอของเด็กสองคน ดังนั้นจะเป็ไปตามที่หวังซื่อกล่าวอ้างได้อย่างไร?
ชั่วขณะนั้นหัวหอกก็เปลี่ยนทิศหันมาพุ่งใส่หวังซื่อแทน
“สะใภ้สกุลิ เ้าทำเช่นนี้ไม่ถูก ที่บ้านเปิดหม้อไหทำเองมิได้หรือ ถึงต้องไปหมายตาชามข้าวของเด็กน้อย”
“ยังทำท่าราวกับจะเป็จะตาย ทำให้พวกเราหลงปรักปรำบุตรสาวของผู้อื่นอยู่เป็ครึ่งวัน”
“นั่นสิ ที่ผ่านมานางหนูิจูก็ดูเป็เด็กรู้ความดี เหมือนคนพาลอกตัญญูเสียที่ใด เป็การปรักปรำผู้อื่นชัดๆ”
“มาดูอะไรกัน มีอะไรทำก็ไปทำกันสิ”
หวังซื่อเห็นว่าโอกาสทองของตนเองผ่านพ้นไปแล้ว ก็ปั้นหน้าไม่อยู่อีกต่อไป โบกมือไล่คนรอบข้างอย่างฉุนเฉียว ก้าวเข้าไปในลานบ้านแล้วปิดประตูอย่างแ่า
ก่อนหันกลับมาด้วยท่าทางดุร้าย วิ่งปราดเข้าไปหมายทุบตีิเป่าจูอย่างเหี้ยมเกรียม แต่ิเป่าจูกลับเลี่ยงหลบอย่างคล่องแคล่ว จนนางยืนอยู่หวุดหวิดล้มกระแทกพื้น
“นางสารเลว ยังกล้าหลบอีกหรือ ใครให้เ้าหลบ” หวังซื่อโกรธจัด มองไปรอบด้าน หาเครื่องมือช่วย
แต่เวลานี้ิเป่าจูเก็บเศษกระเบื้องก่อนหน้านี้ขึ้นมา และเข้าไปใกล้หวังซื่ออีกครั้ง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นะเื “ท่านคิดว่าข้ายังคงเป็ิเป่าจูคนเดิมที่ปล่อยให้ท่านดุด่าทุบตีอยู่อีกหรือ”
เสียงก่นด่าของหวังซื่อชะงักกึก ถูกบีบให้ถอยหลัง ทว่าเท้ากลับเหยียบความว่างเปล่าร่วงพรืดลงไป ทันใดนั้นภาพของิเป่าจูที่น่ากลัวราวกับพญายมก่อนหน้านี้ก็ผุดวาบเข้ามาในสมอง จึงค่อยๆ เบาเสียงลง
“อย่านะ อย่านะ ข้าไป ข้าไปแล้ว”
นอกเสียจากนางไม่้าชีวิตแล้ว ถึงจะก่อเื่ต่อไป
และในเวลานี้เองก็มีเสียงโอดครวญดังมาจากในห้อง ิเป่าจูตกตะลึง โยนเศษกระเบื้องทิ้งไปแล้วรีบวิ่งกลับเข้าห้อง แต่ก่อนไปก็ยังฝากถ้อยคำเอาไว้
“รีบไสหัวไป”
หวังซื่อเห็นร่างของิเป่าจูลับหายเข้าไปที่มุมหนึ่งของประตูห้องแล้ว ก็ปัดสิ่งสกปรกที่หลังกระโปรงแล้วลุกขึ้นยืน ขณะกำลังจะก้าวออกไป ก็หยุดลงอีกครั้ง
หมุนตัวย้อนกลับไปกวาดสุราอาหารบนโต๊ะจนเกลี้ยง
ก่อนจะหยุดมองไปที่หลี่ไหวฺอวี้ปราดหนึ่ง “พวกกินข้าวนิ่ม [1] ถุย!”
หากมีเงินจริง จะมาอาศัยอยู่กินกับนางเด็กสารเลวได้อย่างไร ก็แค่เ้าหนุ่มหน้าขาวคนหนึ่ง!
เชิงอรรถ
[1] กินข้าวนิ่ม เป็คำด่าผู้ชายที่เกาะผู้หญิงกิน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้