หลิวซานกุ้ยมองต่ำ แววตาเผยความมืดมนออกมา เขาเข้าใจแล้วว่า ในใจของพี่รองนั้นมีเพียงภรรยาและบุตรที่สำคัญที่สุด
เมื่อนึกถึงเื่โง่เง่าที่ตนเองเคยทำในอดีต นิสัยของท่านแม่ส่วนหนึ่งก็เป็เพราะเขาที่เป็คนบ่มเพาะให้เป็เช่นนี้
หากเขาเป็เหมือนพี่รอง ตอนนั้นท่านแม่ก็คงไม่รังแกแต่ภรรยาของตนใช่หรือไม่?
นี่คือคำถามที่ไม่มีคำอธิบาย ทว่าวันเวลาที่ยาวนานได้พิสูจน์ความคิดนี้แล้ว
หลิวฉีซื่อคงเห็นว่าบุตรชายไม่ได้สนใจนาง เสียงด่าจึงลดต่ำลงเรื่อยๆ หลิวซุนซื่อหันหลังใส่และตั้งใจว่าจะไม่ฟังนางอีกต่อไป เพราะถึงอย่างไรก็ไม่มีคำพูดดีๆ สู้ไม่ฟังเสียดีกว่า จะได้ไม่รำคาญใจ
“น้องเต้าเซียง ข้าว่าหน้าตาอาหารไม่เลว ได้ยินว่าอาเล็กชมว่าเ้าทำอาหารได้ไม่เลว เดิมทียังไม่เชื่อ ปรากฏว่าพอกินแล้วกลับรู้สึกยอมแพ้ให้เ้าเลย”
หลิวเต้าเซียงไม่แน่ใจว่าคำพูดนี้ของหลิวจื้อเซิ่งหมายความเช่นไร ดังนั้นจึงเม้มปากยิ้มหวาน
หลิวจื้อเซิ่งกล่าวว่า “น้องเต้าเซียง หรือไม่ข้าอาจจะช่วยเ้าเชื่อมสายสัมพันธ์ ให้เ้าเข้าไปทำงานในจวนตระกูลหวง ว่าอย่างไร?”
เขาคลุกคลีอยู่ในจวนตระกูลหวงมานาน คนรับใช้ในจวนเขารู้จักมากกว่าครึ่ง อีกทั้งบิดาของเขาก็เป็เหรัญญิกไม่ได้ถูกจัดทะเบียนเป็ชนชั้นต่ำ ด้วยเหตุนี้เวลาที่เขาทำงาน คนรอบข้างก็จะมองเขาอย่างสูงส่งขึ้นมาหนึ่งระดับ
แต่คำพูดนี้เป็การลองใจ
“ท่านพี่ล้อกันเล่นแล้ว ลำพังฝีมืออันน้อยนิดของข้าจะออกหน้าออกตาได้อย่างไรกัน ขืนไปคงเป็การให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะตระกูลเราได้”
หลิวเต้าเซียงโบกมือ จะให้พูดอย่างไรก็ไม่ตกลง
ล้อเล่นอะไรกัน ไปเป็เด็กรับใช้ในจวนตระกูลหวงต้องทำสัญญาขายตัว แต่ก่อนเวลาอยู่ในโลกยุคปัจจุบัน นางก็เคยถามเพื่อนด้วยเื่นี้ คำตอบที่คนอื่นให้มาคือ ถึงการทำสัญญาจะยืดหยุ่นได้ แต่การจะหลุดพ้นจากสถานะนี้ได้ช่างยากเย็น หากไม่ระวังจะกลายเป็สัญญาผูกมัดได้ โอ๊ย นั่นเท่ากับว่าทุกรุ่นต่อจากนั้นก็ต้องมีสถานะเป็ชนชั้นต่ำ
หลิวจื้อเซิ่งกล่าวเสริมว่า “ที่ไหนกัน ข้าได้ยินอาเล็กบอกว่า ฝีมือของเ้านั้นคุณชายน้อยผู้นั้นที่เติบโตในเมืองก็ชื่นชอบนัก”
หลิวเต้าเซียงสงสัย ไม่รู้ว่าคำพูดของเขามีความหมายเช่นใด จึงแอบวิเคราะห์ในใจแล้วเอ่ย “ท่านย่าเคยกิน ก็แค่ใส่น้ำมันหมูเยอะหน่อย”
นางยังจับทางความคิดของหลิวจื้อเซิ่งไม่ถูก จึงเพียงแต่พูดจาอ้อมค้อม
“น้องเต้าเซียงช่างถ่อมตนยิ่งนัก แต่ว่า ข้าเองก็ได้กินอาหารที่เ้าทำ รสชาติไม่เลวจริงๆ อีกทั้งอาเล็กเองก็บอกว่า บุตรชายในท่านอ๋องก็ชื่นชอบรสมือของเ้านัก”
“ที่ไหนเล่า ท่านพี่ อาเล็กก็เพียงยกย่องข้าถึงได้พูดเช่นนั้น ไหนเลยจะดีเช่นที่พวกเ้ากล่าว ก็แค่อาหารบ้านๆ ทั่วไป หากจะให้ข้าทำอาหารที่ต้องออกหน้าออกตาได้ ต่อให้เอามีดมาจี้คอข้าก็คงไม่ทำออกมา”
“ฮึ ลำพังฝีมือไม่ได้เื่ของนางนั้นหรือ? คนเขาก็แค่กินเนื้อปลาเนื้อหมูจนเคยชิน มากินผักใบเขียวจึงรู้สึกว่าแปลกใหม่ถูกปาก” หลิวจูเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ ไม่ชอบใจที่ลูกพี่ลูกน้องตนเองเอาแต่ยกย่องชมเชยหลิวเต้าเซียง
ดวงตาของหลิวจื้อเซิ่งเผยประกายหลักแหลม หันศีรษะไปยิ้มให้หลิวจูเอ๋อร์หวานกว่าเดิม “ใช่แล้ว ตอนนั้นน้องจูเอ๋อร์ก็อยู่นี่นา”
“ใช่ พี่จูเอ๋อร์ ก่อนหน้านี้ข้าเห็นพ่อบ้านซุนมอบกำไลทองอันใหญ่หนึ่งคู่ให้ท่านย่า แล้วยังมีปิ่นปักผมทองของอาเล็ก อย่างน้อยก็น่าจะหนักสองสองสามตำลึง”
ขณะที่หลิวเฉี่ยวเอ๋อร์พูดเช่นนี้ นางยังมองไปทางศีรษะของหลิวเสี่ยวหลันด้วยความอิจฉา ปิ่นปักผมนั้นทำเอาผมที่ม้วนเก็บไว้เกือบจะตกลงมา เห็นได้ชัดว่าปิ่นปักผมนั้นมีมูลค่ายิ่งนัก
“นั่นสิ อาเล็กของเราเป็ถึงผู้ช่วยชีวิตของคุณชายท่านนั้น” หลิวจูเอ๋อร์อยากพูดคุยกับหลิวจื้อเซิ่งและหลิวเฉี่ยวเอ๋อร์เท่านั้น อยากจะเมินเฉยต่อสองพี่น้องหลิวเต้าเซียงไว้อีกทาง
หลิวเฉี่ยวเอ๋อร์ส่ายพัดทรงกลม ยิ้มแล้วเอ่ย “ข้ารู้เื่นี้ ได้ยินน้องเต้าเซียงบอกแล้ว”
หลิวจูเอ๋อร์มองสองพี่น้องอย่างได้ใจ ก่อนจะยิ้มแย้มแล้วเอ่ยกับหลิวเฉี่ยวเอ๋อร์ว่า “อืม ได้ยินมาว่าคุณชายท่านนั้นเป็บุตรชายของท่านอ๋องในเมืองหลวง ช่างสูงศักดิ์ยิ่งนัก ไม่รู้ว่าเหตุใด จึงได้าเ็หนักอยู่ในบ้านของเรา ท่านย่าจึงตัดสินใจพาเขากลับมา แล้วยังจัดการให้ไปนอนในห้องของอาเล็กอีกด้วย”
หลังจากได้ยิน หลิวชิวเซียงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วเอ่ยกับหลิวเต้าเซียงด้วยเสียงค่อย “ท่านพ่อบอกว่านี่ไม่เหมาะสม เพียงแต่บ้านเรามีห้องน้อย จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องให้คุณชายนอนพักในห้องของอาเล็ก แต่ท่านพ่อกำชับไว้ว่า ห้ามเราพูดออกไป เพราะจะเป็การทำให้ชื่อเสียงของอาเล็กเสียหาย”
ั้แ่หลิวซานกุ้ยแอบเล่าเรียนที่ตำบล เขาก็ฉลาดขึ้นมาก วิสัยทัศน์ก็เปลี่ยนไป
“เราไม่ได้พูดออกไป แต่ข้าว่าพี่จูเอ๋อร์กลับพูดเื่นี้อย่างสนุกปาก โชคดีที่ในลานบ้านวันนี้มีแต่คนในครอบครัวเรา ข้าคิดว่าพี่เซิ่งเอ๋อร์กับพี่เฉี่ยวเอ๋อร์คงไม่พูดออกไปแน่”
หลิวเต้าเซียงเชื่อว่าหลิวเฉี่ยวเอ๋อร์และหลิวจื้อเซิ่งจะไม่ยกหินกระแทกเท้าตนเองแน่ เพราะการที่ชื่อเสียงของหลิวเสี่ยวหลันย่ำแย่ไม่ได้ส่งผลดีต่อพวกเขาทั้งสอง เพราะคนหนึ่งกำลังมุ่งหน้าสู่หนทางการเป็ข้าราชการ ส่วนอีกคนหนึ่งก็กำลังจะพูดเื่หมั้นหมาย
แน่นอนว่าหลิวจื้อเซิ่งเอ่ยขัดหลิวจูเอ๋อร์ที่กำลังพูดเื่นี้ และเตือนนางว่าห้ามเอ่ยเื่นี้ข้างนอก
หลิวจูเอ๋อร์เม้มปากยิ้ม ดวงตาเผยความดูแคลนเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถึงเื่ห้องนอนของหลิวเสี่ยวหลันอีก
เห็นได้ชัดว่าหลิวจื้อเซิ่งเป็เด็กหนุ่มที่หนักแน่น สำหรับบางเื่เขาจึงค่อนข้างมีจุดยืน
อย่างเช่น ตอนนี้เขากำลังถามหลิวจูเอ๋อร์ว่า คุณชายซื่อจื่อ [1] ท่านนั้นรูปร่างหน้าตาอย่างไร? อายุเท่าไร การพูดการจาเป็อย่างไร?
หลิวจูเอ๋อร์ถามเขาว่าซื่อจื่อคืออะไร หลังจากได้คำตอบจากหลิวจื้อเซิ่ง จึงตอบทุกรายละเอียด แล้วเอ่ยว่า “ได้ข่าวว่าซื่อจื่อน้อยนั้นแซ่ซู ก่อนหน้านี้ได้ยินเป่าเอ๋อร์บอกว่า ในตำรามีสอนว่า แซ่ซูคือแซ่ของราชอาณาจักร มีเพียงคนในราชวงศ์จึงจะใช้แซ่นี้”
ไม่นานนักหลิวจื้อเซิ่งก็รู้ชัดถึงข้อนี้ จึงเอ่ย “มิน่า ญาติมิตรเชื้อพระวงศ์ล้วนเติบโตและอาศัยอยู่ในสถานที่รุ่งเรืองเฟื่องฟู คงมีไม่กี่คราที่ได้กินอาหารป่า ไม่แปลกที่อาเล็กจะบอกว่าซื่อจื่อท่านนั้นจะชอบรสมือของน้องเต้าเซียง”
จากนั้นก็ได้ยินเขาพูดกับตนเอง “จะว่าไปเชื้อพระวงศ์ในเมืองหลวงก็นับว่ามีมากพอสมควร แต่ที่มีอำนาจจริงๆ ก็นับได้ ไม่รู้ว่าอาเล็กได้ช่วยทายาทของท่านชินอ๋องท่านใด?”
หลิวเต้าเซียงถึงเข้าใจว่า ที่แท้หลิวจื้อเซิ่งก็แอบสืบถามสถานะของซูจื่อเยี่ยทางอ้อม จู่ๆ นางก็รู้สึกว่าซูจื่อเยี่ยน่าสงสาร ลำพังลูกชาวบ้านยังกล้าเอาเขามาวัดบนตาชั่ง
เพียงแต่ถึงแม้เขาจะไม่มีอำนาจอย่างไร นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่หลิวจื้อเซิ่งจะปีนป่ายขึ้นไปได้โดยง่าย ยกเว้นว่า...
สายตาของนางเลื่อนไปทางหลิวเฉี่ยวเอ๋อร์ พันธุกรรมของตระกูลหลิวนับว่าดี หลิวเฉี่ยวเอ๋อร์เกิดมามีหน้าตาครบเครื่องและมีฟันที่เรียงกันสวย อีกทั้งยังมีกลิ่นอายของผู้ดี คงเพราะเกี่ยวพันกับทางด้านมารดา ได้ยินว่าหลี่ซื่อคือหญิงสาวที่มากความสามารถ
ท่าทางและการพูดจาของหลิวเฉี่ยวเอ๋อร์ผู้นี้ต่างจากหลิวจูเอ๋อร์และหลิวเสี่ยวหลัน มองไปแล้วดูสบายตากว่า
หลิวเต้าเซียงสังเกตเห็นว่า หลิวเฉี่ยวเอ๋อร์ตั้งใจฟังอยู่ข้างๆ หลิวจื้อเซิ่งทุกรายละเอียด เดาว่าคงแอบจดจำไว้แล้ว
คงไม่ใช่ว่าหลิวจื้อเซิ่งอยากอาศัยหลิวเฉี่ยวเอ๋อร์เพื่อไต่เต้าไปยังซูจื่อเยี่ยหรอกหรือ?
เมื่อนึกถึงปีศาจน้อยที่ส่ายหางไปมา หลิวเต้าเซียงก็หลั่งน้ำตาแทนทั้งสองคน ในเมื่อคนเขาชอบหาเื่ใส่ตัว นางก็หวังดีไม่ไปขวางทางไว้ดีกว่า
อย่างไรก็ตาม ความปรารถนาครึ่งหนึ่งในใจของหลิวจื้อเซิ่งนั้นสมดังใจหมายแล้ว
ส่วนอีกครึ่งหนึ่ง ก่อนจะถึงเวลาอาหารเช้าของวันรุ่งขึ้น หลิวเต้าเซียงก็ได้รับรู้!
นางมองไปที่หลิวเฉี่ยวเอ๋อร์ที่กำลังถือจานขนมไข่แดง แล้วเอ่ยในใจว่า ท่านพี่เฉี่ยวเอ๋อร์ ที่แห่งนี้คือชนบท หากมีอะไรก็พูดออกมาตรงๆ ได้หรือไม่
นางนั่งอยู่บนคั่ง มองดูหลิวเฉี่ยวเอ๋อร์พูดอยู่นานครึ่งค่อนวัน คนพูดอาจจะไม่รู้สึกคอแห้ง แต่คนฟังกลับทนไม่ไหว
หลิวเต้าเซียงเป็คนที่นิสัยดิบเถื่อนจนเคยชิน จึงไม่ได้มีความอดทนในการฟังเท่าไรนัก
ขณะนี้ นางฟังจนเบื่อหน่าย จึงขัดหลิวเฉี่ยวเอ๋อร์ที่มัวแต่อารัมภบท
“ท่านพี่ยังมีเื่อะไรหรือไม่? หากไม่มีอะไรข้าต้องรีบไปช่วยแม่ข้าทำอาหารแล้ว”
หลิวเฉี่ยวเอ๋อร์ตกตะลึงก่อน จากนั้นจึงมองไปที่คนตัวเล็กตรงหน้าอย่างมึนงง นางอยากหันขวับแล้วเดินจากไป อุตส่าห์พูดอยู่จนควันแทบออกจากลำคอ แต่เ้าเด็กนี่กลับฟังไม่เข้าใจสักคำ
“ชิวเซียงกำลังช่วยป้าสามทำกับข้าว” หลิวเฉี่ยวเอ๋อร์เค้นคำพูดออกมาได้หนึ่งประโยค
“อ๋อ!” หลิวเต้าเซียงมองลงไปที่จานขนมไข่แดงแล้วเอ่ยถาม “นี่คือให้ข้ากินหรือ? ยังอีกนานกว่าจะกินข้าวเช้า ข้าเองก็หิวแล้ว”
“อ้อ ให้เ้า ข้าตั้งใจเอามาให้เ้ากิน” มือซ้ายของหลิวเฉี่ยวเอ๋อร์ถือจานสีขาว ส่วนมือขวาก็จับแขนเสื้อไว้แล้ววางจานลงบนคั่งอย่างระมัดระวัง
หลิวเต้าเซียงไขว่ห้าง ยิ้มตาพริ้มแล้วคิดในใจ หลี่ซื่อสอนหลิวเฉี่ยวเอ๋อร์ได้ดียิ่งนัก ท่วงท่านั้นไหลลื่นสวยงามดุจเมฆที่เลื่อนลอยและลำธารน้ำไหล
นางตัดสินใจแล้วว่า ถึงอย่างไรก็ต้องรีบแยกบ้านให้เร็ว นางเองก็อยากจ้างอาจารย์หญิงมาสอนตนเองกับพี่สาวด้วย เฮ้อ ช่างดูสวยงามหยดย้อย
ใช่แล้ว หลิวเต้าเซียงอันที่จริงก็เริ่มอิจฉาท่วงท่ากุลสตรีแม่ศรีเรือนของทุกคนเช่นกัน
ท่วงท่ามีกลิ่นอายเทพเซียน กิริยาดุจดอกกล้วยไม้
“ขอบใจท่านพี่” หลิวเต้าเซียงเหลือบมองขนมไข่แดงครู่หนึ่งแล้วกล่าวกับนางว่า เช่นนั้นก็ไม่เกรงใจ
หลิวเฉี่ยวเอ๋อร์ดูนางกินขนมไข่แดงห้าชิ้นในจานภายในพริบตา ถึงกับกลืนน้ำลายและเอ่ย “ดูเหมือนเ้าจะกินเร็วมาก”
“ท่านพี่ นี่เรียกว่าว่องไว” หลิวเต้าเซียงจัดการใช้คำว่าว่องไวมาแทนที่คำว่าหยาบกระด้าง
เมื่อหลิวเฉี่ยวเอ๋อร์ได้สติกลับมา จึงนึกถึงเื่ที่ตนเองได้รับคำสั่งมา
“น้องเต้าเซียงกินเก่งเหลือเกิน มีบุญนัก”
“ถูกต้อง แม่ข้าก็บอกว่าข้ากินเก่ง การกินเก่งก็คือลาภอย่างหนึ่ง” หลิวเต้าเซียงยิ้มจนตาโค้ง
หลิวเฉี่ยวเอ๋อร์พูดต่อ “ใช่แล้ว กระเพาะเปิดย่อมกินได้เก่ง ข้าว่าเมื่อวานป้ารองเองดูเหมือนจะไม่ค่อยกินอะไร อีกทั้งกลางคืน ท่านย่าก็ด่าอย่างร้ายกาจ ข้าได้ยินท่านแม่บอกว่า ท่านย่ากับท่านป้ารองนั้นมีความสัมพันธ์อันดีไม่ใช่หรือ?”
หลิวเต้าเซียงเบิกตากลมโตของนาง หลิวซุนซื่อนั้นหรือจะไม่อยากกินอาหาร? ทั้งที่เมื่อวานเห็นนางกินข้าวไปสองถ้วย แล้วยังแคะไก่ไปครึ่งซีก
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิวเฉี่ยวเอ๋อร์ต่อจากนั้น ก็ยิ้มในใจ แต่ก่อนก็ดีกันจนแทบจะสวมกางเกงตัวเดียวกันได้แล้ว ที่ทั้งสองทะเลาะกันจนเป็คู่แค้นเช่นนี้ นับว่ามาจากฝีมือของนางครึ่งหนึ่ง
แต่หลิวเต้าเซียงไม่คิดว่าตนเองเป็คนเลว แน่นอนว่า ไม่ว่าคนอื่นจะบอกว่านางร้าย แต่นางก็ไม่ใส่ใจ
ที่นางใส่ใจคือบิดามารดาของตน แล้วก็พี่น้องว่าทุกคนอยู่ดีหรือไม่เท่านั้น ขอเพียงทุกคนมีชีวิตที่ดี นางเป็คนเลวสักครั้งจะเป็อะไรไป?
เพียงแต่คำพูดเหล่านี้นางไม่ยอมบอกกับหลิวเฉี่ยวเอ๋อร์ เพียงแต่เอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ดูเหมือนว่ามีครั้งหนึ่งที่ทะเลาะกันด้วยเื่เงิน ท่านย่าบอกว่าท่านป้ารองดูแลบ้านไม่เป็ ใช้จ่ายเงินของลุงรองไปเรื่อย อืม ป้ารองว่าอย่างไรนะ?”
หลิวเต้าเซียงจงใจขมวดคิ้วและกัดนิ้วก้อยเพื่อขบคิด แล้วเอ่ย “ดูเหมือนจะบอกว่าท่านย่าลำเอียง แล้วก็มีอาสี่ แล้วก็สินสอดอะไรเทือกนั้น โอ๊ย ข้าเองก็ฟังไม่เข้าใจว่าป้ารองพูดอะไรบ้าง”
นางไม่ได้พูดอย่างชัดเจน แต่จงใจให้หลิวเฉี่ยวเอ๋อร์ไปเดาเอง ทางที่ดีที่สุดคือทำให้นางเค้นพลังสมองคิดสักครั้ง
-----
เชิงอรรถ
[1] คุณชายซื่อจื่อ 世子公子 ซื่อจื่อกงจื่อ คือคำที่ใช้เรียกทายาทผู้สืบทอดของท่านอ๋อง
