จุนห่าวและหานรุ่ยยังไม่รู้ตัวว่าพวกเขาขัดใจสุ่ยเย่ว์หรูหวาโดยไม่ตั้งใจอีกครั้ง ทั้งสองคนยังคงเดินทางในป่าอย่างรวดเร็ว ได้พบกับสัตว์อสูรหนาตา แต่จุนห่าวก็เตะพวกมันบินทยานในบัดดล
การกระทำที่แมนๆ เท่ห์ๆ ของจุนห่าว ทำให้จุนตงและจุนหนานมองอย่างชื่นชม จุนห่าวที่อยู่ในใจของพวกเขายิ่งสูงขึ้น
“ข้างหน้ามีคนอยู่ เราจะตรงไปหรือจะอ้อมไปดี?” จุนห่าวพูดกับหานรุ่ย
“ตรงไปละกัน ไปทางอ้อมยุ่งยากเหลือเกิน” หานรุ่ยเอ่ยพร้อมมองไปข้างหน้า เบื้องหน้าคงเป็ทีมทหารรับจ้างที่กำลังพักผ่อน
“เช่นนั้นก็ตรงไป” จุนห่าวกล่าวอย่างเห็นด้วย
เนื่องจากทั้งสองเลือกที่จะไปทางตรง จึงไม่ได้หลบซ่อนตน พวกเขามุ่งตรงไปยังจุดที่มีกลุ่มคนพักผ่อนอยู่
เมื่อเห็นจุนห่าวและหานรุ่ยพุ่งเข้ามาจากที่ห่างไกล เข้าใกล้ขึ้นมาเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว พวกเขาหยิบอาวุธขึ้นมาไว้ข้างกายอย่างระวังตัว
“ใครกัน?” ชายวัยกลางคนในกลุ่มนั้นเอ่ยถามขึ้น สีหน้าดูประหม่าเล็กน้อย
จุนห่าวและหานรุ่ยหยุด จุนห่าวพูดพร้อมหัวเราะเฮ่อๆ ว่า “แค่คนผ่านมา เรามิได้มีเจตนาไม่ดี แค่ผ่านมาทางนี้พอดี เราแค่อยากจะใช้ทางของพวกท่าน”
ชายคนนั้นมองจุนห่าวและหานรุ่ยครู่สั้นๆ มองไม่เห็นพลังปราณของพวกเขา ชายคนนั้นคิดในใจ ที่มองไม่เห็นพลังปราณ คงเป็เพราะปกปิดพลังปราณหรือไม่ก็มีพลังปราณสูงกว่าเขา เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ เขาจึงเพิ่มความระวังตัวขึ้น ชายคนนั้นมองชายหนุ่มรูปงามในกลุ่มอย่างคลุมเครืออยู่ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มพยักหน้าให้กับชายวัยกลางคน
แม้ว่าพฤติกรรมของคนทั้งสองจะทำแบบลับๆ แต่พวกเขาก็ไม่อาจหลบซ่อนจากสายตาของจุนห่าวได้ จุนห่าวคิดในใจ แท้จริงแล้ว ชายหนุ่มคนนั้นต่างหากที่เป็หัวหน้าของกลุ่มนี้
ชายวัยกลางคนส่งสัญญาณและกล่าวกับจุนห่าวและหานรุ่ยว่า “พวกท่านผ่านไปได้” พูดจบก็เผยให้เห็นมีเส้นทางเดียวที่ผ่านได้
จุนห่าวมองไปทางที่ผ่านได้สำหรับหนึ่งคนเท่านั้น รู้ว่าพวกเขาไม่ละทิ้งความระแวงที่มีต่อพวกเขา อันที่จริง จุนห่าวและหานรุ่ยก็มิได้จะลงมือกับคนเหล่านี้ ดังนั้น จุนห่าวจึงเดินหน้าอย่างเปิดเผย หานรุ่ยเดินตามหลังไปติดๆ ทั้งสองคนไม่ได้คลายความระวังของพวกเขาลง และตื่นตัวอยู่ตลอด แม้ว่าพวกเขาจะไม่ทำอันตราย ทว่าการป้องกันส่วนบุคคลย่อมต้องมี
จุนห่าวและหานรุ่ยเดินผ่านไปแล้ว จุนห่าวหันกลับมาและพูดกับคนกลุ่มนั้นว่า “ขอบคุณ เราไม่รบกวนเวลาพักผ่อนของพวกท่านแล้ว” พูดจบแล้วจึงเร่งความเร็ว หานรุ่ยตามติดไป และทั้งสองก็หายไปจากสายตาของคนกลุ่มนั้น
มองภาพไล่หลังที่พลันหายไป หญิงงามในกลุ่มเอ่ยกับชายหนุ่มรูปงามว่า “ท่านพี่ สองคนนั่นคิดอะไรอยู่ เหตุใดจึงพาเด็กที่ไม่มีพละกำลังเข้าไปในอาณาเขตข้างใน มิใช่ส่งไปตายหรือ?”
อู๋โม่วหานมองดูเงาที่อยู่ไกลโพ้น เขารู้สึกคุ้นซวงเอ๋อร์ผู้นั้นยิ่งนัก แต่ไม่กล้ายืนยัน เขาคิดว่าไม่น่าเป็ไปได้ ได้ยินว่าคนนั้นกลายเป็สวะแล้ว ทั้งยังเป็คนป่วย หายไปจากสายตาของทุกคนมาเนิ่นนาน นานเสียจนถูกคนลืมเลือน บัดนี้ หากคนนี้คือเขาคนนั้น เขาจึงไม่กล้ายืนยัน แต่ทว่า คนๆ นั้นเหตุใดถึงปรากฏตัวที่นี่ ไม่เพียงมีพลังปราณไม่ต่ำ แต่ยังสูงกว่าเขา อู๋โม่วหานรู้สึกงงงวยอย่างไม่เข้าใจ เห็นทีกลับไปคราวนี้ เขาคงต้องไปสอบถามสักหน่อย หากเป็คนนั้นกลับมาจริงๆ ถ้าเช่นนั้น คนที่อยู่ในเมืองเย่ว์เซียนคงจะนั่งไม่ติดแน่
ขณะที่อู๋โม่วหานกำลังอยู่ในห้วงแห่งความคิด ก็ได้ยินคำพูดของฟางหย่า จึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เ้ารู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาส่งไปตายอ่า! หากไม่มีพละกำลังปกป้อง พวกเขาคงจะไม่ผ่านวงล้อมของเราอย่างง่ายดายถึงเพียงนี้ อย่าบอกนะว่าเ้าคิดว่าพวกเขาเป็คนโง่ที่ใจกล้าจริงๆ! จากนี้ไป ยามอยู่ข้างนอกต้องมองให้ชัด ไม่อาจมองคนจากรูปลักษณ์ภายนอกได้ มิฉะนั้นเ้าอาจตายได้ทุกเมื่อ
ฟางหย่าฟังคำพูดของอู๋โม่วหานแล้ว กล่าวอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “ท่านพี่ อย่าบอกนะว่าพวกเขาคือปรมาจารย์? เหตุใดข้ามองไม่ออกล่ะ? เห็นทีต่อไปข้าต้องเรียนรู้จากท่านให้มากเสียแล้ว” พูดจบก็ทำหน้าทะเล้นพลางจับแขนของอู๋โม่วหาน
อู๋โม่วหานทำหน้าเอือมๆ อยู่ครู่หนึ่ง มิได้สลัดแขนของฟางหย่าออก เขาจะไม่ทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์อีกต่อไป
เขายิ้มให้กับฟางหย่าและกล่าวว่า “หากเป็ปรมาจารย์จริง จะถูกเ้ามองออกอย่างง่ายดายหรือ แต่ยังไงพวกเขาก็มิใช่คนธรรมดา ต่อไปหากได้พบกันอีก อย่าไปขัดใจพวกเขาเสียดีกว่า” อู๋โม่วหานกล่าว ยังคงคิดถึงเื่ของหานรุ่ยอยู่
หลังจากที่จุนห่าวและหานรุ่ยจากมาระยะนึง จึงหยุดพัก จุนห่าวมองสภาพแวดล้อมโดยรอบ พลางพูดกับหานรุ่ยว่า “เสี่ยวรุ่ย เราพักกันตรงนี้เถอะ เดินทางมานานแล้ว ต่อให้เราไม่หิว แต่ลูกๆ คงหิวแย่แล้ว”
หานรุ่ยก็สังเกตสภาพแวดล้อมโดยรอบ พูดกับจุนห่าวว่า “ได้ เที่ยงนี้เราจะพักที่นี่” จากนั้นก็คิดทบทวน พลางพูดกับจุนห่าวว่า “ด้วยความเร็วนี้ เราน่าจะไปถึงอย่างน้อยที่สุดในอีกสามวัน”
“ไม่มีสิ่งช่วยในการเดินทาง นี่ถือว่าเร็วมากแล้ว เห็นทีเราจะคาดการณ์ผิด ควรซื้อสัตว์อสูรที่บินได้เพื่อใช้ในการเดินทางเสียบ้าง” จุนห่าวพูดอย่างอารมณ์เสีย
“ถูกต้อง แต่จะซื้อตอนนี้ก็สายเกินไป เราไม่มีเงินแล้ว” หานรุ่ยพูดกับจุนห่าวอย่างติดตลก ซึ่งหานรุ่ยพูดแทงใจดำจุนห่าวในประโยคเดียว
เมื่อได้ยินคำพูดของหานรุ่ย จุนห่าวคิดว่า ภรรยาคิดว่าเขาไม่มีเงินพร้อมจะทอดทิ้งเขาแล้ว หรือกระตุ้นให้เขาหาเงินโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็ไปได้กันแน่นะ? เมื่อคิดถึงเื่นี้ จุนห่าวเอ่ยขึ้นอย่างเศร้าหมองว่า “เสี่ยวรุ่ย เ้าจงวางใจ ข้าจะหาวิธีทำเงินใหม่ๆ โดยเร็วที่สุด จะไม่ทำให้เ้าและลูกๆ ต้องลำบาก”
“เ้าคิดมากไปแล้ว มีเงินเดี๋ยวก็หมดไป เงินทองเป็ของนอกกาย อย่ายึดติดจนเกินไป” หานรุ่ยพูดอย่างสบายๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนพร้อมพูดกับจุนห่าวว่า “เ้าก่อไฟ ข้าจะไปล่าสัตว์ป่า เที่ยงนี้เราจะกินเนื้อย่างกัน” พูดจบเงาของหานรุ่ยก็ย่างก้าวออกไป เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็เอ่ยกับจุนห่าวอย่างไม่หันมามองว่า “นี่คือการใช้ชีวิตโดยมิต้องใช้เงิน ใช้แต่การพึ่งพาตนเอง” หลังจากนั้นก็หายเข้าไปในป่า
จุนห่าว “......” คิดในใจ นี่หานรุ่ยจะแสดงให้เขารู้จักวิธีการใช้ชีวิตโดยไม่มีเงินว่าทำยังไงหรือ? ดูเหมือนว่าเขาจะยึดติดกับเงินเกินไปจริงๆ เขาแค่อยากให้หานรุ่ยและลูกๆ ของเขามีชีวิตที่ดี ถึงได้หมกมุ่นเช่นนี้ การที่เขาหมกมุ่นเื่เงิน หากเขาไม่ยับยั้งมัน ในระยะยาว เขาคงมีความคิดชั่วร้ายขึ้นในใจของเขาอย่างช้าๆ และวันนี้หานรุ่ยได้ปลุกเขาให้ตื่นจากความชั่วร้ายนั้น เมื่อคิดเื่นี้ จุนห่าวก็ปลดโซ่ตรวนที่พันธนาการเขา ทันใดนั้นเอง เกิดความสว่างสดใส พลังปราณก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อย
หลังจากจุนห่าวจุดไฟแล้ว หานรุ่ยก็กลับมาพร้อมไก่งวงสองตัว เมื่อเห็นจุนห่าวที่ดูมีมีชีวิตชีวาขึ้น หานรุ่ยทราบได้ว่าจุนห่าวคิดได้และไม่ถูกเื่เงินทองรบกวนแล้ว
จุนห่าวเห็นหานรุ่ยถือไก่งวงที่สูงกว่าหนึ่งเมตรด้วยมือเดียว แล้วพูดว่า “กลับมาแล้ว กินได้แต่ไก่ย่างหรือ?”
“กินไก่ย่างนี่แหละ ข้าชอบกิน” จุนหนานเอ่ยขึ้นพร้อมมองไก่งวงในมือของหานรุ่ยด้วยดวงตาเปล่งประกาย
“ข้าจะกินไก่ยัดไส้ห่อใบบัวอบ” จุนตงจ้องมองไก่งวงในมือของหานรุ่ยเช่นกัน
“เข้าใจจุนตงและจุนหนานแล้ว ไก่ย่างตัวนึง และทำไก่ยัดไส้ห่อใบบัวอบอีกตัวนึง” หานรุ่ยพูดกับจุนห่าว
“น้อมรับคำสั่ง ภรรยาที่เคารพ” จุนห่าวยืดเอวของเขาและทำความเคารพหานรุ่ยเยี่ยงทหาร จุนห่าวออกท่าทางจบเพียงหนึ่งลมหายใจ หานรุ่ยชะงักไปอย่างอึ้งๆ
เมื่อเห็นหานรุ่ยชะงักไปอย่างอึ้งๆ จุนห่าวคว้าไก่ในมือของหานรุ่ย และพูดด้วยน้ำเสียงต่ำๆ พลางกระซิบข้างหูว่า “ข้าหล่อมากใช่ไหม เห็นท่าทางเช่นนี้ของข้า ยิ่งประทับใจใช่ไหมล่ะ”
“หล่อ ท่านพ่อหล่อที่สุด ต่อไปข้าจะแต่งงานกับคนอย่างท่านพ่อ” จุนหนานพูดอย่างตื่นเต้น เขาชอบท่าทางของพ่อของเขาที่สุด
ฟังคำพูดของจุนหนาน จุนตงคิดอยู่ในใจ จากนี้ไปเขาก็หาคนที่เป็อย่างท่านพ่อ มีเพียงคนแบบนี้ถึงจะควรค่าที่ตนเองจะแต่งงานด้วย
“ถ้าอย่างนั้น ชาตินี้พวกเ้าก็อย่าคิดที่จะแต่งงานเลย คนอย่างข้ามิใช่ว่าจะหากันได้ง่ายๆ ข้าขอเตือนเ้า ให้ลดระดับมาตรฐานลงเสียหน่อย” จุนห่าวพูดพร้อมเลิกคิ้ว
หลังจากขัดจังหวะจุนหนาน พฤติกรรมของจุนห่าวเมื่อครู่นี้ ทำให้หานรุ่ยจากที่หน้าแดงๆ กลับมาเป็ปกติ
จุนห่าวทำไก่ย่างและไก่ยัดไส้ห่อใบบัวอบเสร็จแล้ว ขณะที่ทั้งครอบครัวกำลังทานอาหารอยู่นั้น ก็มีแขกไม่ได้รับเชิญคืบคลานเข้ามา จุนห่าวและหานรุ่ยตื่นตัว เมื่อพวกเขาได้ยินการเคลื่อนไหว แต่พวกเขายังคงนั่งกินไก่ในมืออย่างช้าๆ
จุนห่าววางกระดูกไก่ที่กินเสร็จลง ปรบมือและเงยหน้าขึ้น มองกลุ่มที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากพวกเขา จุนห่าวเลิกคิ้ว พูดอย่างยิ้มๆ ว่า “พวกเ้าเองรึ? คือพวกเ้า?” จุนห่าวคิดในใจ พวกเขาตั้งใจที่จะขอผ่านทาง ลมช่างเปลี่ยนทิศเสียจริง
ชายวัยกลางคนยิ้มอย่างอายๆ และพูดว่า “เป็พวกเราเอง เรารบกวนเวลาอาหารพวกท่านแล้ว ข้ามาที่นี่เพื่อขออนุญาตท่าน หวังว่าท่านจะให้เราผ่านไป”
“ไม่ต้องพูดถึงเื่รบกวนหรอก พวกท่านอยากผ่านก็ไปได้ ที่นี่มิใช่สวนหลังบ้านของข้า ดังนั้นไม่ต้องรายงานข้า อยากผ่านก็ผ่านเถอะ” จุนห่าวพูดอย่างเฉยเมย พร้อมทำมือเชื้อเชิญ
เมื่อเปรียบเทียบกับความใจดีของจุนห่าว ชายวัยกลางคนรู้สึกว่าวิธีการของพวกเขาดูไม่สุภาพไปเลย กลุ่มของพวกเขามีสิบคนกลับสู้ผู้ใหญ่สองคนและเด็กไม่ได้ เห็นทีพวกเขาจะระวังตัวมากเกินไป
อู๋โม่วหานคิดไม่ถึงว่าจะพบชายหนุ่มสองคนเมื่อครู่ได้เร็วถึงเพียงนี้ คราวนี้อู๋โม่วหานมองหานรุ่ยอย่างพินิจในระยะสายตา ในใจเขายืนยันแล้วว่าบุคคลนี้ก็คือหานรุ่ย...นายน้อยห้าแห่งตระกูลหาน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็อัจฉริยะของเมืองเย่ว์เซียน
อู๋โม่วหานคือนายน้อยสายตรงของตระกูลอู๋ในเมืองเย่ว์เซียน ซึ่งเป็ตระกูลเ้าของหอหยุนเซียว เขาเคยพบหานรุ่ยครั้งหนึ่งในเมืองเย่ว์เซียน ในเวลานั้นเขาถูกดึงดูดด้วยเสน่ห์ของหานรุ่ย ทว่าหานรุ่ยอยู่สูงเกินกว่าที่เขาจะเอื้อมถึง เขาจึงไม่มีโอกาสได้พบหานรุ่ยอีก และในเวลานั้นหานรุ่ยยังเป็คู่หมั้นขององค์ชายสาม เขาจึงสลัดความคิดของตนเอง ผู้คนต่างบอกว่าหานรุ่ยขี้เหร่ยิ่บนัก แต่ในสายตาของอู๋โม่วหาน หานรุ่ยสง่างามอย่างหาที่เปรียบมิได้ ต่อมาเขาได้ยินว่าหานรุ่ยเกิดเื่ เขายังเสียใจกับหานรุ่ย ั้แ่นั้นมา เมืองเย่ว์เซียนก็ไม่มีข่าวคราวของหานรุ่ยอีกเลย อู๋โม่วหานจึงหดหู่ใจ
เมื่อได้พบหานรุ่ยครั้งที่สองนี้ ความรู้สึกของอู๋โม่วหานที่เคยมีปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง บัดนี้หานรุ่ยมิได้อ่อนโยนเหมือนเมื่อครั้งยังเยาว์วัย เขากลายเป็ผู้ใหญ่เต็มตัว หานรุ่ยที่เป็แบบนี้ยิ่งทำให้อู๋โม่วหานประทับใจ
สายตาของจุนห่าวเปรียบเสมือนเครื่องตรวจจับทิศทาง เขาพบว่าอู๋โม่วหานมองหานรุ่ย ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความรัก ซึ่งกระตุ้นประสาทอันว่องไวของจุนห่าว จุนห่าวคิดในใจ ศัตรูหัวใจปรากฏตัวแล้ว เขาต้องเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ จุนห่าวแปรเปลี่ยนความเกียจคร้านก่อนหน้านี้ มองไปทางอู๋โม่วหานด้วยสายตาเฉียบคม และกล่าวขึ้น “ทุกท่านอยากขอใช้เส้นทาง ข้าได้ให้ทาแล้ว ข้ามิได้เตรียมอาหารสำหรับทุกท่าน จึงไม่ขอเชื้อเชิญพวกท่าน”
อู๋โม่วหานเห็นการตั้งตนเป็ปรปักษ์ในสายตาของจุนห่าว เขาเดาความสัมพันธ์ระหว่างจุนห่าวกับหานรุ่ยได้ พลางมองจุนตงและจุนหนาน เป็ครอบครัวที่รักใคร่กลมเกลียว ช่างทำให้ผู้อื่นอิจฉาเสียจริง อู๋โม่วหานยิ้มอย่างขมขื่น พลางคิดในใจ เขาช้าไปก้าวนึงอีกครั้ง ในอดีตหานรุ่ยเป็คู่หมั้นของใครบางคน แต่ตอนนี้เขาเป็ภรรยาซวงเอ๋อร์ของคนอื่น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา...อู๋โม่วหานคนนี้
แม้ว่าเขาจะรู้ว่ากับหานรุ่ยคงเป็ไปไม่ได้ ทว่าเมื่อเห็นการตั้งตนเป็ปรปักษ์ในสายตาของจุนห่าว อู๋โม่วหานก็ยิ้มออกมา
