ณ ประตูสถาบันเซียนเต้า เปาต้าถงยืนพิงหน้ารูปปั้นอย่างเกียจคร้าน เขาเคี้ยวอ้อยหวานพลางมองท้องฟ้าอย่างเหม่อลอย
เขายังนึกถึงเื่ที่เกิดขึ้นในห้องเรียน…ก่อนยุคโบราณเป็แบบใดกัน? แผ่นดินเซียนฉยงกว้างใหญ่เพียงใด? โลกภายนอกหน้าตาเป็อย่างไร?
เด็กหนุ่มอายุสิบสองปี มิใช่จะมุ่งไปข้างหน้าลูกเดียว บางครั้งก็โศกเศร้า บางครั้งก็สับสน
ที่เห็นว่าเปาต้าถงทำตัวไม่เป็เดือดเป็ร้อนหรือทำตัวสบายๆ แต่ที่จริงแล้วเขากำลังอยู่ระหว่างทางแยกของชีวิตซึ่งยังมองไม่เห็นแนวทางในอนาคต
……
“เฮ้ย จั๋วอวิ๋นเซียน!”
เมื่อเห็นจั๋วอวิ๋นเซียนออกมา เปาต้าถงจึงรีบเดินเข้าไปหา “อาจารย์เรียกเ้าไปทำไม? ข้ารู้ว่าอาจารย์ไม่ลงโทษเ้าแน่!”
ต้องยอมรับว่าเปาต้าถงมีความสามารถในการสังเกตสีหน้าท่าทางได้ดีมาก
จั๋วอวิ๋นเซียนสงบอารมณ์แล้วจึงกล่าวว่า “อาจารย์ถามข้าว่าข้าจะทำอะไรในอนาคต”
“อนาคตหรือ? แล้วเ้าจะทำอะไร?”
“ข้าอยากจะเข้าสำนักเซียนเทียนซู”
“โอ้! ช่างทะเยอทะยานยิ่งนัก!”
เปาต้าถงใ เขารู้ถึงความยากในการเข้าสำนักนี้ เพราะที่นั่นคือจุดเริ่มต้นของการบำเพ็ญเซียน สถาบันเซียนเต้าสอนเฉพาะพื้นฐานการบำเพ็ญเซียนเท่านั้น
“แล้วเ้าเล่า เ้าซาลาเปา?”
เมื่อได้ยินคำถามของจั๋วอวิ๋นเซียน เป้าต้าถงก็ตอบตามตรง “ข้าน่ะหรือ ข้าคิดจะเข้าสถาบันเซียนสักแห่งหนึ่งก็พอแล้ว หลังจากจบการศึกษาก็ไปเป็ศิษย์ในร้านค้าอาวุธของอารอง เ้าก็รู้ว่าพร์ระดับธรรมดาอย่างพวกเรา แม้จะฝึกโคจรพลังมาหลายปี กลับโคจริญญาได้เพียงสามรอบ หากคิดจะปลุกพร์เพื่อกลายเป็ผู้บำเพ็ญเซียนอย่างแท้จริง ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไร…เทียบกับอนาคตที่ว่างเปล่าแล้ว มิสู้เรียนรู้งานฝีมือที่ใช้ได้จริงคงดีกว่า ในอนาคตจะได้ไม่ลำบากมากนัก”
“ก็ดี”
ทุกคนต่างมีความคิดเป็ของตัวเอง จั๋วอวิ๋นเซียนพยักหน้ารับ
จากนั้นเปาต้าถงกล่าวหยอกล้อว่า “จั๋วอวิ๋นเซียน ตระกูลจั๋วของเ้ามีทั้งเงินทั้งอำนาจ ในอนาคตถ้าข้าเปิดร้าน เ้าต้องมาช่วยดูแลธุรกิจของข้าด้วยนะ!”
“อืม”
เมื่อนึกถึงอนาคตก็เกิดความเงียบขึ้นระหว่างพวกเขา
บางครั้งไม่ใช่ว่าตัวเองชอบอะไรแล้วในอนาคตก็จะได้ทำอย่างนั้น นี่คือความต่างระหว่างความจริงกับความฝัน และเื่ราวส่วนใหญ่ราวกับถูกกำหนดเอาไว้ ไม่ว่าใครก็มิอาจหนีพ้นโชคชะตาได้ แม้แต่เซียนก็เช่นกัน
นักเรียนชั้นปีที่หกของสถาบันเซียนเต้ากำลังจะต้องจากลากันแล้ว ในใจของพวกเขารู้สึกอาลัยอาวรณ์ไม่น้อย บางทีการจากลาครั้งนี้…อาจเป็การจากลากันตลอดชีวิต
บนถนนตงหลิงมีผู้คนเดินขวักไขว่ ทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนอยู่ระหว่างโลกสองใบ ใบหนึ่งคือความฝัน ส่วนอีกใบหนึ่งคือความจริง
วิถีเซียนนั้นกว้างใหญ่และล้ำลึกราวกับมหาสมุทร บนเส้นทางอันยาวไกลนี้จะมีสักกี่คนที่ได้กลับมา
……
ขณะที่จั๋วอวิ๋นเซียนกับเปาต้าถงตกอยู่ในความเงียบงัน รถม้าสีขาวคันหนึ่งวิ่งมาบนถนนอย่างรวดเร็วและพุ่งชนคนจนล้มระเนระนาด จากนั้นมุ่งไปทางร้านขนมริมถนน
หน้าร้านขนม มีมารดาผู้หนึ่งกำลังจูงมือบุตรสาวอายุราวสี่ห้าขวบเดินออกจากร้าน เมื่อเห็นรถม้าพุ่งเข้ามาจึงใจนทำอะไรไม่ถูก ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว!
“ฮี้ฮี๊…”
เสียงม้ากู่ร้องมาพร้อมฝีเท้าที่รวดเร็วราวกับสายลม…ขณะที่โศกนาฏกรรมกำลังจะเกิดขึ้น เด็กหนุ่มร่างผอมบางรีบพุ่งเข้ามาบังสองแม่ลูกเอาไว้ เขาก็คือคนที่ไร้พร์ ‘จั๋วอวิ๋นเซียน’
“โล่เกราะิญญา จงออกมา!”
จั๋วอวิ๋นเซียนตบที่ข้อมือส่งผลให้โล่เกราะิญญาอันหนึ่งปรากฏขึ้นมาตรงหน้า
“ตูม!”
รถม้าพุ่งเข้าชนโล่ ร่างของจั่วอวิ๋นเซียนปลิวกระเด็นออกไปกลางถนน ผู้คนล้มระเนระนาดจนเละเทะไปหมด
ท้ายที่สุดรถม้าก็หยุดลงตรงริมถนน สองแม่ลูกที่กำลังใได้สติกลับมา ขนมหล่นกระจายเต็มพื้น
“ฮือๆ…”
เด็กสาวที่กำลังใพุ่งเข้ากอดมารดาและร้องไห้ รอบข้างเต็มไปด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์ แต่รถม้าสีขาวคันนี้ดูราคาแพงมากจึงไม่มีใครกล้าเข้าไปต่อว่า
“จะ จั๋วอวิ๋นเซียน…”
เปาต้าถงได้สติกลับมา เขาโยนอ้อยในมือทิ้งและวิ่งเข้าไปหาจั๋วอวิ๋นเซียน
“แค่กๆ! แค่กๆ!”
จั๋วอวิ๋นเซียนปัดเศษฝุ่นบนร่างกายออก จากนั้นค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง มือทั้งสองข้างสั่นจนแทบจะไร้เรี่ยวแรง
“ไม่เป็ไรก็ดีแล้ว! ไม่เป็ไรก็ดีแล้ว!”
เปาต้าถงเข้าไปช่วยพยุงเพื่อน เมื่อเห็นว่าจั๋วอวิ๋นเซียนไม่ได้เป็อะไรมากนักจึงค่อยๆ วางใจ ถึงอย่างไรเขาก็เป็แค่เด็กหนุ่ม ไม่เคยพบสถานการณ์ที่อันตรายเช่นนี้ เมื่อครู่เขาเกือบจะร้องไห้แล้ว
แต่โล่บนข้อมือของจั๋วอวิ๋นเซียนกลับแตกกระจัดกระจายเกลื่อนพื้น
‘โล่เกราะิญญา’ คืออุปกรณ์ป้องกันของนิกายเซียนโม่เหมิน ไม่จำเป็ต้องมีพลังิญญาก็สามารถใช้ได้ แน่นอนว่าราคาของอุปกรณ์เช่นนี้มิได้น้อยเลย จะเห็นได้ว่าบิดาของจั๋วอวิ๋นเซียนทุ่มเทเพื่อความปลอดภัยของเขาเพียงใด
“เฮ้ยๆ รถม้าคันนี้ของใครกัน ชนคนแล้วยังไม่รีบออกมาขอโทษอีก!”
เปาต้าถงะโด้วยความโกรธ ทว่ามีสาวน้อยงดงามคนหนึ่งเดินออกมาจากรถม้า นางสวมชุดที่มีสีสันสดใสและมีท่วงท่าสง่างาม
“อ๊ะ…”
เปาต้าถงเพิ่งเคยเห็นสาวน้อยที่งดงามขนาดนี้เป็ครั้งแรก จากที่ะโเสียงดังจึงเปลี่ยนเป็คนสุภาพในทันทีและใบหูก็ร้อนผ่าวขึ้นมา
สาวน้อยในชุดหลากสีไม่ได้สนใจเปาต้าถงแต่กลับมองจั๋วอวิ๋นเซียนอย่างเฉยเมย “เ้าก็คือจั๋วอวิ๋นเซียนหรือ? มีคุณธรรมและความกล้าหาญนับว่าไม่เลวเลย น่าเสียดายที่โง่เกินไปหน่อย”
“……”
จั๋วอวิ๋นเซียนฝืนกลั้นความเจ็บแล้วเงยหน้ากล่าวตอบทันที “เมื่อครู่นี้เ้าจงใจหรือ?”
“เอ๊ะ? อายุไม่มาก แต่ฉลาดดีนี่”
สาวน้อยชุดหลากสีหัวเราะอย่างเ็า นางเชิดหน้ามองต่ำกล่าวว่า “เป็ถึงนายน้อยตระกูลจั๋ววิถีเซียน ถึงแม้จะเป็แค่ขยะแต่ก็สูงส่งกว่าคนธรรมดาอยู่บ้าง เ้ากลับพุ่งเข้าไปช่วยชาวบ้านที่ไม่รู้จักกัน เมื่อครู่ถ้าไม่ใช่เพราะข้ายั้งมือไว้ ป่านนี้เ้าคงพิการไปแล้ว!”
ผ่านไปครู่หนึ่งสาวน้อยชุดหลากสีหันไปมองสองแม่ลูกที่กำลังหวาดกลัว จากนั้นหันกลับมากล่าวกับจั๋วอวิ๋นเซียนว่า “น่าเสียดาย เหมือนพวกนางจะไม่สำนึกบุญคุณ…”
เมื่อมารดาผู้นั้นได้ยินหัวใจก็พลันบีบรัด นางเผยสีหน้าลังเล แต่นางไม่อยากหาเื่ใส่ตัว จึงกัดฟันอุ้มสาวน้อยเดินจากไป ไม่แม้แต่จะหันมามองจั๋วอวิ๋นเซียน
ผู้คนรอบข้างเงียบกริบ แม้แต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็เงียบลง
เปาต้าถงไม่พอใจจนอยากจะด่าแม่ลูกสองคนนั้น แต่ถูกจั๋วอวิ๋นเซียนห้ามเอาไว้ ถึงแม้เขาจะไม่ชอบความรู้สึกนี้ แต่ก็ไม่ได้โกรธอะไรนัก ที่เขาช่วยคนก็เพื่อทำตามปณิธาน ไม่ใช่เพื่อคำขอบคุณ สำหรับคนอื่นจะสำนึกบุญคุณหรือไม่ ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องเก็บมาคิด
“ว่าอย่างไร?”
สาวน้อยยังคงมีท่าทางสูงส่ง การ ‘ยืนยัน’ ของนางเหมือนเป็การตอกย้ำความโง่เขลาของอีกฝ่าย
จั๋วอวิ๋นเซียนขมวดคิ้ว ในสมองเกิดความคิดมากมาย อีกฝ่ายจงใจลองเชิงและเห็นได้ชัดว่านางคุ้นเคยกับเขาเป็อย่างดี แต่จั๋วอวิ๋นเซียนมั่นใจว่า เขาไม่รู้จักสาวน้อยป่าเถื่อนคนนี้แน่
ไม่ทันที่จั๋วอวิ๋นเซียนจะพูด เปาต้าถงที่ทนไม่ไหวก็พูดแทรกขึ้นมา “เฮ้ย! เ้าชนคน ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ควรบอกขอโทษก่อนสิ!”
ถึงแม้สาวน้อยชุดหลากสีจะงดงามมาก ทว่าเขาไม่ค่อยชอบท่าทางสูงส่งและหยิ่งทะนงของอีกฝ่าย
“หนวกหู! คุกเข่าให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
สาวน้อยสะบัดนิ้ว เห็นเพียงแสงสว่างวาบพุ่งไปที่ข้อเท้าของเปาต้าถง…จากนั้นก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้น เปาต้าถงคุกเข่าลงบนพื้นพร้อมเหงื่อไหลท่วมตัว
“พลังิญญาหรือ? เ้าเป็ผู้บำเพ็ญเซียนหรือ?”
จั๋วอวิ๋นเซียนปกป้องเปาต้าถง เขาถือลูกปัดสีดำลูกหนึ่งเอาไว้ในมือ เขาไม่ได้คิดจะใช้เหตุผลกับสาวน้อยชุดหลากสีแล้ว เพราะอีกฝ่ายป่าเถื่อนไร้เหตุผล
“เจ็บมาก! เจ็บจะตายอยู่แล้ว!”
เปาต้าถงเจ็บจนกรีดร้องเสียงดัง แต่เขายังคงปากแข็ง “ผู้บำเพ็ญเซียนแล้วอย่างไร ผู้บำเพ็ญเซียนจะทำร้ายใครก็ได้หรือ? ชนคนก็ต้องขอโทษ! เ้าทำร้ายข้าได้ แต่เ้ามิอาจดูถูกข้า!”
“อ๊ะ?”
จั๋วอวิ๋นเซียนคิดไม่ถึงเลยว่าเ้าซาลาเปาที่ปกติจะขี้ขลาดตาขาวก็มีด้านที่แข็งกร้าวเช่นกัน นั่นทำให้เขาต้องเปลี่ยนความคิด…ดูท่าเมื่อก่อนทุกคนจะเข้าใจเ้าซาลาเปาผิดไป
น่าเสียดาย เมื่อเปาต้าถงเห็นสาวน้อยชุดหลากสียกมือขึ้นก็ทนไม่ไหวทันที “เ้า…เ้าคิดจะทำอะไร? อย่าลงมือนะ! เซียนกับปุถุชนต่างกัน ถ้า…ถ้าเ้าลงมือกับคนธรรมดาตามใจชอบ ระวังกฎแห่งวิถีเซียนจะลงโทษเ้า!”
“ลงโทษข้าหรือ? เพราะเ้าน่ะหรือ?”
สาวน้อยแค่นเสียงแล้วกล่าวด้วยความดูถูก “ข้อแรกข้าไม่ได้ปล้นขโมย ข้อสองข้าไม่ได้ฆ่าคน ตอนแรกอย่างมากก็แค่รถม้าเสียการควบคุมจนพุ่งชนสิ่งของเท่านั้น อีกทั้งข้าวของที่เสียหายข้าจะสั่งให้คนมาชดใช้คืนภายหลัง…กฎวิถีเซียนจะลงโทษข้าได้อย่างไร?”
“จะ…เ้า…”
เปาต้าถงตัวสั่นด้วยความโกรธจนพูดไม่ออก
จั๋วอวิ๋นเซียนมองสาวน้อยพลางกล่าวว่า “เ้าเป็ใคร? แล้วเ้า้าอะไรกันแน่?”
สาวน้อยชุดหลากสีเชิดคางขึ้นพร้อมกล่าวอย่างดูแคลน “ฟังให้ดีนะ ข้าก็คือคุณหนูใหญ่ตระกูลสีแห่งต้าหนิง…สีเฟยเยียน”
ตระกูลสีวิถีเซียนแห่งเมืองต้าหนิงหรือ?
ผู้คนรอบข้างที่ได้ยินต่างหน้าถอดสีและรีบหนีออกไปไกลๆ ทันที พวกเขากลัวว่าจะโดนลูกหลงไปด้วย… ตระกูลสีวิถีเซียนคือตระกูลที่มีอำนาจมากกว่าตระกูลจั๋ว ต่อให้เป็คนที่ไม่ค่อยรู้เื่ก็ต้องเคยได้ยินมาบ้าง
ไม่ว่าตระกูลจั๋วหรือตระกูลหนิงล้วนไม่ใช่ตระกูลที่คนธรรมดาจะหาเื่ได้ รวมทั้งเด็กหนุ่มดื้อรั้นอย่างเปาต้าถงที่ตอนนี้กลัวจนหัวหด
สาวน้อยพอใจกับท่าทีของผู้คนมากจึงเชิดหน้ากล่าว “จั๋วอวิ๋นเซียน ข้ามาที่นี่เพื่อบอกเ้า ขยะอย่างเ้าไม่คู่ควรกับน้องหญิงรั่วเมิ่ง…หวังว่าเ้าจะรู้ตัวและยอมถอยไปเสีย มิเช่นนั้นเ้าจะต้องเสียใจ!”
เมื่อกล่าวจบสาวน้อยชุดหลากสีสะบัดมือเบาๆ ตบจั๋วอวิ๋นเซียนล้มลงกับพื้น เขาแทบจะไม่มีกำลังจะตอบโต้แม้แต่น้อย
“จำเอาไว้ ข้ามาหาเ้าอีกแน่!”
สาวน้อยชุดหลากสีขี่กระบี่บินจากไปภายใต้สายตาหวาดกลัวของทุกคน แม้แต่รถม้าก็ไม่คิดจะเก็บไปด้วย
……
เมื่อจบเื่ผู้คนก็แยกย้ายกันไป
จั๋วอวิ๋นเซียนลูบอกที่เจ็บช้ำ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และพยายามสะกดความโกรธ เมื่อครุ่นคิดถึงเจตนาที่แท้จริงของสีเฟยเยียน อีกฝ่ายไม่มีทางถ่อมาไกลเพียงเพื่อสร้างความอัปยศให้เขาแน่
“จั๋วอวิ๋นเซียน รั่วเมิ่งคือใครกัน? คู่หมั้นของเ้าหรือ?”
เมื่อได้ยินคำถามของเปาต้าถง จั๋วอวิ๋นเซียนก็ส่ายศีรษะ “ข้าไม่รู้จักรั่วเมิ่ง และไม่รู้จักสีเฟยเยียนด้วย”
“อะไรนะ! ไม่รู้จักอย่างนั้นหรือ!”
เ้าซาลาเปาใพลางกล่าวด้วยความสงสัย “เ้าไม่รู้จักพวกนาง เช่นนั้นสีเฟยเยียนทำร้ายเ้าเพื่ออันใด? ผู้หญิงคนนั้นเป็บ้าไปแล้วหรือ!”
จั๋วอวิ๋นเซียนไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร เขารู้สึกว่าเื่นี้มีบางอย่างผิดปกติ
เ้าซาลาเปาโมโหจนทนไม่ไหวจึงเสนอว่า “จั๋วอวิ๋นเซียน พวกเราไปฟ้องที่จวนท่านเ้าเมืองดีหรือไม่…ข้าไม่เชื่อว่าตระกูลสีแห่งต้าหนิงจะมีอำนาจล้นฟ้าในเมืองตงหลิง
จั๋วอวิ๋นเซียนมองอีกฝ่ายและกล่าวว่า “ถ้าข้ามองไม่ผิด เมื่อครู่ในฝูงชนมีคนจากจวนเ้าเมืองอยู่หลายคน หนึ่งในนั้นข้าเคยเห็นเขาตอนงานฉลองวันเกิดท่านเ้าเมือง”
“……”
เปาต้าถงอ้าปากค้างพูดไม่ออก เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกกลัว แม้แต่คนจากจวนท่านเ้าเมืองยังยอมสีเฟยเยียน เด็กหนุ่มอย่างเขาจะทำอะไรได้?
ตระกูลสีแห่งต้าหนิง…
จั๋วอวิ๋นเซียนก้มหน้ากำลูกปัดสีดำในมือเอาไว้แน่น แต่เขาไม่ได้เปิดใช้งาน
แม้จะเห็นว่าจั๋วอวิ๋นเซียนมีสีหน้าสงบนิ่ง แต่ความเป็จริง ในใจของเขาเกิดคลื่นมากมาย ชีวิตธรรมดาตลอดสิบสองปียังเทียบกับความะเืใจของเขาในวันนี้ไม่ได้ ศิษย์จากตระกูลวิถีเซียนคนหนึ่งสามารถจะทำอะไรที่นี่ก็ได้…และเขาก็เริ่มเข้าใจว่าบนโลกใบนี้ไม่มีคำว่ายุติธรรม
ผู้แข็งแกร่งย่อมแข็งแกร่ง พวกเขาจะถูกผูกมัดด้วยคำพูดไม่กี่คำได้อย่างไร? กฎวิถีเซียนที่ว่านั้นเป็ของที่มีไว้เพื่อปลอบใจคนธรรมดาก็เท่านั้น
ท้ายที่สุดแล้วจั๋วอวิ๋นเซียนก็เป็แค่ ‘คนธรรมดา’ คนหนึ่ง
“เ้าซาลาเปา ข้าขอตัวก่อนนะ”
จั๋วอวิ๋นเซียนปัดฝุ่นบนร่างกายแล้วจัดระเบียบชุดที่ยับยู่ยี่ จากนั้นก็เดินจากไปเงียบๆ
เปาต้าถงรู้สึกไม่ยินยอม แต่ก็ไม่อาจทำอะไรมากกว่านี้ได้ หรือจะให้เขาต่อกรกับผู้บำเพ็ญเซียนเล่า?
ทั้งสองอายุเท่ากัน แต่กลับมีสถานะแตกต่างกัน นี่เป็ครั้งแรกที่เขาเข้าใจความหมายของพลัง ไม่เกี่ยวกับภูมิหลัง ไม่เกี่ยวกับดีชั่วหรือถูกผิด
