สายตาเหยียดหยามของมู่จื่อหลิงนั้นโจ่งแจ้งเป็พิเศษ ไร้ซึ่งการหลบเลี่ยง ผู้ที่มีตาล้วนมองเห็นทั้งหมด ย่อมรวมไปถึงสิงกู้เหวินที่มีใบหน้าลำพองใจ
ทว่าสิงกู้เหวินก็ไม่ใส่ใจ ก้อนเนื้อสองก้อนบนใบหน้ายังคงเหยียดยิ้มเจิดจ้าจนเหมือนจะกลั่นเป็น้ำมันออกมา รอให้มู่จื่อหลิงวิงวอนขอรับสารภาพผิดอย่างมีความอดทน
แต่มู่จื่อหลิงกลับยิ้มอย่างเฉยชา ส่ายศีรษะอย่างไม่นำพา “คิดจะให้เปิ่นหวางเฟยคุกเข่าอ้อนวอน ต่อให้พวกเ้าเข้ามาพร้อมกัน เปิ่นหวางเฟยก็ไม่สะทกสะท้าน เชื่อหรือไม่เล่า?”
ตอนนี้ต้องยั่วโทสะลาโง่พวกนี้ให้เข้าใกล้นางเสียก่อน นางจึงจะมีวิธีวางยาให้พวกเขาคุกเข่าลงกับพื้น ส่วนเ้าอ้วนสมควรตาย ไม่ง่ายนักที่จะจัดการเขา
ทันทีที่คำพูดอวดดีของมู่จื่อหลิงหลุดออกมาจากปาก ซุนเอ้อร์เฮยก็ข่มกลั้นโทสะไว้ไม่อยู่ดังคาด เขาเต็มไปด้วยเพลิงแห่งโทสะ แค้นเคืองที่ได้รับความไม่เป็ธรรมขึ้นมาโดยพลัน “ใต้เท้าสิง ให้พวกเด็กๆ ออกมา พวกเราคนมากมายเพียงนี้ ข้าไม่เชื่อว่าจะสยบนางปีศาจตนหนึ่งไว้ไม่อยู่”
สิงกู้เหวินมองปราดไปที่พวกผู้คุมรอบกาย ผงกศีรษะเล็กน้อย แสดงออกโดยนัยว่ายอมรับคำพูดของซุนเอ้อร์เฮย เขาไม่ได้รีบร้อน ไม่ว่าคนพวกนี้จะจัดการได้หรือไม่ เขาก็มีแผนสำรองไว้แล้ว
ซุนเอ้อร์เฮยยืนตัวตรง ยกมุมปากอย่างชั่วช้า “พี่น้องทั้งหลาย พวกเ้าจงเข้าไปพร้อมกัน วันนี้จะต้องทำให้นางปีศาจตนนี้คุกเข่าแต่ใต้เท้าสิงให้ได้”
ทันทีที่วาจานี้หลุดออกมา ผู้คุมพวกนั้นก็ทยอยลุกขึ้นด้วยท่าทางมุ่งมั่น พุ่งเข้าไปหามู่จื่อหลิงโดยพร้อมเพรียงกันอย่างรวดเร็ว เพียงแต่เมื่อพวกเขาอยู่ห่างจากมู่จื่อหลิงเพียงหนึ่งก้าว
ตุ้บ! ตุ้บ!
เกิดเสียงดังขึ้นต่อเนื่องกัน ผู้คุมพวกนั้นทยอยนั่งคุกเข่าลงเบื้องหน้ามู่จื่อหลิง ใบหน้าของแต่ละคนเต็มไปด้วยความตระหนกใ ตะเกียกตะกายลุกขึ้นอยู่โดยตลอด แต่มิว่าอย่างไรก็ลุกไม่ขึ้น
มู่จื่อหลิงยกมุมปากมองฉากนี้ด้วยความพอใจ ผลลัพธ์ของผงเอ็นอ่อนรุ่นทดลองไม่ธรรมดาจริงๆ คนมากมาย ฤทธิ์ของยาก็ยังคงออกมาอย่างฉับไวจนน่าทึ่ง!
ซุนเอ้อร์เฮยใเสียจนตาเบิกกว้างอ้าปากค้าง เหตุใดเขาจึงนึกไม่ถึงว่านางปีศาจจะร้ายกาจถึงเพียงนี้ ผู้คุมมากมายก็จัดการนางเพียงคนเดียวไม่ได้ เขาขัดเขินไปเล็กน้อย “ใต้เท้าสิง”
สิงกู้เหวินยกมือยับยั้งคำพูดของซุนเอ้อร์เฮย ในใจเขาก็ใเล็กน้อยเช่นกัน
ฮองเฮาตรัสไม่ผิดจริงๆ สตรีผู้นี้ไม่ธรรมดา หญิงบอบบางร่างเล็กผู้หนึ่งจัดการผู้คุมรูปร่างสูงใหญ่เหมือนม้าในเวลาสั้นๆ
เพียงแต่สตรีผู้นั้นลงมือเยี่ยงไรกันแน่ ดูเหมือนมิอาจเข้าใกล้ตัวนางได้
ดูแล้วเขายังต้องใช้ไม้นั้นของฮองเฮาแล้ว!
แปะ! แปะ!
“จิ๊ๆ ไม่เลวเลยจริงๆ” สิงกู้เหวินปรบมือ ถามมู่จื่อหลิงอีกครั้งอย่างมีความอดทน “แต่ว่า เ้าจะไม่ขอร้องรับสารภาพจริงๆ?”
“หากเปิ่นหวางเฟยไม่ร้องขอความเมตตา ไม่ยอมรับผิดจริงๆ แล้วเ้าจะทำเช่นใดเล่า?” มู่จื่อหลิงถามด้วยรอยยิ้มสุขุม ราวกับแค่สายลมเบาพัดผ่านใบหน้า ไร้ซึ่งความหวาดเกรง
แม้ภายนอกมู่จื่อหลิงจะแย้มยิ้มอย่างนิ่งสุขุม แต่ในใจนางกลับเพิ่มความระแวดระวังไปอีกสามส่วนอย่างเงียบๆ
เพราะยามนี้นอกจากสิงกู้เหวินที่นั่งอยู่แล้ว ยังมีอีกสามคนที่ยืน ซึ่งซุนเอ้อร์เฮยนั้นตัดออกไปได้เลย
เพียงแต่สองคนนั้นข้างหลังสิงกู้เหวิน
เมื่อครู่ตอนที่เข้ามานางสังเกตเห็นเพียงเ้าอ้วนตุ๊บเบื้องหน้าเท่านั้น แต่กลับไม่รับรู้ถึงคนท่าทางดุดันสองคนข้างหลังเขามาโดยตลอด
การแต่งกายของสองคนนี้ไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป มิต้องคิดก็รู้ว่ามากับสิงกู้เหวิน ยามนี้ยืนเป็พระพุทธรูปอยู่ด้านหลังสิงกู้เหวิน มือหนึ่งกุมเข็มชั้นเลว มืออีกข้างถือดาบขนาดใหญ่
ดูท่าแล้วเหมือนว่าจะเป็ผู้ฝึกวรยุทธ์ และมิใช่ตะเกียงขาดน้ำมัน กลิ่นอายเช่นนี้อย่างน้อยๆ ก็ร้ายกาจกว่าผู้คุมประจบสอพลอพวกนี้เยอะนัก
สิงกู้เหวินเงยศีรษะ หัวเราะลั่นอย่างพึงพอใจ “เช่นใด? ฮ่าๆ ข้าจะบอกเ้า ลงมือได้!”
เขาไม่ร้อนรนตามมู่จื่อหลิง บุ้ยริมฝีปาก ส่งสัญญาณให้ผู้ที่ถือเข็มทั้งสองคนด้านหลังตนเองอีกครั้ง
เข็มมากมายเพียงนี้ เขาไม่เชื่อว่าหญิงผู้นี้จะไม่ตื่นกลัวจริงๆ เมื่อครู่ขณะที่หญิงผู้นี้มองเข็มนั้นแววตาหวาดกลัวอย่างชัดเจน
และลูกน้องที่เขาพามาทั้งสองคนก็เป็มือดีที่ฮองเฮาส่งมาให้เขาเงียบๆ ผู้คุมไม่กี่คนนั่นฝีมือก็แค่ธรรมดาๆ เท่านั้น สองคนนี้ด้านหลังเขาสิจึงไม่ธรรมดา เขาไม่เชื่อว่าสตรีผู้นี้จะยังร้ายกาจได้อยู่อีก
มู่จื่อหลิงโค้งมุมปากราวกับกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้มมองสิงกู้เหวิน สายตาเช่นนั้นเหมือนมองคนปัญญาอ่อน
นางแบมือออกอย่างช่วยไม่ได้ ท่าทางลำบากใจยิ่งนัก “ที่แท้ใต้เท้าสิงก็คิดจะใช้ทัณฑ์ทรมานให้รับสารภาพ แต่เปิ่นหวางเฟยก็ยังไม่อยากยอมรับ ทำอย่างไรดีเล่า?”
ไม่ว่าสองคนด้านหลังสิงกู้เหวินจะมีวิธีการวิเศษวิโสอันใด นางก็ยังต้องรับมืออย่างสุขุม หากเสียกิริยาจนพ่ายแพ้ เช่นนั้นก็พ่ายแพ้ไปเสียทั้งหมด
สิงกู้เหวินเห็นท่าทางสุขุมเยือกเย็นของมู่จื่อหลิง ความอดทนพลันถูกบดจนหมดลง เก็บสีหน้ายิ้มแย้ม กล่าวอย่างเย้ยหยัน “ไม่ทราบว่าควรทำเช่นใด? เตาหมัง เตาปา ทำให้ข้าได้ประจักษ์ในฝีมือของเ้าเสีย!”
พูดจบ เขาก็ยกมืออวบอ้วนขึ้น ส่งสัญญาณให้กับลูกน้องทั้งสองข้างหลัง
“ขอรับ!” เตาหมังและเตาปาขานรับอย่างนอบน้อม
จากนั้นพวกเขาก็ดึงเข็มออกมาจากในมือ จู่โจมด้วยความเร็วโดยมิทันตั้งตัว ปาเข็มหนาไปทางมู่จื่อหลิงอย่างเืเย็น
คราแรกมู่จื่อหลิงยังไม่ทันมีปฏิกิริยา ชั่วพริบตาก็รู้สึกว่ามีลมเย็นเยียบสองสายพัดผ่านข้างหูของนางไป
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
สองเข็มหนาั้แ่แยกจากกันบินผ่านข้างหูของมู่จื่อหลิง ทะลุกำแพงด้านหลังของนางออกไป
มู่จื่อหลิงแข็งค้างไปั้แ่ตอนที่เข็มเหล็กหนาสองเล่มพุ่งผ่านไปแล้ว แน่นิ่งไม่ไหวติง ยามนี้นางตื่นใขึ้นมาแล้ว!
ทันใดนั้นจึงได้สติกลับมา ส่ายศีรษะอย่างอกสั่นขวัญหาย ถึงได้รู้สึกตัวว่าเมื่อครู่เกิดอันใดขึ้น
เยี่ยมมาก! นี่เป็กำลังภายในจริงๆ!
หากเมื่อครู่นางบิดตัวหรือกระดุกกระดิกเล็กน้อย มิใช่ศีรษะถูกแทงทะลุ เข็มหนาสองเล่มก็คงทะลุใบหูกระจุ๋มกระจิ๋มของนางไปแล้ว หลังจากนั้นก็เจาะรูหูใหญ่ให้นางสองรูโดยไม่ต้องเสียเงิน
นางว่าแล้ว ฮองเฮาเฉลียวฉลาดเพียงนั้นไม่มีทางที่จะเลอะเลือน ฮองเฮาจะส่งเ้าอ้วนพุงพลุ้ยที่อวดดีหลงตนเองมารับมือกับนางได้อย่างไร ที่แท้ยอดฝีมือก็อยู่ข้างหลังนี่เอง
แต่ ยอดฝีมือสองคนนี้จะเก่งกาจไปแล้ว นางควบคุมไม่ไหว พวกเขาเว้นระยะทิ่มเข็ม ต่อให้นางใช้ผงเส้นเอ็นอ่อนโปรยไปมากขึ้น ก็ไม่รู้ว่าจะใช้โดยเว้นระยะได้อย่างไร
นอกจากนี้ มองเพียงความเร็ว เรี่ยวแรง วรยุทธ์ที่เขาสองคนออกเข็มเมื่อครู่ก็ดูเหมือนจะร้ายกาจยิ่งนัก แล้วนางสตรีอ่อนแอที่ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจับไก่จะจัดการได้อย่างไรเล่า
ในที่แห่งนั้นมิใช่เพียงมู่จื่อหลิงที่ตื่นใ ซุนเอ้อร์เฮยรวมถึงคนอื่นๆ ที่คุกเข่าอยู่บนพื้นก็ยังหยุดดิ้นรน มองไปยังรูบนกำแพงที่ถูกเข็มทะลุผ่านไปทั้งสองรูอย่างอึ้งๆ
สีหน้าพวกเขาตื่นใสลับกับสีหน้าเลื่อมใส ไม่คิดว่าลูกน้องของใต้เท้าสิงจะร้ายกาจถึงเพียงนี้ พวกเขาก็ไม่ต้องกลัดกลุ้มว่าจะจัดการนักโทษอวดดีผู้นี้ไม่ได้แล้ว
สิงกู้เหวินอึ้งตะลึงไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็แหงนหน้าขึ้นฟ้าหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ฮ่าๆ...ฮ่าๆ ฝีมือดี ฝีมือดีนัก ฮ่าๆ”
จากนั้นสิงกู้เหวินก็มองมู่จื่อหลิงอย่างลำพองใจ เปี่ยมไปด้วยความอวดดี สีหน้านั้นได้อกได้ใจอย่างยิ่ง “เป็อย่างไร? ข้าจะให้โอกาสเ้ารับสารภาพขอความเมตตาเป็ครั้งสุดท้าย”
ระหว่างที่พูดเขาก็ล้วงหนังสือรับสารภาพออกมาจากอก โยนไปเบื้องหน้ามู่จื่อหลิงอย่างส่งๆ
คนทั้งสองคนที่ฮองเฮาประทานให้เขาร้ายกาจจริงๆ
ดูเหมือนสิงกู้เหวินคิดจะกำราบมู่จื่อหลิง ้าให้นางสารภาพออกมา คุกเข่ายอมรับผิด ทำลายความหยิ่งทระนงของนาง แสดงความน่าเกรงขามของตน ให้นางดูว่าที่แห่งนี้ใครใหญ่สุด!
ลงนามรับผิด?
มู่จื่อหลิงไม่แม้แต่จะเหลือบมองหนังสือรับสารภาพบนพื้นแผ่นนั้น
นางเพียงมองสิงกู้เหวินที่ไม่มีหางแต่คิดกระดกก้นไปให้ถึงฟ้า ขมวดเรียวคิ้วอย่างปวดศีรษะ
หมอนี่เสพติดความลำพองใจนี่นา
ั้แ่ต้นจนจบเขาให้โอกาสนางหลายครั้งนัก จะให้โอกาสมากเกินไปแล้ว ชักช้าลำพองใจอันใดกัน ยังไม่รีบจัดการให้เสร็จโดยเร็ว ให้นางตายอย่างไม่ทรมาน
หงส์ตกต่ำ ชะตากรรมยังมิสู้ไก่!
แม้ยามนี้นางมิอาจหลบหลีกไปได้อย่างแน่นอน แล้วก็ไม่อาจมีหลงเซี่ยวเจ๋อที่พาฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่มาแก้สถานการณ์ให้นางอีกเช่นกัน
ลำพังแค่ยอดฝีมือสองคนนั้น ก็สามารถบดขยี้นางจนตายได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาที นางในตอนนี้หมดหนทางที่จะพลิกคืนกลับมาได้แล้ว
แต่นางจะยอมจำนนหรือ ก็ยังเป็เช่นเดิม ยอมตายเสียดีกว่ายอมจำนน
ต่อหน้าไทเฮานางก็ยังผ่านมาได้อย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ นับประสาอันใดกับที่แห่งนี้
เ้าอ้วนพุงพลุ้ยคิดจะทิ่มเช่นใดก็ทิ่มเช่นนั้นเถิด
เมื่อครู่นางแอบกินยาระงับความเ็ปชนิดแรงแล้ว สามารถบรรเทาความเ็ปได้ส่วนหนึ่ง ยามนี้ต่อให้เ้าหมูตอนนี่จะทิ่มจนเนื้อนางแหว่ง นางก็จะไม่เจ็บมากนัก
แม้ผลข้างเคียงของยาระงับความเ็ปชนิดแรงจะมากกว่ายาระงับความเ็ปทั่วไป หากไม่คับขันจนถึงที่สุดนางก็ไม่อยากใช้ แต่ตอนนี้จะไม่มัวสนใจมากมายเพียงนั้นแล้ว ดีกว่าถูกเข็มทิ่มตายแล้วกัน
ั์ตามู่จื่อหลิงทอประกายความเย็นเยียบสายหนึ่งเบาบาง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรังเกียจ “โอกาสของเ้าเปิ่นหวางเฟยไม่้า คิดจะให้เปิ่นหวางเฟยยอมรับโทษ ฝันไปเถอะ!”
ท่าทางสูงศักดิ์ของมู่จื่อหลิงและน้ำเสียงแห่งความรังเกียจ ยั่วโทสะของสิงกู้เหวินได้ในที่สุด
มืออวบอ้วนของเขาตบลงโต๊ะ คิ้วเลิกขึ้นสูง ในดวงตาเปี่ยมไปด้วยความโกรธเกรี้ยวอำมหิต พูดเสียงกร้าวอย่างเืเย็น “หึ! เป็ดตายแล้วปากแข็ง! เตาหมัง เตาปา ทำให้หญิงไม่รู้จักดีชั่วผู้นี้คุกเข่าให้ข้า”
“ขอรับ!” เตาหมังและเตาปาตอบรับพร้อมกัน
พูดจบ พวกเขาก็ดึงเข็มในมือออกมาพร้อมกัน ด้วยความเร็วเหมือนเมื่อครู่นี้ แยกออกจากกันปาไปที่หัวเข่าทั้งสองข้างของมู่จื่อหลิง ไม่คลาดเคลื่อนแม้แต่น้อย
ชั่วขณะที่มู่จื่อหลิงเห็นเข็มพุ่งเข้ามา นางก็หลับตาทั้งสองข้างแน่น รอคอยการมาถึงของความเ็ปโดยไม่ยี่หระต่อความตาย
แต่นางรออยู่นานแล้วก็ยังไม่เจ็บแม้แต่น้อย แม้แต่ตอนที่ถูกทิ่มก็ยังไม่รู้สึก
น่าแปลก? แม้นางจะใช้ยาระงับความเ็ปชนิดแรงเป็ครั้งแรก แต่ฤทธิ์ของยาเป็เช่นไร นางก็รู้!
ยาระงับความเ็ปชนิดแรงสามารถบรรเทาความเ็ปได้บางส่วน ไม่สามารถบรรเทาได้ทั้งหมด!
แต่ตอนนี้ไม่เพียงไม่เ็ป แม้แต่ความรู้สึกก็ไม่มี จนแทบจะถึงขั้นยาชาอยู่แล้ว เมื่อครู่นางเห็นเข็มสองเล่มนั่นพุ่งมาที่หัวเข่านางจริงๆ นางถึงหลับตาลง
สักพักนางได้ยินเสียงสูดลมหายใจ และเหมือนจะได้ยินเสียงของวัสดุที่เป็เหล็กตกลงบนพื้นอย่างชัดเจน เหตุใดจึงเงียบไปอย่างรวดเร็วเล่า?
ดวงตาของมู่จื่อหลิงหรี่ขึ้นมาน้อยๆ เป็ขีดเล็กๆ กวาดสายตามองคนรอบกาย ไม่มีสักคนที่มองนาง แต่มองไปยังกำแพงด้านหลังสิงกู้เหวิน สิ่งที่สำคัญที่สุดเป็กำแพงด้านนั้น
นางคิดว่าหรี่ตามองไม่ชัดเจน จึงเปิดั์ตาคู่สวยขึ้นมาทั้งหมด ขยี้ตาทั้งสองข้างอย่างถี่ถ้วน
มิได้มองผิด คนทั้งหมดในที่นั้นถูกต้องมนต์สะกด ตื่นตะลึงแล้ว!
พวกเขาจับจ้องไปที่กำแพงด้านหลังสิงกู้เหวิน สิงกู้เหวินตกลงมาจากเก้าอี้ไท่ซื่อกองอยู่บนพื้น แล้วเตาหมังเตาปาเล่า?
มู่จื่อหลิงมองเท้าที่ไม่ได้รับความเสียหายของตน แล้วมองตามสายตาของคนทั้งหมดไปบนกำแพง
ไอ้หยา! น่าสยองยิ่งนัก เตาหมังเตาปาถูกเข็มสองเล่มนั่นปักไปที่หน้าผาก ถูกตรึงไว้บนผนังแน่น ตายตาไม่หลับ
ขณะนี้มู่จื่อหลิงเองไม่สงบนิ่งแล้ว ถามอย่างติดๆ ขัดๆ ว่า “เกิด...เกิดเื่ใดขึ้น?”
นางคงมิได้เกินไปจนมีมนต์ดำจริงๆ จนคนสองคนบนกำแพงถูกพลังปีศาจของนางโต้กลับใช่หรือไม่ อย่างไรเสียนางเกินจริงมาั้แ่ทะลุมิติมาจากโลกแปลกประหลาดแล้วนี่!
หากเป็เช่นนี้จริงก็บาปหนาจริงๆ แล้ว!
ทันทีที่มู่จื่อหลิงหลุดปากออกมา ใบหน้าซีดเผือดของคนทั้งหมดก็หันมองมายังทิศที่นางอยู่ เพียงแต่ดูเหมือนว่าจะมิได้มองนาง แต่เป็ประตูด้านหลังนาง......