บทที่ 6 เอาชีวิตวางเดิมพัน
บรรยากาศที่เคยเต็มไปด้วยความหวังและความตึงเครียด บัดนี้กลับเยือกแข็งลงในฉับพลันราวกับถูกแช่แข็งด้วยฤดูหนาวจากแดนเหนือ การปรากฏตัวของแม่ทัพเว่ยหลงเปรียบเสมือนพญาอินทรีที่ร่อนลงมากลางฝูงไก่ ทุกคนในกระโจมพยาบาลต่างหยุดนิ่ง ค้อมศีรษะลงต่ำ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
มีเพียงมู่หลันที่ยังคงยืนหยัดอย่างทระนงอยู่ข้างแคร่ผู้ป่วย เธอยืดหลังตรง สบตากับเงาร่างทะมึนที่ประตูทางเข้าโดยไม่หลบเลี่ยง
สายตาคมกริบคู่นั้นกวาดมองไปทั่วกระโจมอย่างรวดเร็ว... มองผ้าพันแผลที่ชุ่มโชก มองใบหน้าที่ซีดเผือดของเหล่าผู้าเ็ มองความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของหมอโม่ และสุดท้าย ก็มาหยุดอยู่ที่มู่หลัน ราวกับจะแผดเผาเธอให้เป็เถ้าถ่าน
“ข้าถามว่าเกิดอะไรขึ้น?” เว่ยหลงก้าวเข้ามาในกระโจม น้ำเสียงของเขาไม่ได้ดัง แต่กลับก้องกังวานและกดดันจนทุกคนรู้สึกราวกับมีูเาลูกใหญ่ถล่มลงมาทับ “ใครอนุญาตให้เ้า แตะต้องทหารของข้า?”
‘จบสิ้นแล้ว! นางจบสิ้นแล้ว! ท่านแม่ทัพโกรธถึงเพียงนี้! กฎของกองทัพคือห้ามทำการรักษาที่นอกเหนือคำสั่งโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะกับทหารที่าเ็หนักเช่นนี้ มันถือเป็การซ้ำเติม ไม่ใช่การช่วยเหลือ!’ เหล่าผู้ช่วยหมอที่ยืนมองอยู่ต่างหันไปมองนางอย่างพร้อมเพรียงดว้ยความเห็นใจ
หมอโม่รีบคุกเข่าลงข้างหนึ่งทันที “เรียนท่านแม่ทัพ! เป็ความผิดของข้าพเ้าเองที่ปล่อยให้นาง เอ่อที่ยอมให้นางลองดูขอรับ!”
ชายชราผู้หยิ่งทระนงยอมรับผิดเพื่อปกป้องสตรีที่เขาเพิ่งจะดูแคลนไปเมื่อครู่ การกระทำนี้ทำให้มู่หลันรู้สึกซาบซึ้งใจอยู่ลึกๆ แต่เธอก็ไม่คิดจะปล่อยให้คนอื่นต้องมารับผิดชอบการกระทำของเธอ
“ท่านหมอโม่ไม่ต้องลำบากเ้าค่ะ” มู่หลันกล่าวเสียงเรียบ แต่ดังพอที่ทุกคนจะได้ยิน “ผู้ใดก่อการ ผู้นั้นรับผิด การตัดสินใจทั้งหมดเป็ของข้าแต่เพียงผู้เดียว ไม่เกี่ยวกับผู้อื่น”
เธอหันไปเผชิญหน้ากับเว่ยหลงตรงๆ “ข้าเป็คนลงมือรักษาทหารนายนี้เองเ้าคะ”
“เ้า?” เว่ยหลงเดินเข้ามาใกล้จนหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ กลิ่นอายเย็นเยียบของเขารุนแรงกว่าครั้งก่อนหลายเท่า “เ้าเอาอำนาจอะไรมาทำเช่นนี้? หรือเ้าคิดว่าที่นี่คือสนามเด็กเล่น ที่จะให้เ้ามาลองผิดลองถูกกับชีวิตคนได้ตามใจชอบ?”
“ข้าไม่ได้ลองผิดลองถูก!” มู่หลันสวนกลับทันควัน ดวงตาของเธอเปล่งประกายอย่างไม่ยอมแพ้ “ข้าเห็นทางรอด ข้าจึงยื่นมือเข้าช่วย! ในสถานการณ์เช่นนั้น การช่วยชีวิตคนสำคัญกว่ากฎเกณฑ์ที่ตายตัว ท่านแม่ทัพจะให้ข้ายืนดูคนตายไปต่อหน้าต่อตาทั้งๆ ที่พอจะมีหนทางช่วยได้กระนั้นหรือเ้าคะ?”
“หนทางช่วยของเ้า คือการเอาเข็มมาทิ่มแทง เอาเกลือมาราดแผลทหารของข้างั้นรึ!” เว่ยหลงตวาดเสียงกร้าว “วิธีการเยี่ยงคนเถื่อนเช่นนี้ เ้าเรียกมันว่าการรักษาหรือ!”
“มันอาจจะดูเถื่อนในสายตาของท่าน แต่ทุกขั้นตอนล้วนมีเหตุผล!” มู่หลันอธิบายอย่างใจเย็น “ความร้อนฆ่าสิ่งสกปรกที่มองไม่เห็น เกลือช่วยชะล้างพิษร้าย การระบายหนองคือการเอาบ่อเกิดของไข้ทิ้งไป! ทุกอย่างคือหลักการแห่งธรรมชาติ ท่านแม่ทัพเป็ผู้บัญชาการทัพ น่าจะเข้าใจดีว่า การจะดับไฟ ต้องทำลายที่ต้นเพลิง ข้าก็เพียงแค่ทำลายต้นเพลิงที่กำลังจะเผาผลาญชีวิตของเขาเท่านั้น!”
การโต้เถียงอันดุเดือดของคนทั้งคู่ ทำให้ทุกคนในที่นั้นถึงกับลืมหายใจ!
‘นาง... นางกล้าเถียงท่านแม่ทัพฉอดๆ! สตรีผู้นี้หัวใจทำด้วยเหล็กกล้าหรืออย่างไร! ข้าไม่เคยเห็นใครกล้าต่อปากต่อคำกับท่านแม่ทัพเช่นนี้มาก่อนเลย!’ เหล่าอู่ที่ตามเข้ามาอยู่ในเหตุการณ์
เว่ยหลงนิ่งอึ้งไปกับเหตุผลและคำคมที่นางยกมาเปรียบเปรย เขามองลึกลงไปในดวงตาของมู่หลัน มันไม่ใช่ดวงตาของคนบ้าที่ทำอะไรโดยไม่คิด แต่เป็ดวงตาของคนที่เชื่อมั่นในสิ่งที่ตนทำอย่างสุดหัวใจ
แต่ความเชื่อมั่น ไม่สามารถลบล้างการทำผิดกฎได้
“หลักการของเ้าจะฟังดูดีเพียงใด ก็ไม่อาจเปลี่ยนความจริงที่ว่าเ้าได้ละเมิดกฎของกองทัพ!” เขากล่าวเสียงเ็า “ในกองทัพของข้า วินัยคือชีวิต การทำอะไรตามอำเภอใจเพียงคนเดียว อาจนำมาซึ่งความพินาศของคนส่วนรวมได้ เ้าเข้าใจหรือไม่?”
“ข้าเข้าใจเ้าคะ” มู่หลันยอมรับแต่โดยดี “และข้ายินดีรับโทษทัณฑ์ทุกประการ แต่ขอได้โปรด รับโทษหลังจากที่ผลลัพธ์มันปรากฏแล้วได้หรือไม่?”
“ผลลัพธ์?”
“ใช่เ้าคะ” มู่หลันชี้ไปยังทหารหนุ่มที่นอนสลบอยู่บนแคร่ “ชีวิตของเขา คือผลลัพธ์ของการกระทำของข้าในวันนี้”
เธอก้าวถอยหลังออกมาหนึ่งก้าว คุกเข่าลงกับพื้นอย่างสง่างาม ก้มศีรษะลงจรดพื้นตามธรรมเนียมสูงสุด “ข้า มู่หลัน ขอเดิมพันด้วยชีวิตของข้า! หากภายในรุ่งสางของวันพรุ่งนี้ ทหารนายนี้อาการไม่ดีขึ้นหรือสิ้นใจไป ท่านแม่ทัพจงนำศีรษะของข้าไปได้เลยโดยไม่มีข้อโต้แย้ง! แต่ถ้าหากเขารอด ข้าขอเพียงให้ท่านยอมรับว่าวิธีการของข้า ไม่ใช่เื่เหลวไหล”
คำประกาศของเธอ หนักแน่นราวกับคำสัตย์สาบาน!
ทั้งกระโจมตกอยู่ในความเงียบงันยิ่งกว่าเดิม ทุกคนต่างตกตะลึงกับการตัดสินใจอันเด็ดเดี่ยวของนาง หมอโม่ถึงกับอ้าปากค้างด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งทึ่ง ทั้งเป็ห่วง และทั้งละอายใจ
เว่ยหลงยืนนิ่งมองร่างเล็กๆ ที่คุกเข่าอยู่บนพื้นเบื้องหน้าเขา แผ่นหลังของนางตั้งตรง ไม่ได้สั่นเทาด้วยความกลัวแม้แต่น้อย นางกำลังใช้ชีวิตของตัวเอง มาท้าทายอำนาจของเขา!
เป็เวลานานแสนนาน ที่เขาไม่ได้พบเจอคนที่น่าสนใจเช่นนี้
“ดี...” ในที่สุดเขาก็เอ่ยออกมาคำหนึ่ง “ดีมาก!”
เขาหันไปทางหมอโม่ “ท่านหมอโม่! ท่านและคนของท่านจงเป็พยาน! ตลอดคืนนี้จนถึงรุ่งสาง นางจะเป็ผู้ดูแลทหารนายนี้แต่เพียงผู้เดียว พวกท่านมีหน้าที่แค่ช่วยเหลือตามที่นางสั่งเท่านั้น ห้ามผู้ใดขัดขวาง”
จากนั้นเขาก็หันกลับมามองมู่หลันที่ยังคงคุกเข่าอยู่ “ลุกขึ้น แล้วไปพิสูจน์คำพูดของเ้าซะ แต่อย่าได้ลืมเลือนคำสาบานของตัวเองแม้แต่วินาทีเดียว เพราะเมื่อไก่ขันครั้งแรกของวันพรุ่งนี้ ข้าจะกลับมาทวงผลลัพธ์นี้จากเ้าด้วยตัวเอง!”
สิ้นคำพูด เขาก็หันหลังเดินจากไปทันที ทิ้งไว้เพียงแรงกดดันมหาศาลและลมหายใจแห่งชีวิตที่แขวนอยู่บนเส้นด้าย
เมื่อแม่ทัพจากไปแล้ว มู่หลันจึงค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ขาของเธอสั่นเทาเล็กน้อยไม่ใช่เพราะความกลัว แต่เป็เพราะความตึงเครียดที่ถาโถมเข้ามา
“แม่นาง...” หมอโม่เดินเข้ามาหาเธอด้วยสีหน้าเป็กังวล “เ้า ไม่น่าเดิมพันสูงถึงเพียงนี้เลย”
“เมื่อธนูขึ้นสายแล้ว ก็ต้องยิงลูกศรออกไป” มู่หลันตอบด้วยรอยยิ้มที่อ่อนล้า “ในเมื่อลงมือไปแล้ว ก็ต้องไปให้สุดทางเ้าค่ะ ตอนนี้ เื่อื่นไม่สำคัญอีกแล้ว ขอเพียงช่วยเขาให้รอดเท่านั้น”
แววตาที่มุ่งมั่นของเธอทำให้หมอโม่และคนอื่นๆ รู้สึกเลื่อมใสขึ้นมาจับใจ พวกเขาไม่ได้มองเธอเป็นักโทษหรือสตรีประหลาดอีกต่อไป แต่มองเธอเป็ หมอ คนหนึ่งที่กำลังต่อสู้เพื่อชีวิตคนไข้
คืนนั้น จึงเป็การเฝ้าระวังที่ยาวนานที่สุดในค่ายพยาบาล
มู่หลันไม่ได้หยุดพักเลยแม้แต่วินาทีเดียว เธอคอยเช็ดตัวให้ทหารหนุ่มเพื่อลดไข้อย่างต่อเนื่อง ทุกๆ สองชั่วยาม เธอก็บรรจงแกะผ้าพันแผลเก่าออกอย่างแ่เบา ใช้น้ำเกลืออุ่นๆ ล้างแผลที่ยังคงดูน่ากลัว แล้วเปลี่ยนผ้าพันแผลใหม่ด้วยความนุ่มนวล
พลังวิเศษของเธอตื่นขึ้นมาอีกครั้งอย่างต่อเนื่อง เธอสามารถเห็นภาพของเชื้อโรคในร่างกายของเขาได้ชัดเจนขึ้น มันเหมือนกองทัพปีศาจตัวเล็กๆ ที่กำลังอ่อนแรงลงอย่างช้าๆ การรุกรานของพวกมันหยุดชะงักและเริ่มถูก ทหารยาม ของร่างกาย (เม็ดเืขาว) เข้าโจมตีขับไล่
ภาพที่เห็นทำให้เธอมีความหวัง วิธีการของเธอได้ผล!
หมอโม่ไม่ได้กลับไปพักผ่อนเช่นกัน เขานั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของกระโจม เฝ้าดูทุกการกระทำของมู่หลันอย่างเงียบๆ บางครั้งเมื่อเธอ้าน้ำร้อนหรือผ้าสะอาด เขาก็จะเป็คนหยิบยื่นให้ด้วยตัวเองโดยไม่พูดอะไร เป็การแสดงออกถึงการยอมรับและการสนับสนุนในรูปแบบของเขา
เวลาค่อยๆ ผ่านไป จากยามค่ำ สู่ยามดึก และเข้าสู่ยามรุ่งอรุณที่เยียบเย็นที่สุด
เสียงไก่ขันครั้งแรกของวันดังแว่วมาจากหมู่บ้านที่อยู่ไม่ไกล
เป็สัญญาณบอกว่า เวลาแห่งการพิพากษาได้มาถึงแล้ว
มู่หลันที่อดนอนมาทั้งคืนรู้สึกเหนื่อยล้าจนแทบจะยืนไม่ไหว แต่เธอก็ยังฝืนสังขาร เดินไปที่ข้างแคร่เป็ครั้งสุดท้าย เธอค่อยๆ ยื่นมือที่สั่นเทาเล็กน้อยของเธอออกไป เพื่อััหน้าผากของทหารหนุ่มเป็ครั้งสุดท้าย
ทันทีที่ปลายนิ้วของเธอัักับผิวของเขา ดวงตาของมู่หลันพลันเบิกกว้าง!
ความร้อนระอุที่เคยรู้สึกมาตลอดทั้งคืนได้หายไปแล้ว สิ่งที่เธอััได้คือผิวที่เย็นลงอย่างชัดเจน และความชื้นจากเหงื่อที่ซึมออกมา
ไข้... ลดแล้ว!
ในจังหวะนั้นเอง ร่างของทหารหนุ่มก็ขยับตัวเล็กน้อย เปลือกตาของเขาสั่นระริก ก่อนจะค่อยๆ ปรือขึ้นช้าๆ ริมฝีปากที่แห้งผากของเขาขยับพึมพำออกมาเป็คำที่แ่เบาราวกับสายลม...
“น้ำ...”
คำเดียวสั้นๆ แต่มันกลับดังกึกก้องอยู่ในโสตประสาทของทุกคนในกระโจม!
หมอโม่ที่กำลังเผลอสัปหงกถึงกับสะดุ้งสุดตัว เขารีบลุกพรวดพราดเข้ามาดูด้วยแววตาที่เบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ! ผู้ป่วยที่หมดสติและมีไข้สูงจนเพ้อมาตลอดทั้งวัน บัดนี้กลับฟื้นคืนสติและร้องขอน้ำได้เอง! นี่มัน ปาฏิหาริย์ชัดๆ!
“เร็วเข้า! เอาน้ำมา!” หมอโม่ะโสั่งลูกศิษย์ด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครืออย่างตื่นเต้น
มู่หลันยิ้มออกมาทั้งน้ำตา ความเหนื่อยล้าทั้งหมดที่สะสมมาทั้งคืนพลันมลายหายไปสิ้น เธอค่อยๆ ประคองศีรษะของทหารหนุ่มขึ้น แล้วป้อนน้ำอุ่นให้เขาดื่มทีละนิดอย่างอ่อนโยน
“ข้า... ข้ารอดแล้วหรือ?” ทหารหนุ่มถามเสียงแหบพร่า ดวงตาของเขายังคงพร่าเลือน แต่ก็มีประกายแห่งชีวิตฉายชัดขึ้นมาแล้ว
“ใช่แล้ว เ้ารอดแล้ว” มู่หลันตอบเสียงนุ่มนวล “แค่นอนพักอีกหน่อยก็จะดีขึ้นแล้วนะ”
ภาพตรงหน้าทำให้ทหารคนอื่นๆ ที่เฝ้าดูอยู่ห่างๆ ถึงกับน้ำตาซึมด้วยความตื้นตันใจ พวกเขาต่างพากันมองมู่หลันด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความเคารพและเลื่อมใสอย่างสุดซึ้ง นางไม่ใช่สตรีประหลาดอีกต่อไปแล้วในสายตาของพวกเขา แต่นางคือเทพธิดาคือผู้ที่ฉุดดึงสหายของพวกเขาให้กลับมาจากปากประตูนรก!
ในขณะที่ทุกคนกำลังชื่นชมยินดีกับปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้น
เสียงย่ำเท้าที่หนักแน่นและสม่ำเสมอก็ดังขึ้นที่หน้ากระโจม
แม่ทัพเว่ยหลงปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง เขามาตามสัญญา มาเพื่อทวงผลลัพธ์
เขาไม่ได้เข้ามาในทันที แต่หยุดยืนอยู่ที่ประตูทางเข้า สายตาคมกริบคู่นั้นมองผ่านความยินดีของทุกคนไปยังภาพที่มู่หลันกำลังดูแลคนเจ็บอย่างอ่อนโยน เขามองเห็นทหารของเขาที่ฟื้นคืนสติแล้ว เขามองเห็นใบหน้าที่เปื้อนยิ้มทั้งน้ำตาของมู่หลัน
ไม่มีคำพูดใดๆ เอื้อนเอ่ยออกมา
หมอโม่เป็คนแรกที่ได้สติ เขารีบเดินออกไปคุกเข่าลงต่อหน้าแม่ทัพเว่ยหลง “เรียนท่านแม่ทัพ! ทหารอาเปียว เขารอดแล้วขอรับ! ไข้ลดแล้ว! ฟื้นคืนสติแล้ว! ทั้งหมด ทั้งหมดเป็เพราะแม่นางมู่หลัน!”
เว่ยหลงยังคงนิ่งเงียบ เขาก้าวเข้ามาในกระโจมอย่างช้าๆ ทุกย่างก้าวของเขายังคงเต็มไปด้วยอำนาจที่น่าเกรงขามเช่นเคย เขาเดินตรงไปหยุดอยู่ที่ข้างแคร่ ก้มลงมองทหารของเขาด้วยแววตาที่อ่อนโยนลงเล็กน้อย
“รู้สึกอย่างไรบ้าง?” เขาถาม
“เรียนท่านแม่ทัพ ข้าน้อย... ข้าน้อยรู้สึกดีขึ้นมากแล้วขอรับ” อาเปียวตอบเสียงสั่น พยายามจะลุกขึ้นทำความเคารพ แต่เว่ยหลงยกมือห้ามไว้
“นอนพักต่อไปเถอะ”
สายตาของเขาย้ายจากคนป่วยมาจับจ้องที่ใบหน้าของมู่หลัน ซึ่งบัดนี้ซีดเผือดเพราะความอ่อนเพลียและอดนอน ขอบตาของเธอคล้ำลงเล็กน้อย แต่ดวงตาคู่นั้นกลับยังคงทอประกายสดใสอย่างไม่ยอมแพ้
“เ้า... ชนะแล้ว” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่ทุกคนรับรู้ได้ว่ามันคือคำประกาศที่หนักแน่นที่สุด
มู่หลันค่อยๆ ยืนขึ้น โค้งคำนับให้เขาอย่างงดงาม “ข้าเพียงแค่ทำในสิ่งที่ควรทำเ้าค่ะ ชีวิตคนเรานั้นสั้นนัก หากมีโอกาสยืดออกไปได้แม้เพียงหนึ่งลมหายใจ ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว”
เว่ยหลงจ้องมองเธอเป็เวลานาน... นานจนมู่หลันรู้สึกประหม่าขึ้นมาเล็กน้อย
ในที่สุด เขาก็หันไปทางเหล่าทหารและผู้ช่วยทุกคนในกระโจม แล้วประกาศด้วยน้ำเสียงดังกังวาน
“ทุกคนจงฟัง! นับั้แ่วันนี้เป็ต้นไป แม่นางมู่หลัน... จะไม่ได้เป็เพียงผู้ช่วยในค่ายพยาบาลอีกต่อไป แต่ข้าขอแต่งตั้งให้นางมีตำแหน่งเป็ที่ปรึกษาทางการแพทย์ ของกองทัพพยัคฆ์อุดร! ให้ความช่วยเหลือท่านหมอโม่ดูแลทหารที่าเ็ทั้งหมด! คำพูดของนาง ให้ถือว่ามีความสำคัญเทียบเท่าคำสั่งของข้า!”
คำประกาศนี้ ทำให้ทุกคนในที่นั้นถึงกับตกตะลึงยิ่งกว่าตอนที่เห็นคนตายฟื้นเสียอีก!
จากนักโทษ สู่ผู้ช่วย และบัดนี้คือที่ปรึกษาทางการแพทย์ ที่มีอำนาจเทียบเท่าคำสั่งของแม่ทัพ! นี่มันคือการเลื่อนสถานะที่ก้าวะโอย่างที่ไม่เคยมีใครเคยได้รับมาก่อนในประวัติศาสตร์ของกองทัพ!
มู่หลันเองก็ใไม่แพ้กัน เธอไม่เคยคาดคิดว่าเขาจะตอบแทนเธอถึงเพียงนี้
“ท่านแม่ทัพ นี่มัน...”
“เ้าสมควรได้รับมัน” เว่ยหลงพูดตัดบท “เ้าใช้ชีวิตของเ้าพิสูจน์คุณค่าของตัวเองแล้ว กองทัพของข้า ไม่เคยปฏิเสธคนที่มีความสามารถ”
เขาหันหลังเตรียมจะเดินจากไป แต่แล้วก็หยุดชะงักเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ เขาหันกลับมามองเธออีกครั้ง มุมปากของเขา ยกขึ้นเป็รอยยิ้มที่บางเบาจนแทบมองไม่เห็นเป็รอยยิ้มแรกที่มู่หลันได้เห็นจากชายผู้เ็าคนนี้
“แล้วก็ ไปพักผ่อนซะ ที่ปรึกษาคนใหม่ของข้า ข้าไม่อนุญาตให้เ้าล้มป่วยไปก่อนที่จะได้ใช้งานหรอกนะ”
คำพูดที่ดูเหมือนจะตำหนิ แต่กลับแฝงไว้ด้วยความห่วงใยอย่างประหลาดนั้น ทำให้หัวใจที่เหนื่อยล้าของมู่หลันพลันรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างน่ามหัศจรรย์
เช้าวันนั้น คือจุดเริ่มต้นของตำนานบทใหม่ที่กำลังจะถูกจารึกขึ้นในกองทัพพยัคฆ์อุดรตำนานของหมอเทวดามู่หลัน ผู้ที่เดินทางข้ามผ่านกาลเวลามาเพื่อเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของผู้คน และบางทีอาจจะรวมถึงหัวใจของพยัคฆ์ร้ายแห่งแดนเหนือด้วยก็เป็ได้