เมิ่งอู่เดินออกมาจากตรอกหลังเรือนกลับไปที่ถนนอีกครั้ง บนถนนมีผู้คนพลุกพล่าน ตะวันส่องแสงพาให้นางรู้สึกสดชื่นแจ่มใส
บัดนี้ใกล้เที่ยงแล้ว นางไม่มีเวลาเดินเล่น จึงรีบไปซื้อของใช้จำเป็ในบ้าน ทั้งน้ำมัน เกลือ ซีอิ๊ว น้ำส้มสายชูล้วนขาดไม่ได้ นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่อินเหิงจำเป็ต้องใช้
เมื่อมีเงินเพียงพอ ก็สามารถปรับปรุงชีวิตความเป็อยู่ให้ดีขึ้นได้อย่างเหมาะสม เมิ่งอู่จึงซื้อขนมไปฝากนางเซี่ย และซื้อไก่ทอดตัวเล็กๆ อีกหนึ่งตัว
นางดูดอมยิ้มพลางหิ้วถุงใบใหญ่ใบเล็กพะรุงพะรังเดินไปตามถนน
แต่พอเดินผ่านร้านค้าแห่งหนึ่ง นางก็เดินถอยหลังสองสามก้าว
นั่นเป็ร้านขายเสื้อผ้าสำเร็จรูป เมิ่งอู่เหลือบไปเห็นเสื้อคลุมสีขาวหิมะแขวนอยู่ในร้าน เสื้อคลุมเรียบง่าย แต่เจริญตามาก
เมื่อเมิ่งอู่เห็น ก็นึกถึงอินเหิงทันควัน
บางคนเหมาะกับอันใด ไม่เหมาะกับอันใด เพียงมองแวบเดียวก็รู้ได้โดยพลัน
เช่นเดียวกับบุรุษชุดแดงที่นางพบเจอที่บ้านสกุลซวี่ เมิ่งอู่รู้สึกว่าเสื้อคลุมสีแดงเข้มเหมาะกับเขามาก ส่วนอินเหิงเหมาะกับสีเรียบๆ เช่นนี้
ภาพแรกที่ปรากฏขึ้นในหัวของเมิ่งอู่เป็ภาพของอินเหิงที่สวมเสื้อคลุมสีขาวหิมะ งดงามจริงๆ งดงามยิ่งนัก
เมิ่งอู่เดินเข้าไปในร้าน ซื้อเสื้อคลุมสีขาวนั่น จากนั้นจึงเลือกผ้าเรียบง่ายสีสันไม่สะดุดตาอีกสองชิ้นเพื่อให้นางเซี่ยตัดเย็บเสื้อผ้าใหม่
รอกระทั่งเมิ่งอู่มาถึงประตูเมืองก็หอบสัมภาระมาเต็มพิกัด บ่ายแล้วชาวบ้านผู้นั้นจับจ่ายซื้อของเสร็จแล้ว เกวียนวัวก็จอดรออยู่ที่นั่นเช่นกัน
ชาวบ้านคนนั้นเห็นเมิ่งอู่ซื้อของเยอะแยะก็ตกตะลึงพรึงเพริด มือของนางไม่เหลือที่ว่างแม้แต่นิ้วเดียว ขนาดบนตัวก็ยังมีข้าวของห้อยอยู่เต็มไปหมด
พอขึ้นไปบนเกวียนวัวแล้ว เมิ่งอู่ค่อยๆ วางของลงทีละอย่าง เช็ดเหงื่อก่อนกล่าวกับชาวบ้านผู้นั้นยิ้มๆ “ขออภัยที่ให้ลุงหลิวรอนาน”
ชาวบ้านผู้นั้นกล่าว “เ้าซื้อของมากมายจริง ครอบครัวของเ้า...” ไม่ใช่ว่าอัตคัดขัดสนมากหรือ เอาเงินมากมายมาจากที่ใด?
เมิ่งอู่หยิบเหล้าหนึ่งไหกับขาไก่ทอดหนึ่งชิ้นที่ห่อไว้อย่างดีออกมาจากกองข้าวของแล้วยื่นให้เขา เป็การทำตามธรรมเนียมปฏิบัติก่อนกล่าว “นี่ให้ลุงหลิวเ้าค่ะ”
ชาวบ้านผู้นั้นชะงักไป ค่อยยิ้มปรีดา แล้วกล่าวอย่างกระดาก “ข้ารับธัญพืชของเ้ามาแล้ว จะรับของพวกนี้ได้อย่างไร”
“เพื่อแสดงความเคารพลุงหลิว รับไปเถิดเ้าค่ะ”
“เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้ว”
เมิ่งอู่สวมหมวกสานกันแดดนั่งอยู่บนเกวียนวัว ชาวบ้านผู้นั้นบังคับเกวียนมุ่งหน้ากลับหมู่บ้านด้วยความตื่นเต้นดีใจ
ทัศนียภาพสองข้างทางค่อยๆ ผ่านเลยไป สายลมอ่อนๆ พัดผ่านทุ่งนาอบอุ่นสบาย
เมิ่งอู่ไม่มีเวลากินมื้อเที่ยง นางซื้อแผ่นแป้งหนึ่งแผ่นให้ตนเอง นางกัดแผ่นแป้งแห้งๆ อย่างยากลำบาก หนทางกลับเรือนต้องใช้เวลาอีกกว่าสองชั่วยาม กว่าจะถึงเรือนคาดว่าคงเย็นย่ำค่ำมืดแล้วกระมัง
มาพูดถึงแม่เฒ่าค้ามนุษย์ที่เข้าไปในบ้านสกุลซวี่ นางเดินตามผู้คุมงานไปยังสถานที่ลงนามในสัญญา ผู้คุมงานถามชื่อของนาง จากนั้นยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งที่เขียนตัวอักษรดำบนกระดาษขาวให้นาง
แม่เฒ่าพอจะรู้ว่าเวลาบ่าวรับใช้ตระกูลใหญ่รับเบี้ยเดือน จะต้องประทับลายนิ้วมือไว้เป็หลักฐาน แม่เฒ่าผู้นี้อ้างว่าตนเป็มารดาของเมิ่งอู่ จึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้คุมงานให้นางประทับลายนิ้วมือ
ดังนั้นแม่เฒ่าจึงประทับลายนิ้วมือสีแดงสดลงบนสัญญาอย่างไม่ใส่ใจ
จากนั้นผู้คุมงานก็เรียกหมัวมัวสองคนเข้ามา กล่าวว่า “พานางไปทำความคุ้นเคยกับที่พำนักของคุณชายรองก่อน”
แม่เฒ่าตกตะลึง ถามว่า “ข้าประทับลายนิ้วมือเสร็จแล้วก็กลับได้เลยใช่หรือไม่?”
ผู้คุมงานตอบ “เมื่อประทับลายนิ้วมือแล้ว ก็ถือว่าเป็บ่าวรับใช้ของสกุลซวี่ จะไปที่ใดได้เล่า?”
แม่เฒ่าค้าน “จะเป็ไปได้อย่างไร! ข้ามาที่นี่เพื่อรับเบี้ยเดือนของบุตรสาวข้า ไม่สิ มารับเบี้ยเดือนของนางเด็กน่าตายนั่น!”
แม่เฒ่าผู้นี้ไม่ได้โง่เขลาเกินไป นางตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าตนถูกหลอกเข้าแล้ว
พอซักถามอย่างละเอียด ก็รู้ว่านางเด็กน่าตายนั่นไม่ใช่หญิงรับใช้ของสกุลซวี่!
แม่เฒ่าถูกหมัวมัวสองคนลากตัวไป นางะโว่า “ไม่ใช่ พวกเ้าฟังข้าก่อน นี่เป็เื่เข้าใจผิด เข้าใจผิด! ข้าไม่ใช่บ่าวรับใช้ของสกุลซวี่!”
ผู้คุมงานชูกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาตรงหน้า กล่าวว่า “เ้าลงนามในสัญญาขายตัวแล้วและรับเงินไปแล้ว ยังคิดจะปฏิเสธอีกหรือ?!”
แม่เฒ่าร้องเหมือนผี หอนเหมือนหมาป่า “ข้า… ข้าอ่านหนังสือไม่ออก!”
มีสตรีชนบทในสมัยโบราณสักกี่คนที่รู้หนังสือ? กระดาษขาวตัวหนังสือดำถูกวางไว้ตรงหน้าแม่เฒ่า นางคิดว่านั่นเป็เพียงใบรับเบี้ยเดือน ผู้ใดจะไปรู้ว่านั่นเป็สัญญาขายตัวของนางเอง!
ยามซวี่เฉินฟางกลับมา แม่เฒ่าผู้นั้นที่ถูกลากมายังลานเรือนของเขากำลังร้องเอะอะโวยวายเสียงดัง
หมัวมัวอีกคนกล่าวด้วยความโมโห “โบยสักรอบประเดี๋ยวนางก็สงบเสงี่ยมเชื่อฟัง ถ้ารอบเดียวไม่พอ ก็โบยสองรอบ!”
ซวี่เฉินฟางเดินเข้าห้อง หมัวมัวคนใหม่ที่เพิ่งเข้ามาทำงานก็ยกน้ำชามาให้เขาในเวลาที่เหมาะสม เขายกขาเรียวยาวขึ้นพาดโต๊ะอย่างสบายๆ เอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน จิบชาพลางฟังเสียงร้องโอดโอยด้วยความเ็ปของแม่เฒ่าที่ดังแว่วมาจากข้างนอก
ซวี่เฉินฟางถอนหายใจ นับจากนี้ไปในลานเรือนของเขาคงมีแต่หมัวมัวแก่ๆ หน้าตาขี้ริ้วพวกนี้
แม่เฒ่าถูกโบยอย่างหนักหนึ่งรอบจึงยอมสงบเสงี่ยม หมัวมัวผู้นั้นพานางเข้ามาคุกเข่าอยู่แทบเท้าซวี่เฉินฟาง
ท่าทางเย่อหยิ่งจองหองของนางอันตรธานสิ้น นางหมอบลงกับพื้นพลางร่ำไห้โฮ “นายน้อยรอง คุณชายรอง ข้าถูกหลอกมาขายจริงๆ เ้าค่ะ ข้างนอกข้ายังมีหลานชายอีกสองคน พวกเขารอให้ข้าไปหาเลี้ยง คุณชายรองโปรดเมตตาปล่อยข้าไปเถิดเ้าค่ะ!”
ชายเสื้อสีแดงของซวี่เฉินฟางทิ้งตัวลงข้างเก้าอี้ ขณะเขาเอนศีรษะอย่างเกียจคร้าน เรือนผมดำขลับปอยหนึ่งพาดระลงมาก่อนทิ้งตัวลงมาด้านหลังพนักเก้าอี้ ทั้งหมดสง่างามตามแบบภาพวาดจากตำราเอ๋อร์หย่าอี้ [1]
เขาโค้งเรียวปากนิดๆ แล้วยิ้มกล่าว “เป็สองคนที่อยู่นอกประตูหลังเรือนใช่หรือไม่? ข้าเคยเห็นพวกเขาต่อสู้เพื่อแย่งเงินไม่กี่เหรียญที่ได้จากการขายเ้า”
แม่เฒ่าทั้งโกรธจัดทั้งชิงชัง กล่าวว่า “เป็เพราะนางเด็กสารเลวน่าตายนั่น! นางอ้างว่าเป็หญิงรับใช้ของสกุลซวี่จะเข้ามารับเบี้ยเดือน! นางหลอกล่อข้าให้มาที่นี่ ช่างน่าขยะแขยงยิ่งนัก!”
แม่เฒ่าผู้นี้คิดจะหนี ดังนั้นเมื่อซวี่เฉินฟางถามอันใด นางจึงตอบตามตรง
ที่แท้แม่เฒ่าผู้นี้พาลูกสมุนอีกสองคนออกล่าเหยื่อตามท้องถนน บังเอิญเห็นเมิ่งอู่เพิ่งเดินออกจากร้านขายยาของสกุลซวี่ และเป็เด็กสาวที่มาเพียงลำพัง จึงคิดว่าจะลงมือได้ง่าย ดังนั้นจึงสะกดรอยตามนางมาตลอดทาง
ในที่สุดก็จับนางได้และเตรียมขายนางต่อ ทว่านางบอกว่านางเป็หญิงรับใช้ตระกูลซวี่และ้ามารับเบี้ยเดือน ตนเลยตามนางมาด้วย แต่กลับถูกขายแทน
ข่าวลือเกี่ยวกับซวี่เฉินฟางแพร่สะพัดไปทั่วเมือง เื่ที่เขาไล่หญิงรับใช้ออกและกำลังรับหมัวมัวไม่ใช่ความลับแต่อย่างใด
เขาหัวเราะเบาๆ “มิน่าเล่าถึงได้บอกว่า ข้าไม่ค้าคน หากคนไม่ค้าข้า”
จากนั้นซวี่เฉินฟางก็ชักขากลับ ปัดชายเสื้อแล้วลุกขึ้นยืน ก่อนเดินออกไปพลางกล่าวเฉื่อยเนือย “ข้าคิดว่าเ้าไม่ได้ตั้งใจจะทำงานที่นี่ หมัวมัว ส่งนางออกไปจากเรือนเถิด”
หมัวมัวคนนั้นเอ่ยถาม “คุณชายรอง ทาสหญิงผู้นี้ลงนามในสัญญาขายตัวแล้ว จะปล่อยนางไปเช่นนี้หรือเ้าคะ?”
แม่เฒ่าพลันรู้สึกมั่นใจ เอ่ยอย่างชั่วร้าย “พวกเ้าไม่ได้ยินที่คุณชายรองกล่าวหรือ ยังไม่รีบปล่อยข้า!”
ซวี่เฉินฟางหยุดอยู่ที่ประตู แล้วเหลียวกลับมามอง กล่าวว่า “ยายเฒ่าค้าคนผู้นี้หลอกลวงผู้อื่น แน่นอนว่าย่อมต้องส่งตัวไปให้ทางการจัดการ”
พอได้ยินดังนั้น แม่เฒ่าพลันตระหนกว้าวุ่น ขอร้องว่า “อย่า อย่า อย่า คุณชาย คุณชายรอง ท่านเป็คนใจกว้างผู้เปี่ยมด้วยความเมตตา! ข้าขออยู่ทำงานที่นี่ได้หรือไม่เ้าคะ!”
บ่ายวันนั้นลูกค้าที่แวะเวียนมาที่ร้านขายยาซวี่จี้น้อยลงมาก ในที่สุดผู้ดูแลกับลูกจ้างจึงมีเวลานั่งพักหายใจ
ลูกจ้างหลายคนงีบหลับอยู่หลังโต๊ะ
เมื่อซวี่เฉินฟางมาถึง ผู้ดูแลก็รีบร้อนออกมาต้อนรับพร้อมกับเหงื่อท่วมตัว
……….
[1] เป็ตำราอรรถาธิบายหรือพจนานุกรมพร้อมอภิธานศัพท์เล่มแรกของจีน ประพันธ์โดยหลัวย่วนในสมัยราชวงศ์ซ่ง และเป็หนึ่งในหนังสือที่สำคัญที่สุดสิบสามเล่มของลัทธิขงจื่อ